ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 56 ศาสนา
บทที่ 56 ศาสนา
ซูเฉิงอันเอนกายอยู่บนเตียงของตนด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวหนักหนา มีเพียงเส้นผมบนศีรษะเท่านั้นที่ขาวซีดยิ่งกว่า ทั้งร่างกายของเขากรีดร้องออกมาราวกับว่าชายผู้นี้กำลังจะตายได้ทุกชั่วขณะจิต
นี่ไม่ควรจะเป็นไปได้ด้วยระดับพลังของเขา แต่ปมเงื่อนในหัวใจของเขานั้นไม่ได้รับการแก้ไขมานานกว่าหลายปีแล้ว
แต่เพียงเพราะเขาเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเกิดสำนึกผิดขึ้นมาในช่วงวัยชราของตน
การยอมรับความผิดนั้นเป็นความอัปยศประเภทหนึ่ง ซึ่งก็คือเหตุผลที่มันเป็นคุณธรรมอันล้ำค่าด้วยเช่นกัน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้
ซูเฉิงอันนอนอยู่บนเตียงและจิบชาของตนช้า ๆ ขณะที่เขาตบข้างเตียงพร้อมก่นด่า “เจ้าตัวตลกไร้ประโยชน์ เจ้าไปที่หอนางโลมนั่นอีกได้อย่างไร? จะไปสถานที่แบบนั้นเพื่ออะไรกัน?”
ซูฮ่าวตอบอย่างไม่แยแส “แล้วจะให้ข้าไปไหนล่ะ? บ่อนพนันหรือไง? ที่นั่นไม่สนุกเลยสักนิด ข้าชนะไม่ได้ และข้าก็แพ้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เจ้าโง่ไร้ประโยชน์เอ๊ย เจ้าคิดได้แค่เล่นพนันหรือใช้เวลาไปกับนางโลมงั้นหรือ? ข้าให้กำเนิดลูกชายที่ประโยชน์ขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
ซูฮ่าวยอกย้อน “แล้วท่านจะพบกับแม่ของข้าได้ยังไงหากไม่ใช่เพราะท่านเองก็ไปหอนางโลมบ่อยนักหนาน่ะ? หากไม่ใช่เพราะความบ้าตัณหาของท่านแล้ว ตระกูลซูจะยังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรือ? แต่ท่านก็ยังดุด่าข้าอยู่ดี…”
“เจ้า!” ซูเฉิงอันโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา เขาฉวยถ้วยยามาเขวี้ยงใส่ซูฮ่าว “เจ้าลูกชายเลี้ยงเสียข้าวสุก! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้า… ให้เจ้า…”
ซูฮ่าวปาดเศษยาบนใบหน้าออกไปอย่างใจเย็นและบ่นฮึดฮัด “ท่านจะบอกว่าท่านยอมทิ้งซูเฉินเพื่อข้าใช่ไหมล่ะ? ลืมไปเสียเถอะ ท่านไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง”
“อย่าแม้แต่จะพูดถึงคนทรยศนั่นให้ข้าได้ยินเด็ดขาด!” ซูเฉิงอันฟาดมือลงกับเตียงเสียงดังลั่น “ข้าไม่เคยมีลูกอกตัญญูเช่นนั้น”
“ไม่มีใครกตัญญูทั้งนั้นในสายตาท่าน” ซูฮ่าวบ่นพึมพำขณะที่เขากลับหลังหันและเมินเฉยต่อพ่อของตน
“เจ้า…” ซูเฉิงอันชี้นิ้วไปยังซูฮ่าวอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ไม่อาจสรรหาคำพูดได้ ในที่สุดเขาก็กระอักเลือดคำใหญ่ ๆ ออกมา
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขารีบรุดเข้าไปประกบซูเฉิงอันทันที “ท่านพ่อ ได้โปรดใจเย็นลงหน่อยเถิด”
ชื่อของเขาคือซูหมิง ซึ่งเขาก็เป็นลูกชายของซูเฉิงอันด้วยเช่นกัน ผิดแต่ว่าร่างกายและระดับพลังของเขาอยู่ระดับธรรมดาเท่านั้น
ในขณะที่ชายหนุ่มเอื้อมมือไปช่วยเหลือซูเฉิงอันนั้นเอง ชายแก่ก็ปฏิเสธความช่วยเหลือแบบไม่ไยดี “ออกไปจากสายตาข้าซะ! ข้าไม่ต้องการการช่วยเหลือของเจ้า เจ้ามันเป็นขยะไร้ค่า พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นลูกชายขยะอกตัญญู!”
ซูฮ่าวส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ได้ยินไหมพี่รอง? ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่มีใครกตัญญูในสายตาท่านพ่อทั้งนั้น”
ซูหมิงก้มหน้าลง “ไม่ว่าอย่างไร พ่อของเราก็คือพ่อของเรา เจ้าไม่ควรโกรธแค้นท่านเช่นนี้ หากเจ้ายังทำเช่นนั้นก็…”
ซูฮ่าวหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “งั้นคืนวันอันขมขื่นของพวกเราก็จะมาถึงจุดจบอย่างไรล่ะ”
ทั้งซูหมิงและซูเฉิงอันต่างก็ตกตะลึงในคำพูดของเขา
“เจ้า…!” ซูเฉิงอันจ้องมองไปยังลูกชายอันเป็นที่รักด้วยความไม่เชื่อหูตัวเองเพียงเพื่อพบกับลูกชายที่จ้องเขม็งกลับมาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
ซูฮ่าวตอบอย่างไร้เยื่อใย “ถ้าท่านตาย ซูเฉินอาจไม่เกลียดพวกเราอีกต่อไปก็ได้ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็อาจจะกลับคืนมา ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากได้ยินเช่นนี้ แต่สมาชิกในตระกูลส่วนมากก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น”
“อั่ก!”
ซูเฉิงอันกระอักเลือดกองใหญ่ออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยปริมาณที่มากกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ทำร้ายเขาอย่างหนักทีเดียว
ซูหมิงรีบพุ่งเข้าไปอีกครั้งและตะโกนลั่น “น้องสาม เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ? เจ้าจะฆ่าท่านพ่อหรือไง?”
ซูฮ่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ข้าจะฆ่าท่านได้อย่างไร? ถ้าท่านพ่อตาย ท่านพ่อก็โทษได้แค่ความโกรธของตัวเองเท่านั้น อันที่จริงความน่าสงสัยทั้งหมดจะตกอยู่ที่เจ้า เพราะตอนนี้เจ้าคือผู้ที่อุ้มท่านพ่ออยู่ ส่วนข้าไม่ได้แตะต้องท่านด้วยซ้ำ”
ซูหมิงตะลึงงัน
ซูฮ่าวหันไปมองซูเฉิงอัน “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้วนะ ข้ารีบไปเพื่อหลีกเลี่ยงความน่าสงสัยคงจะดีกว่า”
ขณะที่พูดก็ก้าวเดินออกไปจากห้อง
ซูเฉิงอันพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขาเอนตัวนอนลงอีกครั้งหลังจากที่ซูหมิงผลักเขากลับลงไปบนเตียงเบา ๆ
ซูเฉิงอัน ซูหมิง และซูฮ่าวล้วนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีมนุษย์อีกสองชีวิตยืนอยู่ภายในห้องนั้นด้วยเช่นกัน
ซูเฉินและซูเฟยหูนั่นเอง
ร่างกายของพวกเขาดูโปร่งใส ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นหรือได้ยินตัวตนทั้งสองนี้ได้
เมื่อซูเฟยหูมองไปยังพี่ชายของตน เขาก็ถอนหายใจยาวออกมา “เจ้าเห็นไหม? นี่แหละเหตุผลที่ข้าบอกว่าตระกูลซูไม่ต้องการการสนับสนุนของเจ้า หากเจ้าปล่อยให้คนไร้ประโยชน์อย่างซูฮ่าวได้รับตำแหน่งเช่นนั้น เจ้าคิดว่าเข้าจะก่อเรื่องร้ายแรงได้ขนาดไหนกัน?”
กระทั่งซูเฉินก็หมดคำจะพูด
นกทุกชนิดสามารถถูกพบเห็นได้ในป่าที่มีขนาดใหญ่พอ
แทบทุกตระกูลจะมีสมาชิกอย่างซูเฉิงอันหรือซูฮ่าว แน่นอนว่าคนอื่น ๆ อย่างซูหมิงก็มีเช่นกัน
ปัญหาคือปลาเน่าตัวเดียวก็อาจทำให้ปลาเหม็นทั้งเข่งได้ และหนูเพียงตัวเดียวก็สามารถทำลายข้าวทั้งกระสอบได้
ซูเฟยหูรู้ดีว่านี่คือประเด็นสำคัญ ซึ่งก็คือเหตุผลที่เขายืนยันในเงื่อนไขเดิม
เขาไม่ต้องการให้ตระกูลซูกลายเป็นตัวถ่วงของซูเฉิน นี่แหละคือความรักที่ควรจะมาจากสมาชิกในครอบครัว
สำหรับซูเฉิงอันแล้ว ซูเฉินไม่ได้ปิดบังความรู้สึกผิดต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
ชายแก่ยังคงเชื่อว่าซูเฉินนั้นคือผู้อกตัญญู
มันก็ไม่ได้แปลกเสียทีเดียว
ผู้คนถนัดการโทษคนอื่นสำหรับความผิดพลาดของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ทุกสิ่งคือความผิดของผู้อื่นเสมอ
นี่คือกลไกการป้องกันตนเองตามสัญชาตญาณประเภทหนึ่ง หากผู้ใดไม่ยอมรับว่าตนเองผิด พวกเขาก็จะทำสิ่งที่รู้สึกว่าถูกต้องต่อไปเพื่อให้ง่ายต่อการมีชีวิตอยู่กับตนเองมากขึ้น
หลายคนตามหาทั้งความสบายใจและสบายกาย ความสบายกายนั้นชัดเจนกว่า ในขณะที่ความสบายใจนั้นซ่อนเร้นอยู่ลึกภายใน ดังนั้นแล้วหลายคนจึงค้นหาวิธีการเผชิญหน้ากับตรรกะเหตุและผลในใจของตัวเองได้อย่างยากลำบาก
เห็นได้ชัดว่าซูเฉิงอันเองก็ไม่ต่างกัน
ความดื้อรั้นของชายแก่ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่น่าตกใจเลยที่นี่ยังเป็นเหตุผลที่สภาพร่างกายของเขาเสื่อมโทรมลงมาจนถึงจุดนี้อีกด้วย
หากทุกสิ่งคือความผิดของซูเฉิน งั้นเขา ซูเฉิงอัน ก็ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดแม้แต่น้อย
ก็เท่านั้นเอง
ขณะที่ซูเฉิงอันนอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาก็บ่นอุบอิบต่อไป “ลูกชายอกตัญญู! ลูกชายอกตัญญู!” ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังก่นด่าซูฮ่าวหรือซูเฉินกันแน่
ซูเฉินตรวจตราต่อไปอีกสักพักอย่างใจเย็นก่อนที่จะดึงเอาขวดยาหนึ่งออกมาและวางมันลงบนมือของซูเฟยหูในที่สุด “ไม่ว่าท่านจะมองอย่างไร เขาก็เป็นผู้มอบชีวิตให้ข้าตั้งแต่แรก มอบยานี้ให้เขาแล้วเขาก็จะได้ฟื้นตัวขึ้นในอีกไม่นาน”
ซูเฟยหูรับขวดยามาช้า ๆ “เจ้าอาจช่วยรักษาเขาในคราวนี้ แต่ครั้งหน้าล่ะ? ยิ่งเขามีชีวิตอยู่นานเท่าไร สภาพของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลง ยาของเขาไม่อาจเก็บรักษาเขาไว้ได้ตลอดกาลใช่ไหมล่ะ?”
“ที่เหลือขึ้นอยู่กับสรวงสวรรค์แล้วละ” ซูเฉินตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าจะทำสิ่งที่ข้าทำได้ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ”
ซูเฟยหูถอนหายใจและพยักหน้า “ใช่ เราควรปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ในขณะที่เจ้าอาจจะยินดีทำตามสวรรค์ในเรื่องนี้ เจ้าก็ไม่รู้ถึงคนอื่น ๆ ข้าพูดถูกไหม?”
ซูเฉินตกตะลึง “ท่านรู้อะไรมา?”
ซูเฟยหูส่งยิ้มอันขมขื่นให้ “ข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยยินยอมมาพบเขาจนถึงวันนี้ นั่นคือเหตุผลของเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ซูเฟยหูพูดต่อ “อีกอย่าง มีสัญญาณแปลกประหลาดปรากฏขึ้นทั่วทั้งทวีป แม้เจ้าจะพัฒนาวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดขึ้นมาแล้ว การบูชาศาสนาก็ยังดูจะเพิ่มสูงขึ้น”
“การบูชาศาสนากำลังเพิ่มขึ้น…” ซูเฉินหรี่ตาลง
เหมือนปกติทั่วไป เขารู้ดีว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น
ปราการเทพเจ้ากำลังแตกร้าวอย่างช้า ๆ และพลังศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มส่งผลต่อโลกความเป็นจริงแล้ว พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ความสามารถของเทพเจ้าในการก้าวข้ามปราการกำลังเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
ในอดีต นิกายแห่งพระแม่สามารถมอบขนนกศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เผ่าปักษาได้เป็นครั้งคราว และเจ้าแห่งแดนฝันก็สามารถควบคุมแดนภาพลวงตาได้แต่ไม่สามารถสังหารใครได้ แต่ในตอนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาครอบครองนั้นสามารถข้ามมาได้แล้ว ซึ่งส่งผลต่อผู้คนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในแดนต้นกำเนิดและทำให้เทพเจ้าสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวพลังศักดิ์สิทธิ์มาจากผู้คนของพวกเขาได้
การแทรกซึมเข้ามาในแวดวงสิ่งมีชีวิตบนโลกของเหล่าเทพเจ้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
แม้ว่าซูเฉินจะเริ่มสร้างวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดอย่างเป็นที่แพร่หลายไปแล้ว เขาก็ไม่อาจบังคับให้ผู้คนเปลี่ยนเส้นทางของตนเองได้ การฝึกตนนั้นลำบากยากเข็ญ ในขณะที่การเชื่อในเทพเจ้าจะทำให้พวกเขาได้รับพลังมาอย่างง่ายดายยิ่งกว่า อีกอย่าง การฝึกตนนั้นจำเป็นต้องใช้ทรัพยากร ส่วนการศรัทธาในเทพเจ้านั้นเป็นทางเลือกที่เรียบง่ายยิ่งกว่ามาก
สะดวกสบาย เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพคือจุดขายหลักของการบูชาเทพเจ้า กระทั่งด้วยการปราบปรามจากนิกายไร้ขอบเขต การบูชาเทพเจ้าก็เริ่มแพร่กระจายออกไปอย่างลับ ๆ โชคยังดีที่กลุ่มเหล่านี้ส่วนมากมีขนาดเล็กและเป็นกลุ่มใต้ดิน และจะไม่มีวันได้เห็นแสงตะวัน แต่ซูเฟยหูก็รู้ถึงเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด
แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมนิกายไร้ขอบเขตจึงต้องจำกัดการบูชาเทพเจ้าคนอื่น ๆ ซูเฉินก็มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นเป็นแน่
การคาดเดาของซูเฟยหูได้รับการยืนยันโดยการมาเยี่ยมเยียนของซูเฉินครานี้
หลังจากที่คิดอยู่ครู่ใหญ่ ซูเฉินก็เอ่ยถาม “สถานการณ์ด้านศาสนาในเมืองหลินเป่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูเฟยหูตอบ “ข้ายังไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนว่าตระกูลหลี่จะมีผู้นับถือศาสนาอยู่ภายในการจัดอันดับ พวกเขาสวดมนต์เป็นประจำทั้งกลางวันและกลางคืน จัดการกลุ่มสวดมนต์ และถวายเครื่องเซ่นไหว้ ข้าไม่แน่ใจในรายละเอียดมากนัก ซูเฉิน ทำไมเจ้าต้องพยายามปราบปรามการบูชาศาสนาด้วย? ข้าได้ยินมาว่าพวกเทพเจ้ามีอยู่จริง และพวกเขาก็อาจกลับมาในอีกไม่ช้า มันเป็นเรื่องจริงไหม?”
ซูเฉินหรี่ตา “เจ้าได้ยินมาจากใครหรือ?”
“จะใครอีกล่ะ สมาชิกตระกูลหลี่ต่างก็พูดคุยกันว่าเทพเจ้าจะกลับมาเพื่อทวงคืนแดนต้นกำเนิดกลับไปเป็นของตนเองเมื่อไร แดนต้นกำเนิดอะไรกัน? พวกเราอยู่บนทวีปต้นกำเนิดไม่ใช่หรือ?”
ซูเฉินเงียบสนิทไม่ได้ตอบกลับไป
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะไปแล้ว”
“ไปแล้ว?” ซูเฟยหูชะงักไป
บทสนทนาของพวกเขาดูจะดำเนินมาได้อย่างดีทีเดียว ทำไมจู่ ๆ เขาต้องจากไปด้วย?
“เจ้าจะไม่อยู่อีกสักหน่อยหรือ?”
“ข้ายังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ” ซูเฉินตอบ
ขณะที่พูดก็กลับหลังหันและเริ่มเดินจากไป ทันใดนั้นเอง ซูเฉินก็หยุดนิ่งราวกับว่านึกบางสิ่งขึ้นได้และถามซูเฟยหู “ถ้าข้าจำเป็นต้องสังหารผู้คนมากมายเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ ข้าจะเป็นคนหลอกลวงหรือเปล่า? ข้าควรทำเช่นนั้นไหม?”
ซูเฟยหูตอบด้วยความจริงใจ “ไม่เลย ผู้ที่มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่มีสิ่งที่ทั้งจำเป็นต้องทำและสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ การเสียสละตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์คือสิ่งที่ดี”
ซูเฉินพยักหน้าหงึก ๆ แล้วจึงหันหลังเตรียมจะออกเดินต่อ
ซูเฟยหูรู้สึกประหลาดใจอยู่ลึก ๆ ขณะที่มองดูซูเฉินเดินจากไป
ทันทีที่ซูเฉินออกจากคฤหาสน์ตระกูลซู เขาก็ปรบมือ ใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างหลังซูเฉินราวกับผี
เล่อเฟิงนั่นเอง
เขายืนตระหง่านด้วยขาทั้งสองข้างอีกครั้ง กระทั่งพละกำลังของเขาก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นจากก่อนหน้านี้
“ไปตรวจสอบตระกูลหลี่เพื่อดูว่าพวกเขากำลังบูชาเทพเจ้าหรือเปล่า ตอนนี้กำลังอยู่ที่พื้นที่ทางตะวันออกของเมือง และหากเป็นเช่นนั้นจริง… จงสังหารคนพวกนั้นเสีย”
“สังหารพวกเขาหรือ?” เล่อเฟิงสะดุ้งเฮือก
แม้ว่านิกายไร้ขอบเขตจะห้ามการบูชาเทพเจ้าเด็ดขาดเสมอมา แต่พวกเขาก็ไม่เคยสังหารผู้นับถือศาสนาคนอื่น ๆ มาก่อน
“ใช่ สังหารพวกเขา” ซูเฉินตอบอย่างแน่วแน่ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การบูชาเทพเจ้าจะเทียบเท่ากับการบูชาปีศาจ ผู้ใดที่ยังคงศรัทธาในเทพพวกนั้น… จะถูกสังหาร!”
“เข้าใจแล้ว!” เล่อเฟิงตอบเสียงดังลั่น
ซูเฉินหมุนตัวและจากไป
ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวขาออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลซู ความสัมพันธ์สุดท้ายระหว่างเขากับตระกูลซูถูกตัดขาดลงแล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เป้าหมายเดียวของเขาคือเหล่าเทพเจ้าเท่านั้น
ในเมื่อศึกกับเทพเจ้ากำลังจะบังเกิดขึ้น เหล่าผู้ศรัทธาล้วนเป็นต้นทุนและเป็นตัวแปรสำคัญในการกำชัย ซูเฉินก็ไม่อาจให้เทพเจ้ามีข้อได้เปรียบนี้ได้ ไม่ว่าจะน้อยนิดเพียงไรก็ตาม
สงครามได้ก่อกำเนิดขึ้นแล้ว ไม่มีที่ให้หลบหนีอีกต่อไป สิ่งที่ต้องสำเร็จก็จะต้องสำเร็จ แม้มันจะหมายความว่ามือของเขาต้องเปื้อนเลือดก็ตาม!!