ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 75 คลื่นใต้น้ำ
บทที่ 75 คลื่นใต้น้ำ
“ก็นะ คาดไม่ถึงเลย” ซูเฉินพึมพำจากบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป
แผนเดิมของเขาไม่ใช่เช่นนี้ เขาเพียงแต่จะใช้คำสาปทรมานเผ่าจิตวิญญาณตะวัน ลากอีซาเป้ยลามายังเมืองผาเกรียม จากนั้นให้พวกเขาจัดการคำสาปเพื่อเป็นข้ออ้างในการขโมยของที่เก็บไว้ในป่าดินสงบเท่านั้น
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าฝูเหม่ยลาจะมาลงมายังพื้นโลกหลายครั้งเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่วางแผนเรื่องการตอบสนองของเผ่าเทพ แต่เพราะบรรพชนชาวมนุษย์บอกเขามาว่าดูจากสถานการณ์แล้ว เผ่าเทพคงจะสนใจแต่การทำลายปราการ ดังนั้นคงไม่สนใจเรื่องเล็ก ๆ ของผู้ศรัทธา
แต่ก็จริงที่ความอยู่รอดของเผ่าจิตวิญญาณตะวันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เผ่าเทพใส่ใจผู้ศรัทธาของพวกเขาจริงหรือ?
เช่นนั้นหากผู้ศรัทธาถูกสังหารอยู่เรื่อยไปจะเกิดอะไรขึ้นเล่า?
เผ่าเทพจะลงมาขัดขวางหรือไม่?
นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เขาจะชะลอการล่มสลายของปราการหรือเปล่า?
ความคิดและคำถามมากมายลอยผ่านจิตใจยังไม่อาจควบคุม
ใช่แล้ว มันมีวิธีชะลอการล่มสลายของปราการอยู่หลายวิธี
ความเป็นไปได้ทั้งหลายวาดผ่านในหัว แต่ละอย่างรวมเป็นการทำลายผู้ศรัทธาบูชาของเหล่าเทพ
แต่การจะทำแผนเหล่านี้ให้สำเร็จ เขาต้องมีกองกำลังลูกน้องเป็นของตนเอง
ข้าต้องหล่อเลี้ยงอีซาเป้ยลาต่อ ซูเฉินคิด
เขาสามารถเห็นกลุ่มนักรบใกล้เข้ามาจากขอบฟ้าแล้ว คืออีซาเป้ยลาและลูกน้องในโอวาทของนาง
หลังจากฝึกวิชาบ่มเพาะที่ซูเฉินมอบให้ พวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างพุ่งทะยาน ตอนนี้สามารถใช้ปราณต่อสู้กับม้าได้แล้ว ทำให้พวกมันวิ่งได้เร็วขึ้น ทหารม้าสามารถเดินทางผ่านภูเขาหินได้โดยง่าย ทำให้ถึงยอดเขาได้อย่างรวดเร็ว
อีซาเป้ยลากระโดดลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าซูเฉิน “ทำความเคารพหัวหน้า ข้าได้ทำตามคำสั่งท่านแล้ว”
พูดจบนางก็หยิบใบไม้ออกมามอบให้ซูเฉิน
มันมีสีเขียวจัดราวกับเป็นหยกสลักอันวิจิตร ปล่อยกลิ่นอายมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดออกมา ใครที่สายตามองจะละสายตาออกไปจากมันได้ยาก
“ในที่สุดใบไม้ต้นไม้โลกาก็เป็นของข้า” ซูเฉินว่าพลางยิ้มบาง
หากไร้แรงสนับสนุนจากเทพแห่งความรัก เผ่าจิตวิญญาณตะวันย่อมต้องขอความช่วยเหลือจากคนภายนอก แม้ว่าอีซาเป้ยลาและคนอื่น ๆ จะมาช้ากว่ากำหนด แต่ก็ยังนำใบไม้กลับมาได้ เรื่องราวยังเป็นไปตามแผนอยู่ พวกเขาจงใจบอกว่าต้นตอของคำสาปมาจากใบไม้ต้นไม้โลกา จากนั้นจึงเอามันมาด้วย
ใบไม้ต้นไม้โลกาเป็นเครื่องรางปกป้องที่เทพแห่งความรักฝูเหม่ยลามอบไว้ให้เผ่าจิตวิญญาณตะวันเพื่อปกป้องพวกเขา แต่หลังจากฝูเหม่ยลาทอดทิ้งพวกเขาไป เผ่าจิตวิญญาณตะวันก็ไม่ใส่ใจใบไม้ต้นไม้โลกาอีก
เมื่อต้นตอคำสาปหายไปแล้ว ก็เหลือเพียงว่าพวกเขาจะจัดการความสัมพันธ์กับเทพแห่งความรักของพวกเขาอย่างไร แต่นั่นก็นับเป็นปัญหาของพวกเขาฝั่งเดียว
ซูเฉินอารมณ์ดีมากเมื่อได้ใบไม้ต้นไม้โลกามาครอบครอง เขาหัวเราะออกมา “ทำได้ดีมาก อืม ตกรางวัลอะไรให้ดี?”
น่าประหลาดที่อีซาเป้ยลาเอ่ยตามตรง“หัวหน้า ข้าขอเสนอรางวัลได้หรือไม่?”
ซูเฉินคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ได้ ตราบเท่าที่มันไม่มากเกินไป”
อีซาเป้ยลาเอ่ย “ข้าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหัวหน้า”
“หือ?” ซูเฉินชะงักไป ไม่คิดว่าอีซาเป้ยลาจะเอ่ยขอเช่นนี้
กระนั้นเขาคิดคิดหนึ่งก่อนจะตอบตกลง
หมอกดำที่ปกคลุมรอบตัวพลันจางหาย เผยให้เห็นรูปร่างอันงามสง่าของซูเฉิน
อีซาเป้ยลาและโจรคนอื่นต่างตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
“นี่นะหรือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของหัวหน้า หล่อเหลาไม่ใช่น้อยเลย” อีซาเป้ยลาพึมพำเสียงเบา มึนงงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
ซูเฉินกระแอมเสียงเบา
อีซาเป้ยลาพลันหลุดจากภวังค์
ซูเฉินจึงเอ่ย “อีซาเป้ยลา ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก จำได้ว่าเจ้าเคยขอให้ข้าช่วยสังหารน้องสาวที่แย่งชิงตำแหน่งทายาทของตระกูลกับเจ้าใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” อีซาเป้ยลาเอ่ย ก้มศีรษะลง “แต่ความจงเกลียดจงชังต่อนางได้เลือนหายไปมากแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนาน”
“ไม่ได้นะ” ซูเฉินตอบ “เกรงว่าเจ้าจะอยากหรือไม่ก็คงต้องแก้แค้นแล้ว”
“ท่านว่าอะไรนะ?” อีซาเป้ยลาอึ้งไป
“ใช่แล้ว ภารกิจต่อไปคือการสังหารน้องสาวของเจ้าและนำเอาตำแหน่งที่สมควรเป็นของเจ้ากลับคืนมา” ซูเฉินเอ่ย
อีซาเป้ยลาโหยหาอยากกลับไปเป็นผู้สืบทอดของตระกูลมาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางไม่ได้อยากมากขนาดนั้นแล้ว
ไม่คิดเลยว่าซูเฉินจะเอ่ยถึงมันขึ้นมาในตอนนี้
“แต่หัวหน้า ตอนนี้ข้าก็เป็นหัวหน้า….”
“เป็นโจรแล้วเป็นชนชั้นสูงด้วยไม่ได้หรือ? จริง ๆ แล้วข้าว่าเป็นได้มากกว่านั้นอีก”
มากกว่านั้น?
ประโยคนี้ทำให้อีซาเป้ยลาคิดวนไปมาไม่หยุด อีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไรกันแน่?
ซูเฉินว่าต่อ “ใช่ มากกว่านั้น นอกจากเรื่องคืนฐานะแล้วยังมีภารกิจอีกอย่างหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในการแย่งชิงอำนาจ ข้าพูดถูกหรือไม่? สถานการณ์ของเจ้าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากลองมองดูดี ๆ ก็มีคนอีกมากที่ได้รับความอยุติธรรมเช่นเดียวกัน”
“แล้วอย่างไรหรือ?”
“ชวนพวกเขาให้เข้ากลุ่มกองโจร แล้วเราจะมอบโอกาสแก้แค้นให้กับพวกเขา” ซูเฉินตอบกลับด้วยเสียงชั่วร้าย
อีซาเป้ยลารู้สึกใจสั่น
แค่ฟังจากน้ำเสียงนางก็สามารถสัมผัสถึงความทะเยอทะยานอันสูงส่งของซูเฉินได้แล้ว
อีซาเป้ยลากัดฟันตอบ “หัวหน้า โลกนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าเทพ!”
นางกำลังเตือนซูเฉินว่า ไม่ว่าขุมอำนาจในโลกนี้จะแข็งแกร่งเพียงไหน อย่างไรก็ไม่อาจต้านทานเจตจำนงของเผ่าเทพได้ หากไม่ได้รับคำอนุญาต ความทะเยอทะยานของหัวหน้าก็มีชะตาจะต้องเหี่ยวเฉาตายจากไปเสียก่อนได้ผลิดอกเสียด้วยซ้ำ
ซูเฉินตอบเสียงนิ่ง “เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าจิตวิญญาณตะวันแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ? เผ่าเทพในตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายมาก…. ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องไม่สลักสำคัญเล็กน้อยเช่นนี้ นับเป็นจังหวะดีในการขยายอิทธิพลของเรา”
“ด้วยการใช้กองโจรเท่านี้หรือ?”
“อย่าลืมว่ามีข้าอยู่ด้วย”
ถ้าหากอยากสร้างพายุขึ้นมา อย่างแรกเลยคือต้องแข็งแกร่งมากพอจะทำได้ก่อน
ตระกูลคุนเท่อเป็น 1 ใน 3 ตระกูลชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลที่สุดไหนเขตอสนีพฤกษ์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ตระกูลว่าวแดงก็เป็นตระกูลชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลอีกตระกูลหนึ่ง แต่มีอำนาจอยู่ในเขตข่านเป้ยเอ๋อร์ ซึ่งสามารถควบคุมผ่านไซ่ซีลี่ได้
ขุมพลังเหล่านี้อาจถูกจำกัดพลังเมื่ออยู่ใต้อิทธิพลของเผ่าเทพ แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงควบคุมได้ง่ายกว่า บัดนี้ได้หว่านเมล็ดแห่งความบาดหมางแล้ว ถึงเวลาฟูมฟักเลี้ยงดูแลเป็นอย่างดี มันจะได้เติบโตและแผ่ขยายออกไป ถึงจะช้าทว่าก็มั่นคงยิ่งนัก ไม่นานต้องแผ่ขยายไปทั่วทั้งเขตแดนแน่
แต่ก่อนหน้านั้นยังต้องลงมือทำอีกมาก
ความร่ำรวยส่งผลให้เกิดความเสื่อมทราม ในขณะที่ความจนทำให้เกิดความโกลาหล
การสร้างความโกลาหลไม่ใช่เพียงการเขย่าลำเรือ แต่ต้องทำให้ถูกจังหวะด้วย
ภัยพิบัติหรือการขาดแคลนทรัพยากรอย่างกะทันหันเป็นโอกาสที่ดีในการลงมือ
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเตรียมการและสร้างสถานการณ์เหล่านี้ขึ้น
ครั้งหนึ่งเผ่าเทพเคยปกป้องโลกนี้ ทำให้เกิดภัยพิบัติได้ยาก แต่ตอนนี้เมื่อถูกดึงความสนใจออกไป ชาวโลกทั้งหลายจึงต้องจัดการกับภัยทั้งหลายด้วยตนเอง
ในทางกลับกัน ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะสร้างผู้ลี้ภัยจำนวนมาก นอกจากปลูกเมล็ดแห่งความโกลาหลแล้ว ต่อไปก็จะเป็นรากฐานให้ความแข็งแกร่งของซูเฉินในอาณาเขตคุน ทำให้เกิดความปั่นป่วนมากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้อีซาเป้ยลาฟัง
หลังจากมอบคำสั่งให้อีซาเป้ยลาแล้ว ซูเฉินก็ให้นางจากไป จากนั้นเขาก็ทิ่มนิ้วตนเองแล้วบีบเลือดสดออกมาสองสามหยด มันกลายเป็นร่างแยกแล้วพากันกระจายหายไปรอบทิศ
การจากไปของพวกเขาเป็นสัญญาณเริ่มต้นของพายุลูกใหญ่ที่รุนแรง
จัดการเรื่องแล้ว ซูเฉินก็เรียกจิตนึกคิดของร่างหลักมาอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้เขามีความสุขมากกว่าเดิม พยายามเชื่อมต่อในระดับจิตเพียงเท่านั้น
“เจ้าทำได้ดีมาก ซื้อเวลาให้อีกตั้ง 3 ปี แต่เจ้าต้องเร่งมือหน่อยแล้ว เผ่าเทพอาจค้นพบการมีอยู่ของเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้” จิตของร่างหลักเอ่ย
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“แม้ว่าเราจะสร้างหัวใจปลอมของเทพแห่งเหมันต์มาแทนที่ แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งเหมันต์ยังคงลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ไม่สังเกตเห็นถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มรู้แล้วว่าหัวใจนี้เป็นเพียงของปลอม” ร่างหลักตอบ
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“พวกเราได้ต่อสู้กันนิดหน่อย… ตรงจุดเกิดรอยรั่วที่ใหญ่ที่สุดในปราการ”
ซูเฉินในอาณาเขตคุนเงียบไป
ในขณะที่ภาพฉายนี้ลงมือกระทำการอยู่ในอาณาเขตคุน ร่างหลักของเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยเช่นกัน
แม้การกระทำทุกอย่างเพื่อชะลอการล่มสลายของปราการจะเป็นไปอย่างลับ ๆ แต่ผลที่ออกมานับว่าเห็นได้เด่นชัดมาก
เมื่อเผ่าเทพรู้ว่าการล่มสลายของปราการพลันถูกชะลอลง พวกเขาต้องเริ่มลงมือสืบสวนทันทีแน่
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในอาณาเขตคุน เพราะพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าซูเฉินจะมีวิชาภาพฉายขั้นสูงเช่นนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงจะสืบสวนในทวีปต้นกำเนิดเป็นสำคัญ สุดท้ายก็จะพบในเวลาไม่นานว่ารอยรั่วที่ใหญ่ที่สุดซึ่งพวกเขาพยายามปิดบังเอาไว้ ตอนนี้อยู่ในความควบคุมของซูเฉินแล้ว
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดความตึงเครียดที่จุดแตกหักของปราการนี้
ในเมื่อรอยรั่วไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ทั้งซูเฉินและเผ่าเทพจึงต้องจับตาดูการล่มสลายของปราการอย่างใกล้ชิด
โชคดีที่สายเลือดของร่างภาพฉายยังไม่ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นเผ่าเทพคงล่วงรู้เป็นแน่
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นแล้วข้าก็คงมอบใบไม้ต้นไม้โลกาให้เจ้าไม่ได้” ซูเฉิน (หลินซวง) กล่าว
“ไม่เป็นไร ถ้าหากใช้มันกับปราการจากภายในจะยิ่งได้ผลดีกว่า”
“แต่ข้ายังไม่สามารถสัมผัสปราการได้เลยนะ”
“ข้าถึงได้บอกให้เจ้าใช้เวลาที่มีอย่างชาญฉลาดและรีบแข็งแกร่งขึ้นในเร็ววันอย่างไรเล่า”
“ตอนนี้ข้าได้พลังด่านทะลวงลมปราณคืนมาแล้ว อีกไม่นานจะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร”
อัตราการบ่มเพาะพลังของหลินซวงนับว่ารวดเร็วมากแล้ว ปัญหาหลักคือเขามีเวลาไม่พอ
ไม่ว่าเขาจะบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วอย่างไร ก็ยังต้องใช้เวลากว่าจะสร้างรากฐานที่มั่นคงขึ้นได้อยู่ดี
“ข้าไม่ได้หมายถึงเส้นทางนั้น”
หือ?
หลินซวงหรี่ตาลง
เขากับซูเฉินเดิมทีเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างหมายความว่าภาพถ่ายกับร่างจริงในตอนนี้มีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทันทีที่ซูเฉินร่างหลักเตือนเขา เขาจึงเข้าใจในพลัน
ใช่แล้ว ซูเฉินกำลังหมายถึงการบ่มเพาะพลังอีกเส้นทางหนึ่งต่างหาก
“พลังอมตะ!”
ในระบบการบ่มเพาะพลังปกติของแดนต้นกำเนิด หลินซวงนับว่ากำลังจะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารแล้ว
แต่ในระบบการบ่มเพาะพลังอมตะ หลินซวงยังอยู่ในขั้นกลั่นปราณ ยังฝึกไม่ถึงขั้นด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องกล่าวถึงขั้นก่อร่างเลย
“เช่นนั้นไม่ง่าย” หลินซวงพูดพร้อมส่ายหน้า
แม้ซูเฉินจะมอบพลังสายเลือดให้หลินซวงแล้ว แต่สายเลือดนั้นทำให้เขาเพียงดูดซับพลังงานจากระบบแดนต้นกำเนิดได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่การดูดซับพลังอมตะ
หลินซวงมีเพียงวิชาบ่มเพาะพลังอมตะ ไม่สามารถได้รับพลังมาจากสายเลือดซูเฉินโดยตรงได้
ไม่ใช่เพราะพลังอมตะเป็นพลังระดับสูงแต่อย่างใด เป็นเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะเก็บไว้ในสายเลือดได้ง่ายดายเช่นนั้นต่างหาก การรวบรวมและบ่มเพาะพลังอมตะต้องใช้ทั้งความเพียรและความพยายามเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าหนทางสู่พลังอมตะของหลินซวงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ไม่อาจขึ้นสู่ระดับสูงภายในระยะเวลาไม่นานได้เลย
แต่น่าแปลกที่ร่างหลักกลับพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องได้รับสืบทอดมันมาหรอก ก็แค่ต้องดูดกลืนให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเองนี่?”
“ดูดกลืน?” หลินซวงชะงัก
ปกติแล้วหลินซวงรู้ว่าการดูดพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหล่อเลี้ยงพลังอมตะในร่าง
แต่ก็มีปัญหาอยู่ที่ว่าเขามีความสามารถในการดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้จำกัด
แม้พลังอมตะและพลังศักดิ์สิทธิ์จะเหมือนเหรียญสองด้าน แต่การใช้พลังอมตะที่เขามีอยู่น้อยนิดเพื่อดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ย่อมหมายถึงรนหาที่ตาย
คล้ายกับการล่าอสูรกาย แม้เนื้ออสูรกายจะมีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่แกร่งพอ ผู้ล่าก็อาจกลายเป็นผู้ถูกล่าได้
ดังนั้นหลินซวงจึงไม่คิดดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์จนถึงตอนนี้
แต่เขารู้ว่าร่างหลักพูดมาเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล
ร่างหลักจึงกล่าวต่อ “ในเมื่อเผ่าเทพกับข้าเผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผยที่รอยรั่วของปราการ ถ้าคิดว่าคงไม่มีปัญหาหากข้าเข้าไปฉวยโอกาสมาบ้าง เจ้ารอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เถอะ”
หลินซวงได้ยินแล้วก็หัวเราะ
ทันใดนั้นปัญหาก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป
เขาจะฆ่าสังหารและกลืนกินให้หนำใจเลย
ดี ดียิ่งนักเชียว!