ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 63 สนธิสัญญานิรันดร์กาล
บทที่ 63 สนธิสัญญานิรันดร์กาล
หลังจากที่ซูเฉินได้รับวิชาภาพฉายบรรพชนมนุษย์ เขาก็กลับไปศึกษามันเพิ่มเติมทันที
วิชาภาพฉายนี้แตกต่างจากวิชาร่างแยกโลหิตของเขาโดยสิ้นเชิง อย่างหลังนั้นตั้งอยู่บนการแบ่งแยกชิ้นส่วนพลังชีวิตของตัวเองออก และมันยังต้องดูดซึมพลังต้นกำเนิดเพื่อสร้างร่างแยกอีกด้วย
ภาพฉายบรรพชนมนุษย์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้เลือด ที่ต้องใช้ทั้งหมดมีเพียงแค่เสี้ยวจิตวิญญาณของผู้ใช้เท่านั้น นี่ยังเป็นเหตุผลที่มันถูกเรียกว่าวิชาภาพฉายและไม่ใช่วิชาร่างแยกอีกด้วย
และยังเป็นเหตุผลที่ภาพฉายของบรรพชนมนุษย์สามารถข้ามปราการได้ อย่างไรแล้วพลังจิตก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถข้ามผ่านมันไปได้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการสร้างภาพฉายเช่นนั้นจะไม่มีค่าใช้จ่าย พวกเขาจะต้องได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยกำลังวังชาของตนเอง นั่นคือเงื่อนไขที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทุกครั้งที่บรรพชนมนุษย์สร้างภาพฉายขึ้น เขาจะต้องมีร่างให้ฉายมันเข้าไป
พูดง่าย ๆ คือวิชาภาพฉายบรรพชนมนุษย์ยังเรียกได้ว่าเป็นวิชาครอบงำอีกด้วย แต่อัตราความสำเร็จในการครอบงำนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยินยอมของเป้าหมายแต่เป็นอายุของพวกเขาต่างหาก
เหตุผลเดียวที่เขาสามารถทำสิ่งเช่นนี้ได้สำเร็จเป็นเพราะเขาคือบรรพชนเผ่ามนุษย์เท่านั้นเอง
แต่ทุกครั้งที่เขาฉายภาพ เขาต้องใช้เวลาถึงกว่าชั่วชีวิต
นี่คือเหตุผลที่ภาพฉายของบรรพชนมนุษย์จะปรากฏขึ้นนาน ๆ ครั้งนั่นเอง เขาจำเป็นต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการสร้างทุกภาพฉายขึ้นมา
แต่เมื่อปราการเริ่มพังทลายลง ความยากลำบากในการสร้างภาพฉายเหล่านี้ก็ลดลงมหาศาล นอกจากนี้ ภาพฉายของบรรพชนมนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องถูกกำจัดหลังจากที่ใช้ทันทีอีกต่อไปแล้ว
รูปลักษณ์ประจำของขอทานชราถูกเลือกมาอย่างมีจุดประสงค์ เขาจำเป็นต้องส่งต่อข้อมูลไปยังเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ก็จำเป็นต้องทำโดยไม่ทำลายสมดุลของแดน ดังนั้นแล้ว เขาจึงต้องทำงานด้วยข้อจำกัดเหล่านั้นอย่างไม่มีทางเลือก
โชคไม่ดีนักที่สัญญาณเหล่านี้ไม่เคยเป็นสิ่งใดไปมากกว่าตำนานเท่านั้น ผู้คนรู้แค่ว่าขอทานชราทำสิ่งใด แต่ไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม ชื่อเสียงในตำนานนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นจริงได้ด้วยมือเหล่านี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เติมเต็มความฝันของเขาและนำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปสู่ความรุ่งโรจน์
แน่นอนว่าการจะพูดว่าไม่เคยมีใครเลยก็จะเกินไปสักหน่อย
บรรพชนตระกูลกู่ กู่เซวียนเหมี่ยนผู้สกัดสายเลือดมังกรสุริยะและก่อตั้งราชวงศ์มนุษย์ราชวงศ์แรก ได้รับประทานพรจากบรรพชนมนุษย์
ด้วยพลังของเขา กู่เซวียนเหมี่ยนได้พัฒนาระบบบ่มเพาะสายเลือดที่ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่ามันจะส่งผลให้เกิดการก่อตั้งตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เพิ่มขึ้นมหาศาล
โชคไม่ดีนักที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงกลับจำกัดพัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเวลาไม่นาน ในบางแง่ การมีอยู่ของพวกเขาจำกัดเส้นทางการฝึกตนไร้สายเลือดและเส้นทางการเป็นอมตะ
จนกระทั่งซูเฉินปรากฏตัวขึ้นและทำลายข้อจำกัดทางสายเลือด ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็นครั้งที่ 2
แต่ถึงอย่างนั้น การกระทำของบรรพชนมนุษย์ก็สำคัญต่อพัฒนาการของเผ่าพันธุ์
แต่กระทั่งเขาก็ไม่อาจห้ามการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าได้
ซูเฉินรู้ว่าเขาคือความหวังสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์
หลังจากได้รับวิชาภาพฉายมา ซูเฉินก็ใช้งานไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดทันทีเพื่อพยายามหาวิธีการเชื่อมวิชาภาพฉายกับวิชาร่างแยกโลหิตของตน
ในบางเชิง วิชาภาพฉายของบรรพชนมนุษย์คือวิชาศักดิ์สิทธิ์ และการทำนายใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมันจะต้องใช้ของแลกเปลี่ยนที่มีค่าเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ซูเฉินกวาดล้างเผ่าวิญญาณและควบคุมผืนป่าแล้ว ความร่ำรวยของเขาก็พุ่งทะยานขึ้น ณ จุดนี้ เขามีผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายหลายร้อยชิ้นและเลือดเทพอสูรอีกเป็นพันเป็นหมื่นจิน
ไม้เท้าอสูรต้นกำเนิดคือสิ่งของที่สามารถบงการกฎแห่งพลังได้ ตราบใดที่เงื่อนไขของมันถูกเติมเต็ม มันก็สามารถให้คำทำนายได้ และหลังจากที่มันได้รับทรัพยากรมากพอ วิธีการเชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกันก็จะปรากฏขึ้น
10 วันหลังจากนั้น ซูเฉินก็ออกจากวังไร้ขอบเขตและบินออกไปยังความมืดมิดไกลออกไปจนกระทั่งเขาไปถึงสถานที่ที่เคยถูกบ่งชี้ไว้โดยบรรพชนมนุษย์
ในแวบแรก สถานที่แห่งนี้ดูจะรกร้างว่างเปล่าโดยสมบูรณ์
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ยังเป็นสถานที่ที่ชิ้นส่วนปราการชิ้นใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ และเป็นตำแหน่งที่เทพเจ้าจะปรากฏตัวเมื่อพวกเขากลับมา
แต่ก่อนจะเกิดเรื่องพวกนั้น ซูเฉินกำลังจะใช้ชิ้นส่วนนี้และแทรกซึมเข้าไปในแดนของพวกเขาเสียก่อน
ด้วยเพราะเข้าใจกฎแห่งพลังสูญ ซูเฉินจึงสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของชิ้นส่วนทันทีที่มาถึง
เมื่อเขาตวัดนิ้วเบา ๆ ประตูหนึ่งก็เผยออกมาให้เห็น
ซูเฉินก้าวเข้าไปข้างใน แล้วก็ต้องพบกับพื้นที่เบื้องหลังประตูที่กว้างใหญ่กว่าที่เขาเคยพบมาก่อน
เพื่อไม่ให้มนุษย์รับรู้ถึงตัวตน เทพเจ้าจึงไม่ได้ใช้พลังใดที่นี่ พื้นที่แห่งนี้จึงถูกเก็บไว้เป็นความลับจนถึงตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะบรรพชนมนุษย์แล้ว ซูเฉินคงต้องใช้เวลากว่าหลายหมื่นปีจึงจะหามันพบ
แต่ตอนนี้เขาสามารถใช้มันเพื่อสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว
พื้นที่เบื้องหน้าเขาฉีกขาดออกขณะที่บรรพชนมนุษย์ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าพร้อมหรือยัง?” เขาเอ่ยถาม
ซูเฉินพยักหน้า
“งั้นให้ข้าเลือกร่างดี ๆ ให้เจ้านะ”
ซูเฉินบีบเค้นหยดเลือดของตัวเองออกมา หยดเลือดนี้ไม่ใช่เลือดธรรมดาทั่วไป มันคือแก่นโลหิตของเขา
บรรพชนเผ่ามนุษย์หน้าบูดบึ้งเมื่อเห็นดังนั้น “ไม่มีวัตถุกายภาพใดสามารถข้ามผ่านปราการไปได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ ชิ้นส่วนนี่ใหญ่พอที่จะให้พลังจิตผ่านไปได้เท่านั้น”
“ข้ารู้” ซูเฉินตอบอย่างแน่วแน่
แก่นโลหิตค่อย ๆ จางหายไปขณะที่มันดูเหมือนจะซึมเข้าไปในฝ่ามือของเขา
“หืม? นี่คือ…?” บรรพชนมนุษย์กระเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจขณะที่ทักขึ้น “ความสามารถของเจ้าแห่งแดนฝันในการมอบตัวตนให้แก่วัตถุภาพลวงตาหรือ?”
“ข้าจัดการร่างแยกของเขาตัวหนึ่งและเรียนรู้มาจากมันมานิดหน่อยน่ะ” ซูเฉินตอบ
แก่นโลหิตไม่ได้หายไปจนหมด แต่มันกลับถูกซ่อนไว้ภายในร่างกายของเขาแทน
แต่ถึงอย่างนั้น การข้ามปราการก็ยังไม่ง่ายดายอยู่ดี
โชคยังดีที่ซูเฉินได้รับการสนับสนุนจากบรรพชนมนุษย์
ภาพฉายของบรรพชนมนุษย์เริ่มถอยหลังหนี
เมล็ดจิตปกคลุมแก่นโลหิตลวงตาและทั้งสองก็บินเข้าไปหาปราการ แต่ยิ่งเข้าใกล้ปราการนั้นเท่าไร แรงกดดันของทะเลพลังต้นกำเนิดที่พวกเขาต้องต้านทานก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น กระทั่งพลังจิตก็รักษาตัวเองเอาไว้ได้อย่างยากลำบากท่ามกลางพายุพลังต้นกำเนิดอันทรงพลังที่ก่อตัวขึ้นที่นี่ และที่ยิ่งไปกว่านั้น …วัตถุลวงตา
แม้จะดูเหมือนว่าพวกเขาห่างจากรอยแยกอีกเพียงไม่กี่ฉื่อ ระยะทางนั้นก็รู้สึกราวกับช่องว่างที่แทบจะไร้ที่สิ้นสุด
การจำกัดกฎแห่งพลังที่มาจากอีกฟากหนึ่งป้องกันไม่ให้วัตถุกายภาพใดข้ามไปได้โดยไม่ผ่านการตรวจสอบที่อันตรายอย่างถึงที่สุดไปเสียก่อน แก่นโลหิตลวงตาเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าและไม่มั่นคงขณะที่สายลมรุนแรงกระแทกมันอย่างต่อเนื่อง ไม่นานหลังจากที่เข้าไปในพื้นที่สายลมปั่นป่วน มันก็แหว่งไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ณ จุดนี้ หยดแก่นโลหิตจะมลายหายไปก่อนจะไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง แม้ว่าเมล็ดจิตจะยังผ่านไปได้ หากมันไม่ได้ผสานกับแก่นโลหิตของซูเฉินก็เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเติบโตเป็นปกติตามภาพฉายของบรรพชนมนุษย์
โชคดีที่บรรพชนมนุษย์เข้ามาช่วยได้อย่างทันท่วงที
ภาพฉายปกคลุมแก่นโลหิตของซูเฉินไว้ในเกราะพลังจิตอันทรงพลังเพื่อช่วยต้านทานแรงกดดันที่กำลังจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้น ๆ
ในที่สุด!
ภายใต้การปกป้องจากพลังจิตของบรรพชนมนุษย์ หยดแก่นโลหิตลวงตาก็เดินทางผ่านรอยแยกมาได้
“เฮ้อ! ในที่สุดเราก็ผ่านมาได้” ซูเฉินถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“ที่เหลือขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ข้าไม่มีพละกำลังที่จะช่วยเหลือเจ้าอีกสักพัก” ร่างเงาของจิตวิญญาณบรรพชนมนุษย์จะสื่อสารกับซูเฉินจากอีกฝั่งหนึ่งขณะที่มันเริ่มจางหายไป เห็นได้ชัดว่าการร่ายเกราะป้องกันให้แก่แก่นโลหิตลวงตาทำให้เขาต้องสูญเสียไปไม่น้อย
ร่างกายหลักของซูเฉินมองดูหยดแก่นโลหิตหายวับไป แต่เขาก็ยังไม่ไปไหน ยังคงอยู่ที่นั่นเพื่อใช้กฎแห่งพลังสูญของตนเพื่อควบคุมสิ่งโดยรอบและลดอัตราการขยายของรอยแยก
แม้ว่ากฎแห่งพลังสูญจะไม่อาจหยุดปราการจากการพังทลายลงได้ อย่างน้อยมันก็สามารถลดความเร็วของการพังทลายลง
มันไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่เพียงแห่งเดียว นิกายไร้ขอบเขตก็กำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อพยายามรักษาสมดุลของรอยแยกอื่น ๆ ไว้เช่นกัน ด้วยความหวังว่าการกระทำของพวกเขาจะสามารถชะลอเทพเจ้าไว้ได้อย่างน้อยอีกสัก 2-3 ปี
ส่วนภาพฉายของซูเฉินนั้น ช่วงเวลานี้ยังไม่ลงตัวนัก หวังว่าภาพฉายของเขาจะสามารถหาวิธีการชะลอการกลับมาของพวกเขาออกไปได้
ภายในเขตแดนคืนเหมันต์
ขุนนางเฟยปี่นั่วเดินวนไปวนมาอยู่ข้างนอกห้องจนกระทั่งเสียงร้องไห้ใสแจ๋วของทารกตัวน้อยดังสนั่น
หมอตำแยผู้ทำคลอดทารกคนนี้ คุณหนูเจียซือตุ้น อุ้มทารกแรกเกิดออกมาจากห้อง “ยินดีด้วย ขุนนางเฟยปี่นั่ว ตอนนี้ท่านมีลูกชายแล้ว”
“อา ลูกชาย! ในที่สุดเฟยปี่นั่วก็มีลูกชายแล้ว!” ขุนนางเงยหน้าหัวเราะลั่นด้วยความโล่งอกและบีบมือทั้งสองข้างราวกับว่าต้องการจะโอบกอดลูกชายของตน แต่เขาก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น
“ท่านอุ้มเขาได้ แต่อย่าออกแรงมากเกินไปล่ะ” คุณหนูเจียซือตุ้นกล่าวขณะที่นางส่งเด็กน้อยให้อย่างเบามือ
เฟยปี่นั่วจ้องมองลูกชายของตนขณะที่กล่าวอย่างอ่อนโยน “ดูสิ เขามีดวงตาสีดำ”
“และผมสีดำ” คุณหนูเจียซือตุ้นกล่าว “ดูสิ เขาลืมตาแล้ว กำลังมองท่านด้วย”
ทารกน้อยลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย
ดวงตาของเขาขยับไปมาอย่างมีชีวิตชีวา
“ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าอะไรหรือ?” คุณหนูเจียซือตุ้นถาม
“ดูสิว่าสายตาเขาเฉียบคมขนาดไหน เด็กคนนี้จะต้องอัจฉริยะเป็นแน่ ข้าสัมผัสได้! ทั้งตระกูลขุนนางเฟยปี่นั่วจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะเขา! ข้าจะเรียกเขาว่าหลินซวง หลินซวงเฟยปี่นั่ว!” เฟยปี่นั่วตอบอย่างเฉียบขาด
และเช่นนั้นเอง ชื่อของหลินซวงได้ถูกเลือกแล้ว
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลินซวงหน้าบึ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนี้
แม้จะสังเกตเห็น พวกเขาก็คงคิดว่ามันเป็นแค่การกระตุกของกล้ามเนื้อที่ไม่สำคัญเท่านั้น
มีเพียงหลินซวงน้อยเท่านั้นที่รู้ว่าสีหน้าบึ้งตึงนี้แท้จริงแล้วมาจากความไม่พอใจ และเขาก็ไม่พอใจเพราะวิชาจิตหลงเสน่ห์นี้ล้มเหลว
เขาพยายามใช้พลังจิตควบคุมพ่อของตนให้ตั้งชื่อว่าซูเฉิน นี่จะช่วยไม่ให้เขาต้องตอบสนองต่อ 2 ชื่อที่แตกต่างกัน
แต่ปริมาณของพลังจิตที่เขาครอบครองไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้น
ภาพฉายของซูเฉิน หรืออีกชื่อคือหลินซวงเฟยปี่นั่ว ค้นพบอย่างรวดเร็วว่านี่เป็นเพราะ แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แท้จริงแล้วแตกต่างจากมนุษย์ไม่น้อยเลย
ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดคือพลังจิตของสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้อยู่ในสถานะของแข็ง
ทำให้จิตของพวกเขาได้รับผลกระทบจากโลกภายนอกได้ยากทีเดียว และในทางกลับกันก็เป็นเช่นนี้
บางทีนี่อาจะเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ขยักหนึ่งให้แก่เทพเจ้าหรือไม่ให้เลยก็ได้ ตัวตนพื้นฐานของพวกเขาถูกจำกัดไว้และไม่อาจปล่อยออกมามากได้ ทำให้เทพเจ้าใช้งานความศรัทธาของพวกเขาได้ยากเย็นทีเดียว ผลที่ตามมาคือประชากรของพวกเขาเพียงพอที่จะให้เทพเจ้าบางส่วนยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปได้
ยุคมืดแห่งเทพเจ้าคือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เทพเจ้าโบราณต่อสู้กันหลังจากนั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เทพเจ้ามากมายถูกสังหารระหว่างความขัดแย้งครั้งนี้
เห็นได้ชัดว่าสำหรับซูเฉินแล้ว สงครามนี้เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของเทพเจ้าเอง
ชีวิตของเทพเจ้าที่ตายไปถูกใช้เพื่อรักษาโลกนี้ไว้ นำมาซึ่งสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่และผู้บูชาใหม่ นี่คือสิ่งที่ทำให้เทพเจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่เอาชีวิตมาได้จนถึงวันนี้และแก่ชราลง
หลังจากสงครามนั้น เทพเจ้าก็สร้างข้อตกลงสงบสุขและจะไม่ต่อสู้กันเองอีก ในทางกลับกัน พวกเขาจะมุ่งความพยายามทั้งหมดไปกับการพังทลายปราการลงและพยายามหลบหนี
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เหล่าเทพเจ้าจำเป็นต้องร่วมมือกัน หากเกิดการต่อสู้กันเองขึ้นอีกครั้ง พวกเขาจะต้องพบกับความพินาศอย่างไม่ต้องสงสัย!
นั่นคือการก่อกำเนิดขึ้นของสนธิสัญญานิรันดร์กาล