ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 73 การแทรกซึม (10)
บทที่ 73 การแทรกซึม (10)
“ถึงบ้านสักที!” เฟ่ยหลัวถอนหายใจยาวจากบนหลังม้า
หลังจากการเดินทางที่วุ่นวาย ขบวนพ่อค้าก็เดินทางถึงเมืองผาเกรียมในที่สุด ทำให้เฟ่ยหลัวคลายใจลงบ้าง
ทุกครั้งที่ออกไปด้านนอกนับว่าเสี่ยงอันตรายมาก
แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการเดิมพันนี้ได้สำเร็จนั้นควรค่าแก่การฉลอง
หลังส่งสินค้าไปเมืองผาเกรียมแล้ว กลุ่มพ่อค้าย่อมได้ผลตอบแทนครั้งใหญ่
เรื่องร้ายและดีนับว่าเกี่ยวพันกันโดยแท้ เฟ่ยหลัวคิดแล้วก็ถอนใจ
เขาหันไปพบกับทหารม้าหญิงผู้หนึ่งกำลังพูดคุยสนุกสนานอยู่กับคุณหนูไซ่ซีลี่ของเขา
เขาจึงเร่งม้าขึ้นไป “ท่านอีซาเป้ยลา เรามาถึงเมืองผาเกรียมแล้ว เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากท่านแท้ ๆ ”
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพกันหรอก พวกเรายินดีช่วยเหลือ” อีซาเป้ยลายิ้มตอบ
รูปลักษณ์ของนางค่อนข้างโดดเด่นอยู่แล้ว นางสวมชุดเกราะครบชุด ยามคลี่ยิ้มเกือบทุกคนรอบตัวก็เหมือนต้องมนต์
ทุกคนเหม่อมองอีซาเป้ยลาตาลอย ได้แต่คิดว่าใครที่ได้แต่งกับนางคงโชคดีมากแน่ ๆ
คงมีแต่พวกโจรที่ตามอีซาเป้ยลามาที่ไม่กล้าคิดเช่นนั้น
เพราะอย่างไรไม่ว่าหญิงสาวคนไหนที่สามารถยืนหยัดสั่งการกลุ่มโจรกระหายเลือดได้อย่างนาง ก็คงไม่ใช่ทำได้จากรอยยิ้มและความสวยงามของนางเป็นแน่ แต่คงมาจากหมัดหนักและมือเปื้อนเลือดมากกว่า
อีซาเป้ยลาเดิมทีอาจเคยเป็นเด็กสาวใสซื่อคนหนึ่ง แต่หลังจากกลายเป็นหัวหน้ากองโจรแล้ว นางก็ถูกบีบให้ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อความอยู่รอด
หากไม่ตายก็ประสบความสำเร็จ
และในเมื่ออีซาเป้ยลาประสบความสำเร็จ นางจึงกลายเป็นหัวหน้ากองโจรที่แท้จริงและได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์ได้หายไปนานแล้ว
แต่ยิ่งอีซาเป้ยลาแยกตนเองในตอนนี้ออกจากตนเองที่ใสซื่อในอดีตมากเพียงไหน นางก็ยิ่งอยากแสดงให้คนอื่นเห็นถึงด้านที่บริสุทธิ์และชอบธรรมให้ผู้อื่นเห็นเท่านั้น
“เจ้าไม่มาเป็นแขกบ้านข้า อยู่ที่นี่สักพักเป็นไรไป?” ไซ่ซีลี่เอ่ยคำเชิญให้อีซาเป้ยลา
“เรื่องนั้นข้าทำได้ แต่ทำไมบางอย่างในเมืองนี้มันดูแปลกไปสักหน่อย?”
แม้ประตูเข้าเมืองจะเปิดกว้างให้คนผ่าน แต่ประตูหลักของเมืองกลับร้างผู้คน บนถนนแทบไม่เห็นเงาคน จริง ๆ แล้วกวาดสายตามองไปทั่วเมืองก็เป็นเช่นนี้
เฟ่ยหลัวพึมพำ “ก็ดูแปลกจริง ๆ ทุกคนไปไหนกันหมด? ปกติแล้วเมืองผาเกรียมไม่ใช่เช่นนี้”
“งั้นไปเดินในเมืองกันหน่อย ถ้าหากมีเรื่องเราก็คงรู้เอง” อีซาเป้ยลาว่าแล้วก็เร่งม้าให้เดินเข้าประตูเมืองไป
ที่กำแพงเมืองควรจะมีทหารยืนรักษาการอยู่ แต่กลับไม่เห็นใครคอยหยุดพวกเขาไว้ ขบวนสินค้าถึงเข้าเมืองไปได้โดยไร้ปัญหา แต่ยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกแปลก เห็นว่ามีขอทานในชุดขาดหลุดลุ่ยนั่งอยู่ตามถนน แต่สายตานั้นว่างเปล่าเหมือนกับตายไปแล้ว ถามอย่างไรก็ไม่ตอบสนอง
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?” เฟ่ยหลัวมุ่นคิ้วเอ่ย
ไซ่ซีลี่ตอบ “รู้สึกอย่างกับอยู่ในเมืองผี”
เฟ่ยหลัวรู้สึกใจสั่น “รีบกลับไปที่กิจการเถอะ”
ขบวนสินค้าจึงรีบเดินทางไปยังที่ตั้งกิจการ
ไม่นานก็มาถึงที่ตั้งของกิจการค้าขายตระกูลว่าวแดง ซึ่งก็ไร้ผู้คนเช่นกัน มีเพียงผู้ช่วยยืนเฝ้าอยู่หน้าร้านคนหนึ่ง
“ย่าตาง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เฟ่ยหลัวถามพลางลงจากหลังม้า
“ในที่สุดท่านเฟ่ยหลัวก็กลับมาแล้ว” สายตาไร้ชีวิตของย่าตางเริ่มมีประกายความหวังขึ้นมา
“รีบบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น! ทุกคนอยู่ไหน? เหตุใดเมืองผาเกรียมถึงว่างเปล่าเช่นนี้?” เฟ่ยหลัวยิงคำถามออกไปหลายคำ
“เป็นคำสาป! คำสาปที่น่ากลัวนัก!” ย่าตางเอ่ย ยังคงหวาดกลัวอยู่
ไม่นานเฟ่ยหลัวก็รู้ว่า ก่อนพวกเขามาถึงไม่นาน คำสาปก็แพร่ไปทั่วเมืองแล้ว
ผลของคำสาปน่ากลัวนัก ใครที่ถูกมันจะเริ่มเหงื่อออกเป็นเลือดจนตาย ที่น่ากลัวที่สุดคือมันติดต่อง่าย ติดจากหนึ่งไปสู่สองคนอย่างง่ายดาย
ดังนั้นคนในเมืองจึงพากันหนีออกไป นับว่าตอนนี้เมืองถูกทิ้งร้าง คนที่เหลืออยู่จึงเป็นพวกที่ไม่อาจมีอำนาจหนีไปได้
“เป็นไปได้อย่างไร? ไม่มีทางแก้คำสาปนี้เลยหรือ? แล้วทางโบสถ์เล่า?” เฟ่ยหลัวถามเสียงดัง
ย่าตางส่ายหน้าเบา ๆ ตอบ
การรับมือกับคำสาประดับนี้ ทางโบสถ์ทำได้เพียงปกป้องตัวเองไปเท่านั้น
พวกเขาสามารถป้องกันไม่ให้คนติดคำสาปได้ แต่เมื่อถูกคำสาปแล้ว แม้แต่นักบวชยังช่วยเหลือไม่ได้ ตามที่ทางโบสถ์กล่าว คำสาปนี้กัดกินลึกถึงกระดูก ลบล้างได้ยากอย่างไม่น่าเชื่อ
เฟ่ยหลัวได้ยินข่าวก็ตกใจจนแทบซวนเซ
ไซ่ซีลี่ร้องขึ้น “ท่านพ่อเล่า? ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หัวหน้าตระกูลปลอดภัยดี เขาหนีออกจากเมืองได้ทันเวลา แต่นายหญิง…”
ย่าตางเงียบไป ส่วนไซ่ซีลี่เข้าใจประโยคที่เหลือดี ภาพตรงหน้าพลันดับวูบ ล้มลงกับพื้นทันใด
“คุณหนู!” ผู้คุ้มกันรีบเข้ามาประคองนาง
“ท่านแม่…” ไซ่ซีลี่พึมพำแล้วก็ร่ำไห้
“เวลาเกิดปัญหาช่วยทำอย่างอื่นนอกจากร้องไห้ได้หรือไม่? ทำเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นในจังหวะนั้น
อีซาเป้ยลากระโดดลงจากหลังม้า มุ่งหน้าเดินมาทางพวกเขา
ตามทางมีศพนอนเรียงราย ดูท่าจะเพิ่งตายไม่นาน
อีซาเป้ยลาใช้รองเท้าสวมเกราะเตะซากศพให้พ้นทาง เลือดกระเซ็นออกมาเป็นแนว
“ระวัง! อย่าติดเชื้อเข้าเล่า!” ย่าตางร้อง
อีซาเป้ยลาทำเป็นไม่ได้ยิน “นี่น่ะหรือคำสาปผื่นโลหิต”
“คำสาปผื่นโลหิต?” ทุกคนชะงัก “มันคืออะไรกัน?”
“คำสาปมีพิษร้ายแรงที่พวกอาร์คาน่าสร้างขึ้นมา มีลักษณะคือติดต่อกันได้ง่าย พลังสังหารสูงมาก และในเมื่อมันสร้างผื่นแดงขึ้นบนร่างเหยื่อจึงรู้จักกันในนามคำสาปผื่นโลหิต” อีซาเป้ยลาอธิบาย
“ใคร? ใครที่มันสร้างสิ่งชั่วร้ายขึ้นมาเช่นนี้?” ไซ่ซีลี่ร้องเสียงโกรธ
อีซาเป้ยลาหันไปมอง “ข้าบอกไปแล้วว่าเป็นพวกอาร์คาน่า ก็คงสร้างขึ้นมาเพื่อความแข็งแกร่ง ความร่ำรวย หรือไม่ก็อาจเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกันเลย ใครจะไปรู้?”
เฟ่ยหลัวตอบสนองรวดเร็วพอสมควร “แม่นางอีซาเป้ยลาเคยเห็นคำสาปนี้มาก่อนหรือ?”
“ไม่เช่นนั้นถ้าจะรู้จักชื่อมันได้หรือ?” อีซาเป้ยลาตอบทันควัน “คำสาปนี้ในอดีตเคยสร้างความโกลาหลในแดนตะวันตกของที่นี่มาแล้ว”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ใครที่เคยได้ยินมีแต่ตายไปแล้ว”
“มีวิธีลบล้างคำสาปนี้หรือไม่?” เฟ่ยหลัวรีบถาม
“ลบล้างหรือ?” อีซาเป้ยลาเอียงคอเหมือนกับครุ่นคิด จากนั้นเอ่ยตอบ “เราต้องหาต้นตอ พลังของคำสาปนี้มาจากต้นตอทั้งนั้น หากพบและทำลายมันได้คำสาปก็จะถูกทำลาย”
“แล้วต้นตออยู่ที่ไหน?”
“ก็ต้องค่อย ๆ หาอย่างระมัดระวัง” อีซาเป้ยลาตอบแล้วมองรอบกาย “เราควรหาคนที่ต้องคำสาปแต่ยังไม่ตายก่อน พวกเขาจะสามารถสัมผัสถึงต้นตอได้ มีแต่พวกเขาที่จะทำได้”
“เป็นเช่นนี้เอง” เฟ่ยหลัวพึมพำ แต่ก็ยังยืนจ้องอีซาเป้ยลา นัยน์ตาเหมือนมีนัยสำคัญบางอย่าง
“มีเรื่องอะไรหรือ?” อีซาเป้ยลาถามขึ้น
เฟ่ยหลัวตอบ “เพียงแต่คิดว่ามันบังเอิญนัก ท่านมาช่วยตอนเราตกที่นั่งลำบาก แล้วตอนนี้ก็มาอยู่ที่นี่หลังจากคำสาปกระจายไปทั่วเมืองผาเกรียมอีก”
อีซาเป้ยลามุ่นคิ้ว “เจ้าจะกล่าวหาข้างั้นหรือ?”
เฟ่ยหลัวรีบตอบ “ข้าหรือจะกล้า? เพียงแต่กังวลเท่านั้น เพราะอย่างไรคำสาปผื่นโลหิตก็ทรงพลังมาก หากว่า….”
อีซาเป้ยลามองเฟ่ยหลัวด้วยความเห็นใจ “คำสาปผื่นโลหิตร้ายแรงก็จริง แต่หากทำลายต้นตอก่อนที่คนถูกคำสาปจะตายได้ทัน พวกเขาก็จะหายเป็นปกติได้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีภูมิคุ้มกันต่อคำสาปอีกด้วย”
“เป็นอย่างนี้เองหรือ?” เฟ่ยหลัวชะงักไป “เช่นนั้นท่าน….”
อีซาเป้ยลาตอบเสียงเย็น “ข้าบอกแล้วว่ามันเคยระบาดในภาคตะวันออกมาก่อน ระหว่างมาที่นี่เราผ่านตรงนั้นมา”
ย่าตางตะโกน “ข้าว่าแล้ว! เจ้าต้องรับผิดชอบที่นำคำสาปผื่นโลหิตมาสู่ที่นี่!”
อีซาเป้ยลาตอบเสียงเย็นชา “พวกข้ามีภูมิคุ้มกัน ไม่ได้เป็นคนนำมันเข้ามา แล้วมีหรือที่คำสาประบาดก่อนคนแพร่คำสาปจะมาถึงเมืองเสียอีก?”
ประโยคสุดท้ายทำลายความสงสัยทั้งหลายที่เฟ่ยหลัวมีเหลืออยู่จนสิ้น
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอีซาเป้ยลาอยู่กับพวกเขามาก่อนที่คำสาปจะแพร่สู่เมืองเสียอีก
อีซาเป้ยลาพูดต่อ “ข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากยังเสียเวลาอยู่อีกข้าจะไปแล้ว”
“ข้าร่วมด้วย!” ย่าตางกระโดดลุกขึ้นมาร้องขึ้น เขารู้ว่าความหวังสุดท้ายของเมืองต้องฝากไว้ที่คนพวกนี้แล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น อีซาเป้ยลาก็รวมเหยื่อที่ติดคำสาปส่วนใหญ่มาได้
คนเหล่านี้ใกล้จะสิ้นใจเต็มทน
แต่ตอนนี้มีคนเดินเข้ามาหา มอบโอกาสความหวังให้ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะยอมร่วมมือทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ยอมทำทุกสิ่งเพื่อให้รอดชีวิต
อีซาเป้ยลาเริ่มสอนให้พวกเขาสัมผัสถึงต้นตอของคำสาป
มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย แต่ไม่นานก็กระจ่างชัดไม่ว่าพวกเขาจะสัมผัสถึงมันได้หรือไม่
ปกติแล้วจะมีเพียงหนึ่งในพันคนเท่านั้นที่จะสัมผัสถึงต้นตอคำสาปได้
โชคดีที่ในเมืองมีคนที่ถูกสาปเยอะพอจนมีคนจำนวนหนึ่งที่มีประสาทสัมผัสว่องไว
“อยู่ตรงนั้น! ข้าสัมผัสได้ มีบางสิ่งบางอย่างร้องเรียกข้ามาจากทางนั้น” เด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องเสียงตื่นเต้น
“ใช่ อยู่ตรงนั้น!” อีกคนหนึ่งเสริม
หลังจากค้นหาอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็แกะรอยต้นตอคำสาปมาจนถึงบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง
แหล่งที่มาคือแท่นบูชาซึ่งมีต้นไม้แปลก ๆ งอกขึ้นมา
คำสาปกำลังกระจายไปตามต้นไม้
เมื่ออีซาเป้ยลาตรวจสอบดูแล้วก็ทำลายแท่นบูชานั้นทันที และทำการชำระล้างต้นไม้ประหลาดต้นนั้น
เมื่อทำลายต้นคำสาปได้แล้ว บรรยากาศมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วเมืองก็เริ่มจางลง กลิ่นอายแห่งความตายเริ่มเบาบาง
พวกที่นอนรอความตายกลับเริ่มฟื้นตัวอย่างน่ามหัศจรรย์
ฟังจากที่อีซาเป้ยลากล่าว พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวคำสาปนี้อีก เพราะตอนนี้พวกเขามีภูมิคุ้มกันแล้ว
ผู้รอดชีวิตต่างรู้สึกสุขและเศร้าไปพร้อมกัน
นี่อาจนับเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุดและผ่านไปได้อย่างรวดเร็วที่สุดที่เคยมาเยือนเมืองผาเกรียม ภายในชั่วระยะเวลา 2 วัน สภาพภายในเมืองก็ตกต่ำและพุ่งขึ้นจนสูงสุด ผลลัพธ์คือทุกคนเห็นคุณค่าความศักดิ์สิทธิ์ของการมีชีวิตอยู่ขึ้นมาก และตอนนี้เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจที่มีต่ออีซาเป้ยลาและเหล่านักรบของนาง
แต่ถ้าไม่จัดการคนบงการ เหตุการณ์ก็คงไม่อาจกลับสู่ปกติได้อย่างสมบูรณ์
“เราเพิ่งได้ข่าวมาว่าคำสาปผื่นโลหิตกระจายไปยังป่าดินสงบแล้ว” เฟ่ยหลัวกระซิบคำให้อีซาเป้ยลาฟังระหว่างงานเฉลิมฉลองในคืนนั้น