ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 69 การแทรกซึม (6)
บทที่ 69 การแทรกซึม (6)
[TRIGGER WARNING: การทำร้ายตัวเอง]
ภายในอารามนิกายเจ้าเหมันต์
นักบวชเค่อหลี่ชือทัวฝูนั่งอยู่ที่โต๊ะหินยาวสีขาวสะอาด ท่าทางของเขาดูแข็งทื่อขณะที่มองไปยังเหล่านักรบที่ก้าวเดินเข้ามาหาเขา
พวกเขาสวมเกราะสีเงินและกวัดแกว่งง้าวทรงพระจันทร์เสี้ยว หมวกที่พวกเขาใส่อยู่ถูกประดับด้วยหงส์สีขาวสะอาด
คนเหล่านี้คือนักรบหงส์จากโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ผู้อารักขาชั้นสูงของพวกเขานั่นเอง
“พวกเขาส่งบาทหลวงกว่า 6 คนและนักรบหงส์กว่า 20 คนมาหรือ? จะมาตรวจสอบหรือมาโจมตีกันแน่?” หนึ่งในบาทหลวงที่ยืนอยู่ข้างกายเขาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยาม
“เงียบซะ เฉียวจื้อย่า อย่าสร้างปัญหาล่ะ” เค่อหลี่ชือทัวฝูตอบอย่างเคร่งขรึม “โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ส่งกองกำลังที่ทรงพลังไม่น้อยมา แต่ด้วยสนธิสัญญานิรันดร์กาล พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ตามใจชอบ”
แม้ว่าสนธิสัญญานิรันดร์กาลจะไม่ได้จำกัดการกระทำของเหล่าศิษย์ ความสงบสุขที่ควรจะถูกรักษาไว้ก็ส่งผลต่อทุก ๆ คน ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเริ่มโจมตีอย่างไม่แยแส
ส่วนมาก กระบวนการคิดนี้จะถูกต้อง แต่ตอนนี้เมื่อมีใครบางคนออกอุบายให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็ย่อมมีข้อบกพร่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นักรบจากโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์มาถึงยังอารามแห่งโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ในที่สุด
กองทหารแหวกทางออก และชายผู้สวมผ้าคลุมสีเหลืองขนาดใหญ่ก็ก้าวออกมาข้างหน้า “เค่อหลี่ชือทัวฝูเพื่อนข้า อย่าพยายามเล่นตุกติกกับข้าเลย”
“กานปั๋วเอ่อร์?” เมื่อเห็นกานปั๋วเอ่อร์ ดวงตาของเค่อหลี่ชือทัวฝูก็หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด
เฉียวจื้อย่าก็ตะลึงไปเช่นกัน “นักบวชใหม่จากโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์หรือ? ท่านรู้จักเขาหรือ?”
“ใช่ พวกเราเคยพบกันมาก่อน… และไม่ใช่ในทางที่ดีเลย ไอ้งูพิษ!” เค่อหลี่ชือทัวฝูก่นด่า
เขาไม่ได้พยายามเบาเสียงของตนแม้แต่น้อย และกานปั๋วเอ่อร์ก็ได้ยินทุกสิ่งที่เขาพูด
กานปั๋วเอ่อร์ยักไหล่ “อย่าพูดอย่างนั้นเลย เค่อหลี่ชือทัวฝู เจ้าก็รู้ว่าข้ามองเจ้าเป็นเพื่อนมาเสมอ”
“ทุกคนที่เป็นเพื่อนของเจ้าล้วนต้องตกระกำลำบากทั้งสิ้น… ข้าไม่เคยลืมว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนิ่วซือ”
กานปั๋วเอ่อร์ยักไหล่อีกครั้ง “เขาทรยศแสงแห่งเทพเจ้า ข้ารู้สึกไม่ดีเลยตอนที่ต้องชำระล้างเจ้านั่น แต่อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย เจ้ารู้ดีว่าวันนี้ข้ามาที่นี่ทำไม”
“ข้ารู้ แต่ข้าก็รู้ว่าคนของเจ้าตายไปในป่าอ้างว้างโดยไม่ใช่ฝีมือของโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ด้วย เจ้าควรไปตรวจสอบที่นั่นดูก่อนนะ”
“คงจะไม่ดีนัก หากข้าไม่แวะมาทักทายก่อนสักหน่อยใช่ไหมล่ะ?” กานปั๋วเอ่อร์ตอบอย่างใจเย็น “ยังไงก็เถอะเบาะแสที่เกี่ยวข้องอาจไม่อยู่ที่ป่าอ้างว้างก็ได้ พวกมันอาจจะอยู่ในโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์นั่นแหละ”
เค่อหลี่ชือทัวฝูฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “นั่นหมายความว่ายังไงกัน? เจ้ากำลังบอกว่าพวกเราเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นงั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้บอกอะไรเลย เค่อหลี่ชือทัวฝู เจ้าเองก็รู้ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือตามหาความจริง… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจที่เราเข้ามาตรวจสอบดู ใช่ไหม?” กานปั๋วเอ่อร์ถาม
เค่อหลี่ชือทัวฝูหันไปจ้องเขาเขม็ง แล้วจึงกลับหลังหันและเดินกลับเข้าไปในอาราม “เจ้าเข้ามาได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะปฏิบัติตามกฎของอารามนี้ ข้าจะพยายามจัดเตรียมพื้นที่ที่เจ้าต้องการไปให้ แต่ถ้าข้าทำไม่ได้ก็อย่าทำตัวมีปัญหานักเลย”
“ข้าไม่จำเป็นต้องไปที่อื่นใดทั้งสิ้น” กานปั๋วเอ่อร์กล่าวขณะที่เขาเดินตามเค่อหลี่ชือทัวฝูเข้าไปข้างในอาราม “ข้าแค่อยากจะดูห้องของเจ้าหน่อยน่ะ”
“เจ้าว่าไงนะ?” เค่อหลี่ชือทัวฝูหยุดชะงักลงด้วยความตกตะลึง “กานปั๋วเอ่อร์ เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”
“แน่นอน เค่อหลี่ชือทัวฝูเพื่อนข้า” กานปั๋วเอ่อร์ตอบอย่างหน้าด้าน “ให้ข้าดูภายในห้องของเจ้า นี่คือคำขอเดียวของข้า”
บาทหลวงและนักรบคนอื่น ๆ แห่งโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ต่างก็เริ่มคำรามลั่นด้วยความเดือดดาล
“ไม่เด็ดขาด!”
“นั่นมันจะเหยียดหยามกันเกินไปแล้ว!”
“โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์กำลังรังแกพวกเรามากเกินไปแล้ว!”
กานปั๋วเอ่อร์กล่าวอย่างสงบนิ่ง “เจ้าไม่ได้ปฏิเสธข้าเพราะเจ้ามีความสำนึกผิดใช่ไหม?”
เค่อหลี่ชือทัวฝูจดจ้องกานปั๋วเอ่อร์อยู่อย่างนั้น หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เขาก็พยักหน้าในที่สุด “ก็ได้ เจ้าเข้ามาดูได้”
“ท่านหัวหน้านักบวช!” บาทหลวงและนักรบคนอื่น ๆ ล้วนพยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจ
เค่อหลี่ชือทัวฝูเอ่ยขึ้น “ข้าจะอนุญาตให้เจ้าตรวจค้นห้องของข้าได้ แต่ถ้าเจ้าไม่พบสิ่งใด เจ้าจะต้องทำบัญชีให้ข้า”
“ได้แน่นอน” กานปั๋วเอ่อร์ตอบ
เค่อหลี่ชือทัวฝูเริ่มออกเดินไปยังห้องของตนเอง
ห้องของเค่อหลี่ชือทัวฝูอยู่ในสวนอันเปล่าเปลี่ยวบริเวณด้านหลังของอาราม บ้านของเขาถูกก่อสร้างขึ้นจากอิฐสีแดง และลานของเขาก็สวยงามอย่างถึงที่สุด
คนกลุ่มหนึ่งเดินตรงไปยังพื้นที่อยู่อาศัยของหัวหน้านักบวชอย่างเอื่อยเฉื่อย นักบวชผู้นำทางตั้งใจพาทุกคนเดินอ้อมเพราะไม่ต้องการเปิดเผยความลับของหัวหน้านักบวชให้แก่คนอื่นใดแม้ว่าพวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าอ้างว้างจริง ๆ ก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างโบสถ์นั้นมักจะซับซ้อนและน่าเกลียดยิ่งกว่าความขัดแย้งระหว่างชนชั้นสูงที่แก่งแย่งเขตแดนกันเสียอีก หากพวกเขาไม่แม้แต่จะพยายามห้ามไม่ให้อีกฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า พวกเขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นานเท่านั้น
แล้วหัวหน้านักบวชแบบไหนจะไม่มีโครงกระดูกอยู่ในตู้กัน? ยกตัวอย่างเช่น เค่อหลี่ชือทัวฝูนั้นเป็นเฒ่าหัวงู และเบาะแสก็ถูกพบได้ในห้องของเขาได้ไม่ยากเลย หากข่าวเช่นนั้นแพร่กระจายออกไปสู่สาธารณะ นักบวชเค่อหลี่ชือทัวฝูก็จบเห่แม้ว่าโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์จะบริสุทธิ์ก็ตาม
ผู้อารักขาทั้งหลายผู้รับผิดชอบการทำลายหลักฐานก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดที่จะทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์โกรธเคืองไปมากกว่านี้
แต่โชคไม่ดีนัก เพียงเพราะการมีคนเฝ้ายามนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถทำนายทุกสิ่งทุกอย่างได้
หนึ่งในผู้เฝ้ายามรีบรุดเข้ามาในห้องของเค่อหลี่ชือทัวฝูและเตรียมพร้อมเก็บกวาดทุกเบาะแสที่ปรากฏอยู่
แต่ตอนที่กำลังจะทำเช่นนั้นนั่นเอง เขาก็หยุดชะงักลงในทันใด
“ข้าประทับใจที่เจ้าพบข้าได้ง่ายขนาดนี้นะ” เสียงหนึ่งหัวเราะอยู่ข้างหลังเขา
ผู้เฝ้ายามมากประสบการณ์ไม่ได้หันหลังไปมองด้วยซ้ำ เขากลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “กานปั๋วเอ่อร์ส่งเจ้ามาใส่ความข้าใช่ไหม? งั้นโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็มีแรงจูงใจซ่อนไว้จริง ๆ แต่แผนของเจ้าล้มเหลวแล้ว เมื่อมีพวกเราอยู่ที่นี่ มันไม่มีทางเกิดขึ้น”
เสียงนั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย “เจ้าพูดถูกที่ว่าพวกเราไม่อาจใส่ความโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ได้ แต่ถ้าพวกเราแค่พยายามหาข้ออ้าง ทีนี้มันก็ไม่สำคัญแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“อะไรนะ?” ผู้เฝ้ายามคนนั้นตะลึงงัน
ฟุ่บ!
ทันใดนั้น ความรู้สึกปวดหนึบ ๆ ก็ปะทุขึ้นในอกของเขา เมื่อก้มหัวลง เขาก็ต้องพบกับหนามแหลมคมที่ยื่นออกมาจากหน้าอก
ผู้จู่โจมคนนั้นสังหารเขาแล้ว…
เจ้านั่นกล้าดียังไง…
ความคิดค้างคานี้ลอยจากไปขณะที่ผู้เฝ้ายามเริ่มหมดสติลงช้า ๆ
เขาต้องการรู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบสิ่งนี้อย่างหมดหวัง แต่ขณะที่กำลังสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ทุกสิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงร่างเตี้ย ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังเท่านั้น
เตี้ยมาก
วิสัยทัศน์ของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
การใส่ความจะจำเป็นเมื่อพวกเขาต้องการข้ออ้างทางศีลธรรมเท่านั้น แต่อุบายชั่วร้ายนั้นไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่าข้ออ้างอันแสนเรียบง่าย
ไม่ว่าโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์จะเป็นผู้กระทำการสังหารที่ไม่สำคัญแล้วจริง ๆ หรือไม่ ทั้งหมดที่โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ต้องการมีเพียงข้ออ้างในการต่อสู้เท่านั้น
หลินซวงมอบข้ออ้างที่เหมาะสมให้แก่พวกเขา ที่เหลือให้ต้องทำก็มีเพียงนั่งดูสถานการณ์ดำเนินต่อไปอยู่เงียบ ๆ และห่างออกไป
หลังจากที่จัดการทุกสิ่งในห้องใหม่ หลินซวงก็จากไปทันทีโดยกลับไปยังโถงสวดมนต์ของโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์และจับจองที่นั่ง
เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังท่องบทสวดตามการนำของนักบวชหญิง
หลินซวงท่องตามอย่างเชื่อฟัง แต่เขากำลังจดจ่ออยู่กับการฟังสิ่งที่เกิดขึ้นไกลออกไปมากกว่า
“ท่านพ่อบอกว่าพวกเราต้องถ่อมตนต่อเทพเจ้าเสมอ เก็บรักษาพวกเขาไว้ในใจของเรา…” เขาพูดอย่างแผ่วเบา
“เจ้าท่องผิดแล้ว ต้องเป็น ‘บูชาพวกเขาด้วยหัวใจของเรา’” เสียงหนึ่งกระซิบข้างหูของเขาเบา ๆ
เขาหันไปและพบกับเด็กหญิงผมแกละอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่ข้าง ๆ ดวงตากลมโตของนางกำลังมองมาที่เขาด้วยความตั้งใจ
“ก็ได้ เข้าใจแล้ว” หลินซวงตอบอย่างใจเย็น
เด็กหญิงตัวน้อยตาโตไม่พอใจและพึมพำเสียงเข้มยิ่งกว่าเดิม “เทพเจ้าประสงค์ให้เจ้าแสดงความจริงใจ! ถ้าเจ้าทำผิดพลาด เจ้าจะต้องสารภาพมันออกมาและลงโทษตนเอง เลือดของพวกเราจะล้างบาปของเราออกไป ไม่เช่นนั้น พวกมันจะคงอยู่ในใจเราตลอดไป!”
หลินซวงหัวเราะร่วน “เจ้าต้องการให้ข้าเสียเลือดเพื่อสิ่งนี้หรือ? เจ้านี่ยุ่งเรื่องชาวบ้านเก่งจริง ๆ”
เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย “นี่คือการสั่งสอนของเทพเจ้านะ! เจ้าควรจะต้องเชื่อฟัง”
หลินซวงยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของนาง
แล้วเขาก็พยักหน้า “ก็ได้ ถ้าเจ้ายืนยันเช่นนั้น”
เขาดึงดาบออกมาและเฉือนตัวเองทันที
เลือดสด ๆ พรั่งพรูออกมาจากแขนของเขา
การกระทำนี้ดึงความสนใจของนักบวชหญิงมาทันที “หลินซวง เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ข้าท่องบทสวดผิด นางเชื่อว่าข้าควรชะล้างข้อผิดพลาดนั้นด้วยเลือดของข้า ข้าก็ได้แต่ทำตาม” หลินซวงกล่าวขณะชี้ไปยังเด็กผู้หญิงข้าง ๆ
“สวรรค์! เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเช่นนั้น!” นักบวชหญิงร้องลั่นขณะที่อุ้มหลินซวงและจ้องมองเด็กหญิงด้วยความโมโห “เส้อหลินน่า เจ้าบังคับให้เพื่อนทำร้ายตัวเองได้ยังไงกัน?”
เด็กหญิงนามเส้อหลินน่าตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่าจะถูกสอนแทน และนางก็พูดเสียงตะกุกตะกัก “แต่นั่นคือสิ่งที่พระคัมภีร์เขียนไว้ ข้าเพียงแค่เชื่อฟังสิ่งที่เขียนไว้เท่านั้น”
“ไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องทำ” นักบวชหญิงตอบอย่างฉุนเฉียว “เจ้าควรจะจัดการดูแลตัวเองเท่านั้น!”
เด็กหญิงหวาดกลัวอย่างหนักเมื่อเห็นการระเบิดอารมณ์ของนาง และเมื่อความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นในหัวใจ น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นดวงตาก่อนจะร่วงเผาะลงบนพื้น
นางร้องไห้อยู่เป็นเวลานานทีเดียว และกระทั่งการท่องพระคัมภีร์ของนางก็ต้องหยุดชะงักลง
จนกระทั่งเสียงอันคุ้นเคยกระซิบเรียกนางอย่างแผ่วเบา
เส้อหลินน่าหลับหลังหันไปพบกับหลินซวงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ
“นี่ เช็ดน้ำตาสิ ถ้าเจ้าร้องไห้มากไปเจ้าจะไม่สวยอีกแล้วนะ” เขาพูด
“ไม่มีทาง!” เส้อหลินน่าสบัดหน้าหนีและยังคงรู้สึกผิด
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกถึงผ้าเช็ดหน้าที่กำลังซับน้ำตาบนใบหน้าของนาง
เส้อหลินน่าสะดุ้งตกใจ แต่นางก็ยอมให้หลินซวงเช็ดน้ำตาออกไปอย่างเบามือแม้ว่าอีกไม่นานเขาจะหยุดทำก็ตาม
เด็กชายยังคงส่งยิ้มให้นาง
ทันใดนั้น เส้อหลินน่าก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเริ่มเต้นเร็วขึ้น
“เจ้า… เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” นางถามด้วยใบหน้าร้อนฉ่า
“ข้าแค่รู้สึกแย่ที่ทำให้เจ้าร้องไห้ ข้าควรจะระวังไม่ให้นักบวชหญิงเห็นข้ามากกว่านี้”
เส้อหลินน่าซาบซึ้งในข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่ได้โทษนางแต่กลับรับความผิดไปเอง
นางร้องไห้มาเป็นเวลานานจนรู้สึกเวียนหัวและเอ่ยขึ้น “ข้าเริ่มชอบเจ้ามากขึ้นแล้ว เจ้าชื่ออะไร?”
“หลินซวง ข้าไม่ได้มาสวดมนต์ที่นี่บ่อยนัก และข้าก็ไม่ได้เป็นผู้นับถือที่เคร่งศาสนาด้วย” หลินซวงตอบ
“ข้าคุ้นชื่อของเจ้ามาก” เด็กหญิงพึมพำ “นามสกุลของเจ้าล่ะ?”
“ข้าไม่อยากให้ตัวตนของข้ามาขัดขวางการติดต่อของเรา” หลินซวงตอบ
“เจ้าดูเหมือนจะมาจากครอบครัวชนชั้นสูง แต่ครอบครัวข้าก็ไม่ได้อ่อนแอนะ” เส้อหลินน่าตอบ
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดเสริม “แต่บางทีอาจจะไม่ทรงอำนาจเท่าของเจ้าก็ได้ ไม่อย่างนั้นนักบวชหญิงคงไม่ตะโกนใส่ข้าแบบนั้นหรอก”
“เจ้ายังอายุไม่ถึงจุดที่ควรจะใช้สถานะเพื่อกำหนดถูกผิดเสียหน่อย” หลินซวงกล่าว
“เจ้าพูดอย่างกับว่าอายุมากกว่าข้าเยอะงั้นแหละ” เด็กหญิงบุ้ยปาก “ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เจ้าไปได้แล้ว ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าตอนนี้ ค่อยกลับมาอีกทีแล้วข้าจะอยากสนใจเจ้ามากกว่านี้”
“ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้” หลินซวงตอบ
“ทำไมล่ะ?” เส้อหลินน่าตกตะลึง
“เพราะเจ้าขวางทางข้าอยู่” หลินซวงตอบคำถาม
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้นเอง เสียงระเบิดรุนแรงก็ดังขึ้นไกลออกไป
การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!