ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 48 การขัดขืน
บทที่ 48 การขัดขืน
อิ๋นซายังปล่อยหมัดดุดันไร้เป้าต่อไปไม่หยุด
ธารเพลิงสีเงินไหลผ่านฟ้าไม่หยุดหย่อน
ธารสีเงินนี้ยังคงอยู่อีกสามชั่วยามกว่าจะเริ่มส่อแววเบาบางลง
อิ๋นซาเริ่มหมดพลังแล้ว
แม้จะมีพลังให้ใช้ดั่งสายสมุทรก็ยังไม่อาจเพียงพอ ทุกการโจมตีปลดปล่อยออกเต็มกำลัง เพียงครึ่งวันมันจึงหมดพลังแล้ว รั้งอยู่ไม่นานเท่าเหยี่ยวทองด้วยซ้ำ
กระนั้นอิ๋นซาก็ยังเหวี่ยงหมัดคลั่งต่อไป
ราวกับว่ามันกำลังโกรธสวรรค์ หมายจะต่อสู้จนสิ้นใจ
และมันก็สู้จนลมหายใจสุดท้ายจริง ๆ!
ตูม!
หลังจากปล่อยหมัดหนักครั้งสุดท้าย แขนอิ๋นซาก็หยุดชะงัก
มันยืนนิ่งเช่นนั้น ร่างใหญ่โตเริ่มหดเล็กลง
สุดท้ายอิ๋นซาก็เหลือร่างขนาดเท่ามนุษย์คนหนึ่ง
ตอนนี้สติของอิ๋นซาเริ่มกลับมาแล้ว
มันลืมตามองซูเฉิน อ้าปากหมายจะกล่าวคำ แต่ไร้คำพูด สุดท้ายก็ปิดปากแล้วล้มคว่ำลงไป
หมอกบางลอยขึ้นจากตัวมันขึ้นฟ้า ค่อย ๆ กลายเป็นสายหมอกจาง เมื่อมันสลายหายไป อิ๋นซาก็หายไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงร่างแสงที่กะพริบปริบ ๆ เท่านั้น
ร่างแสงนี้คือร่างจริงของอิ๋นซา แท้จริงแล้วก็คล้ายกับปรสิต เพราะมันต้องคอยเกาะติดกับสิ่งมีชีวิตทรงพลังเพื่อความอยู่รอด
ยามฝังร่างกับเจ้าของร่าง มันจะดูดพลังชีวิตของเจ้าของจนกว่าร่างนั้นจะกลายสภาพเป็นธาตุอากาศ จากนั้นมันจะสลายร่างร่างอากาศนั้นให้กลายเป็นหมอก
นี่คือความลับเบื้องหลังความสามารถในการสลับร่างจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ของมันนั่นเอง
อิ๋นซาตายแล้ว และมันคงเป็นเทพอสูรตัวแรกที่ตายเพราะใช้พลังในร่างต่อสู้จนหมด เมื่อร่างหลักของอิ๋นซาหายไป หมอกจึงหายไปด้วย เผยให้เห็นปรสิตที่อยู่ภายในนั้น
ปรสิตอยู่ในสภาวะกึ่งได้สติ แม้จะเสียพลังชีวิตไปมาก แต่ก็ยังดิ้นไปมาอยู่กับพื้นได้อยู่
การดิ้นไปมาเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่ารอด หากแต่เป็นความตาย เมื่อปรสิตตายลงมันจะยิ่งบิดร่างไปมาแรงขึ้นไม่หยุดโดยไม่จำเป็นต้องใช้แหล่งพลังใดในการขยับ เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมันเท่านั้นเอง
เมื่อซูเฉินเห็นแมลงที่กำลังดิ้นพล่านก็รู้บางอย่าง
ที่เขารู้จักปรสิตตรงหน้านั้นเป็นผลมาจากตำราที่อ่านมาหลายหมื่นเล่ม จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะจำมันได้ในทันที
ซูเฉินรู้สึกโชคดีนักที่ได้พบแมลงตัวนี้ “โอ้โห ล้ำค่าจริง ๆ”
เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมา เก็บแมลงไว้ข้างใน
หลังจัดการเรื่องแล้ว ซูเฉินก็มองรอบกาย เห็นว่าไร้เงาอสูรกายใกล้เคียงจึนหันหลังจากไป
หลังซูเฉินจากไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก้อนหินที่อยู่ใกล้เคียงก็พลันขยับ
เงาหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากใต้หินและค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพร่างร่างหนึ่ง
มันคือจักรพรรดิอสูรขู่ฉา สีหน้าตกตะลึงยิ่ง ไม่อาจหยุดร่างอันสั่นเทาไว้ได้ “มนุษย์คนเดียวกลับสังหารผู้อาวุโสอิ๋นซาได้? น่ากลัวกว่าสิ่งที่พวกอาร์คาน่าทำได้เสียอีก ข้าต้องไปปลุกบรรพชนหมานให้ตื่นเดี๋ยวนี้!”
ขู่ฉาว่าจบก็เหินร่างจากไป ทิ้งหุบเขาโชกเลือดไว้เบื้องหลัง
ดังนั้นขู่ฉาจึงไม่ทันเห็นว่าขณะที่เขาจากไปไม่นาน เลือดสดบนพื้นกลับเริ่มขยับเคลื่อน…
กลับมา ณ เมืองล่องนภา
การต่อสู้ที่นี่กำลังดุเดือด
เรือเหาะลอยไปมา ดาบบินร่ายรำอยู่กลางอากาศ
เกราะแกร่งเมืองล่องนภาไม่ใช่ฝันร้ายของมนุษย์อีกต่อไป มันได้กลายเป็นเกราะพิทักษ์ที่แกร่งที่สุดของพวกเขาไปแล้ว
ผายซวนและเซิ่นโหลวเป็นเหมือนยักษ์คู่ที่เดินลุยอยู่ท่ามกลางทหารมนุษย์
กระทั่งเทพอสูรยังต้องทุกข์ทนเมื่อถูกกระหน่ำโจมตีเช่นนี้ ผายซวนและเซิ่นโหลวคำรามโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่หยุด
แต่วิธีการระบายความโกรธของทั้งสองนั้นแตกต่าง
ผายซวนนั้นเหมือนเทพอสูรทั่วไป ใช้ร่างใหญ่ยักษ์ปะทะเกราะเหล็กเมืองล่องนภา ทุกการปะทะกระแทกเมืองไปไกลหลายพันลี้ ทุกคมเขี้ยวเสมือนถูกโจมตีนับพันครั้ง ทุกกรงเล็บทลายขุนเขาได้ ทุกเสียงคำรามไล่เมฆาจนสลายด้วยหวาดกลัว
กล่าวได้ว่าวิถีการต่อสู้ของผายซวนแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และพละกำลังของเทพอสูรโดยไร้รอยเสแสร้ง กลิ่นอายที่เปล่งออกนับว่ากลืนกินทหารทั้งหมดลงไปได้ทีเดียว
เซิ่นโหลวนั้นตรงกันข้าม
เซิ่นโหลวนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว
ทำเพียงแต่เปิดเปลือกขึ้นบางครั้ง
ไม่มีวี่แววกระโจนใส่เมืองล่องนภาสักนิด
แต่ความเงียบนี้คือความเงียบพิฆาตที่นำพาความหายนะมาเยือนทหารมนุษย์
ภายในอาณาเขตวงกลมของมันนั้นนับว่าเงียบสงบนัก
ไร้สิ่งมีชีวิตใดในรัศมีนั้น เหลือไว้เพียงหุ่นเชิดยักษ์ 50 ตัว
บริเวณนี้กลายเป็นเขตมรณะที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซิ่นโหลว สิ่งมีชีวิตใดที่เข้ามาในเขตนี้จะถูกดูดพลังชีวิตออกไปอย่างต่อเนื่อง ใช้เพื่อเพิ่มพลังของมัน หากมีสิ่งมีชีวิตใดตายในเขตนี้ก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดให้เซิ่นโหลวบังคับได้ตามใจ ไม่ได้ผลเพียงกับหุ่นเชิดยักษ์เท่านั้น
แต่หุ่นเชิดยักษ์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถสังหารเซิ่นโหลวได้
เปลือกของเซิ่นโหลวแข็งกว่าแก่นโลหะมาตฤเมฆา สิ่งเดียวที่ทนทานกว่าเห็นจะเป็นกระดองเต่าลี้ลับ
หุ่นเชิดยักษ์ทั้ง 50 ตัวที่ควรไร้เทียมทานในการต่อสู้ระยะประชิด กลับพบว่าการโจมตีทั้งหลายของตนถูกเปลือกซิ่นโหลวสะท้อนออกมาโดยไม่ถูกแรงโจมตีใด ๆ
พวกมันต่างหากที่ไม่อาจต้านรับการโจมตีจากศัตรูได้
นัยน์ตาลูกหนึ่งลอยเด่นอยู่บนฟ้า
เนตรนภา
เนตรนภาเป็นวิชาโจมตีหนึ่งเดียวที่เซิ่นโหลวมี หรือก็คือมันใช้เนตรนภาทำการโจมตีทุกอย่างนั่นเอง
ภายนอกดูเหมือนลูกตาลูกหนึ่ง แต่มองดี ๆ จะพบว่าเป็นกระแสพลังวนที่มีศูนย์กลางเป็นความมืดมิดไร้สิ้นสุด
ทว่าภายนอกความมืดมิดกลับฉายแสงสว่างเจิดจ้า …แสงแห่งเซิ่นโหลว
เซิ่นโหลวสามารถสร้างมายา ปล่อยวิชาจิต ทำให้วิชาทั้งหลายจับต้องขึ้นมาได้จริง โดยการโจมตีทั้งหลายจะโจมตีผ่านแสงสว่างจ้านั้นนั่นเอง
เซิ่นโหลวกำลังยิงลำแสงออกไปสามร้อยเส้นในพริบตา โดนเป้าเป็นส่วนมาก ที่เหลือกระจายทั่วสนามรบ ใครที่ถูกแสงจะสับสนชั่วขณะและทำการโจมตีสหายรบ แม้ผลจะคงอยู่แค่ชั่วครู่ แต่การหยุดชะงักเท่านั้นก็สร้างความเสียหายเกินพอแล้ว
ไม่มีใครอยากถูกสหายแทงข้างหลัง อีกทั้งการโจมตีจากสหายที่เชื่อใจกันนับว่าป้องกันได้ยาก แม้จะไม่ได้ตั้งใจและฟื้นแผลได้รวดเร็ว แต่ทุกครั้งจะเกิดความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะโต้กลับดีไหม? สังหารหรือ? อย่างไรไม่นานก็หายแล้ว แต่หากไม่ฆ่าทิ้งก็ไม่รู้ว่าจะถูกจูงจิตไปถึงเมื่อไหร่
มนุษย์จึงไร้ทางเลือก ต้องจัดกลุ่มพิเศษเพื่อรับมือกับพวกที่ถูกคุมจิต ช่วยรักษาชีวิตพวกเขาให้มากที่สุด แสงของเซิ่นโหลวมีผลมากน้อยขึ้นอยู่กับพลังจิต ทหารพิเศษกลุ่มนี้มีพลังจิตสูงส่ง ดังนั้นเพื่อให้ใช้วิชาได้ผล เซิ่นโหลวจึงเล็งแต่เป้าหมายจิตอ่อน ดังนั้นลำแสงจึงมักไม่โจมตีถูกทหารกลุ่มนี้
จูเซียนเหยาเป็นหัวหน้าทหารกองนี้ ด้วยสายเลือดทำให้ต่อต้านวิชาเซิ่นโหลวได้ เมื่อไหร่ที่มีใครถูกแสง นางก็จะใช้วิชาตระกูลจูบรรเทาผลจากแสงของศัตรู ก่อนจะปลุกพวกเขาขึ้นมาได้
กู่ชิงลั่วนั้นรับมือกับผายซวน
ลักษณ์มังกรสุริยะจากกู่ชิงลั่วและผู้อาวุโสตระกูลกู่ทั้งสิบสองคนนั้นเข้าประจันหน้ากับผายซวน ได้เมืองล่องนภาคอยหนุนเช่นนี้ ผู้อาวุโสจึงไม่กลัวพลังหมด สู้ได้เต็มที่ แม้พลังในกายจะหมดก็สามารถกลับไปเติมพลังในเมืองได้
ดังนั้นการต่อสู้จึงคล้ายดึง ๆ รั้ง ๆ พอคนตระกูลกู่ลงมือ เป็นสัญญาณให้ทัพมนุษย์โจมตีเช่นกัน ตระกูลกู่ทำหน้าที่ปกป้องคนอื่น ๆ ที่ซัดการโจมตีออกไปให้เร็วที่สุด
พอตระกูลกู่พลังหมด ทัพมนุษย์จะจัดทัพตั้งรับ กู่ชิงลั่วและผู้อาวุโสทั้งหลายกลับเข้าเมืองล่องนภาเพื่อเติมพลัง คนอื่น ๆ ก็รับมือแนวหน้าไป
ผายซวนจึงถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง
นับเป็นประโยชน์ที่ซูเฉินหลอกล่ออิ๋นซาจากไป
หากอิ๋นซาอยู่ด้วย ทั้งหมอกกร่อน ทั้งการโจมตีทรงพลังของผายซวน และวิชาคุมจิตของเซิ่นโหลว คงจะทำทัพมนุษย์เสียหายใหญ่หลวงแน่
แต่เมื่อไร้อิ๋นซา เมืองล่องนภาและหุ่นเชิดยักษ์จึงทำให้ทัพมนุษย์ต่อกรกับเทพอสูรทั้งสองโดยปราศจากอันตรายหนักได้
แต่กลวิธีปัจจุบันของพวกเขาไม่ยอมให้จบการต่อสู้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
“เร่งโจมตี! เราสังหารมันแล้วถึงจะไปช่วยท่านเจ้านิกายได้!” กู่ชิงลั่วตะโกนอย่างบ้าคลั่งยามนางกลับมายังกำแพงเมืองล่องนภา นางรีบนั่งลงเพื่อฟื้นพลัง พลันได้ยินคนหนึ่งร้องขึ้น “ดูนั่น! อิ๋นซาหายไปแล้ว!”
กู่ชิงลั่วหันมอง ฝนสีเงินที่กระหน่ำจากฟ้ามาหลายชั่วยามได้หายไปแล้ว
หมายความว่าอะไรกัน? แสดงว่าเกิดเรื่องกับซูเฉินหรือ?
กู่ชิงลั่วใจดั่งถูกบีบรัด หันไปหาร่างแยกที่อยู่ไม่ไกล “ซูเฉิน เป็นอะไรหรือไม่?”
ร่างแยกยังนิ่งอยู่
กู่ชิงลั่วรุ้สึกราวใจถูกบีบคั้นด้วยความกลัว ร้องขึ้นอีกครั้ง “ซูเฉิน!”
แรงกดดันหนึ่งพลันโอบล้อมกายนาง คนที่อยู่ใกล้พลันรู้สึกหายใจลำบาก
แรงกดดันนี้เล็ดลอดออกมาจากร่างจริงซูเฉิน กู่ชิงลั่วจึงเข้าใจในพลัน “ซูเฉิน เจ้ากลับมาแล้ว!”
ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “อืม กลับมาแล้ว”
มองไปรอบกายแล้วก็เลิกคิ้วสูง “นี่ก็นานแล้ว พวกท่านยังจัดการเจ้าพวกนี้ไม่ได้อีกหรือ?”
“พวกมันเป็นเทพอสูรเชียวนะ จะชนะง่าย ๆ ได้หรือ?” กู่ซินหรงโพล่งขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าข้ายังต้องปรากฏตัวบนสนามรบอยู่ดีสินะ” ซูเฉินถอนหายใจท่าทางดูสนุก “นึกว่าจะมีโอกาสพักผ่อนแล้วเสียอีก”
“ปรากฏตัวบัดซบอะไร เจ้าไปหยอกอิ๋นซาให้มันพอใจให้ดีเถอะ อย่าห่วงตรงนี้ ก่อนตกค่ำอย่างน้อยพวกเราก็จะสังหารมันให้ได้สักตัวหนึ่ง” กู่ซินหรงเอ่ยเสียงมั่น
“หยอกอิ๋นซาให้มันพอใจ?” ซูเฉินชะงักไปชั่วขณะก่อนนึกขึ้นได้ “พวกท่านคิดว่าข้ากลับมาเพราะรับมือมันไม่ไหวแล้วงั้นหรือ?”
“แล้วไม่ใช่หรือไร?” ทุกคนหันมามองเขาอย่างแปลกใจ
ซูเฉินหัวเราะ แต่ไม่คิดชี้แจงแถลงไข
ทุกคนตะลึงเมื่อเห็นเช่นนั้น
ความไม่น่าเป็นไปได้หนึ่งเดียวพลันผุดขึ้นในใจ
สังหารอิ๋นซาได้หรือ?
กู่ซินหรงพึมพำเสียงเบา “เป็นไปได้งั้นหรือ?”
กู่ฉางเซิงโต้เสียงเกรี้ยว “ข้าไม่เชื่อหรอก!”
กู่ฮุยหมิงก็เช่นกัน “เป็นไปไม่ได้!”
ทั้งหมดส่ายหน้าพร้อมกัน
ท่าทีของพวกเขาต่อชัยชนะในการสังหารเทพอสูรของซูเฉินด้วยตัวคนเดียวนั้นไม่ใช่ความปีติยินดี หากแต่เป็นความไม่เชื่อมากกว่า
มีเพียงกู่ชิงลั่วที่โผเข้ามากอดซูเฉินด้วยความยินดี “สามี เจ้าสังหารมันได้จริงหรือ? สังหารได้จริงหรือ?!”
ซูเฉินพยักหน้าเบา ๆ
การขยับไหวที่เรียบง่ายของเขาทำให้ทุกคนตกตะลึง
สังหารเทพอสูรได้ด้วยตัวคนเดียวนับว่าขัดต่อกฎฟ้ากฎสวรรค์โดยแท้!