ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 83 การสังเวย
บทที่ 83 การสังเวย
เมื่อได้ยินชื่อ ‘กลองโลหิต’ ผู้เฒ่าก้งก็ตาลุกวาว เขาเข้าใจทันทีว่าซูเฉินกำลังต้องการจะบอกว่าอะไร
กลองโลหิตเป็นสมบัติที่เผ่าเชียงเคยใช้เพื่อคงอำนาจในอดีต สมบัติชิ้นนี้แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อและเป็นเครื่องมือที่ทำให้พวกเขาเรืองอำนาจขึ้นมาได้
แต่มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาล่มสลายด้วยเช่นเดียวกัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าสมบัติอันล้ำค่าจะสูญเสียพลังไปโดยฉับพลัน กลองโลหิตสะท้านฟ้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียอย่างนั้น
และเมื่อไม่มีอิทธิฤทธิ์ของกลองโลหิตอยู่อีกแล้ว อาณาจักรที่เผ่าเชียงก่อตั้งขึ้นก็ล่มสลายไปในที่สุด
เผ่าเชียงทั้งรักและเกลียดกลองนี้นัก พวกเขาบูชาความแข็งแกร่งระดับตำนานของมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ความศรัทธานั้นจืดจางลงมากเหลือเกิน
แน่นอนว่ากลองที่ว่านี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกประการ แต่อานุภาพของมันได้สูญสิ้นไปนานแล้ว
ตอนนี้หลินซวงกำลังบอกว่าเขาจะช่วยให้กลองโลหิตลั่นขึ้นได้อีกครั้ง
นัยของคำพูดนี้ชัดเจนยิ่งนัก
ผู้เฒ่าก้งกล่าวต่อไป “เจ้าจะบอกว่าอะไรกันแน่”
“ข้าซ่อมกลองโลหิตได้” หลินซวงตอบทันควัน
ทุกคนในกระโจมดูท่าทางตื่นเต้น
เถิงเป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่พอใจ “ทำไมพวกข้าต้องเชื่อเจ้า”
“เพราะชีวิตของพวกท่านอยู่ในกำมือข้าอย่างไรล่ะ” หลินซวงโบกมือ แรงกดดันภายในโถงนั้นทวีคูณขึ้น ผู้เฒ่าก้งรู้สึกเหมือนร่างจะแหลกสลายออก และหายใจลำบากเหลือเกิน
ฝ่ายนักบวชถามขึ้นด้วยท่าทางชั่วร้าย “แล้วเจ้าจะซ่อมมันอย่างไรกัน”
“ด้วยการสังเวย” หลินซวงตอบ
นักบวชส่ายหน้า “บรรพบุรุษของเราลองใช้วิธีนั้นมาแล้ว มันไม่ได้ผลหรอก”
“นั่นก็เพราะมันเป็นการสังเวยที่ยังไม่ถูกต้อง กลองโลหิตน่ะไม่เคยได้รับความเสียหาย แต่มันแค่หิว พวกท่านแค่ต้องให้อาหารมัน”
“หิวหรือ” คำนั้นทำให้ทุกคนตะลึง
กลองโลหิตไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดนสมาชิกเผ่าเชียง บรรพบุรุษของพวกเขาได้รับมันมาจากที่ไหนสักแห่ง และชาวเผ่าเชียงก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่ากลองนี้จะ ‘หิว’ ได้ด้วย
เพราะที่กลองโลหิตไม่ทำงานนั้น แท้จริงแล้วมันหิวนั่นเอง
“แล้วเราจะให้อาหารมันด้วยอะไร” นักบวชถาม
“อาหารของมันคือสงครามนองเลือด สิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้กลองโลหิตพอใจได้”
เผ่าเชียงเคยใช้เชลยศึกและคนทั่วไปมาเป็นเครื่องสังเวยมาก่อน แต่กลองโลหิตเกลียดการสังเวยด้วยวิธีนี้ยิ่งนัก มีเพียงโลหิตของนักรบชั้นสูงเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการของมันได้ มันยอมหิวจนตายเสียอย่างดีกว่าที่จะต้องมารับเครื่องสังเวยที่เป็นโลหิตไร้ค่า
เผ่าเชียงเคยทำการสังเวยมาแล้วจริง ๆ แต่ที่ผ่านมานั้นถือว่าไร้ประโยชน์
นี่คือสาเหตุที่กลองโลหิตเข้าสู่สภาวะหลับใหลไปในที่สุด
แต่หลินซวงก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกลองนั่น
กลองโลหิตถูกสร้างขึ้นจากเปลือกตาของเทพเจ้า และเพราะมันมีพลังศักดิ์สิทธิ์ กลองนี้จึงสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อออกมาได้ เหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการสังเวยบางสิ่งบางอย่างให้กับมัน
การบูชาก็สามารถทำให้กลองโลหิตพึงพอใจได้เช่นกัน
แน่นอน เพราะว่าหลินซวงได้สร้างความโกลาหลขึ้นแล้ว เขาจึงไม่มีทางบอกความจริงทั้งหมดกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน อีกทั้งวิธีนี้ยังให้ผลทันตาเห็นอีกด้วย
“ต้องใช้นักรบกี่คนกัน” ผู้เฒ่าก้งถาม
“ยิ่งมากก็ยิ่งดี พลังของกลองโลหิตนั้นขึ้นอยู่กับความอิ่มของมัน ทุกครั้งที่ท่านใช้กลอง พลังของมันก็จะสูญสิ้นไปด้วย วิธีการที่ดีที่สุดที่จะฟื้นฟูมันได้ก็คือสงคราม” หลินซวงตอบ
เผ่าเชียงเคยใช้กลองโลหิตในการรุกรานไปทั่วทั้งดินแดนคนป่าเถื่อน พวกเขาได้ทำการสังเวยให้กับมันไปแล้วโดยบังเอิญ หลังจากรวมดินแดนได้แล้วสงครามก็แทบไม่เกิดขึ้นอีก กลองโลหิตจึงค่อย ๆ กระหายการสังเวยมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เผ่าเชียงจึงค้นพบการเสียประสิทธิภาพของกลองในตอนที่สายเกินไป
จากนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ไม่ได้เอากลองโลหิตไปใช้ในการรบอีก ผลก็คือกลองโลหิตถูกเก็บเข้ากรุไปอย่างถาวร
จนกระทั่งวันนี้
สายตาของสมาชิกเผ่าเชียงเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
เถิงหันไปมองพ่อตัวเองที่ดูท่าทางตื่นเต้นไม่แพ้คนอื่น “เราต้องสังเวยให้กับกลองโลหิต!”
“แน่นอน” หลินซวงยิ้มพร้อมกับลดแรงกดดันในโถงแห่งนั้นลง
ผู้เฒ่าก้งและทุกคนมองหน้ากันไปมาก่อนจะก้มลงโค้งคำนับหลินซวงพร้อมกัน “ขอบคุณท่านมาก!”
จากนั้นผู้เฒ่าก้งจึงแต่งตั้งให้หลินซวงเป็นหัวหน้านักบวชระดับสูง
นี่เป็นการเริ่มต้นของเส้นทางสายเลือดอันยาวไกลที่เผ่าเชียงกำลังจะมุ่งหน้าไป
ในวันที่เจ็ดหลังจากที่หลินซวงได้รับสถานะใหม่ เผ่าเชียงก็ประกาศสงครามกับเผ่าเอ้อ เพื่อนบ้านของพวกเขา
เผ่าเชียงเอาชนะเผ่าเอ้อได้สำเร็จ แต่ความหิวโหยของกลองโลหิตก็ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม
มันถูกปล่อยให้หิวแบบนี้มานานเกินไป สงครามเพียงหนึ่งหรือสองครั้งนั้นไม่มีทางมากพอที่จะปลุกกลองโลหิตให้ตื่นขึ้นได้แน่
ดังนั้นเผ่าเชียงจึงประกาศสงครามอีกถึงสามครั้งด้วยกัน
เผ่าคนป่าเถื่อนอีกสามเผ่าต่างก็ตะลึง การโจมตีหลายเผ่าต่อเนื่องในเวลาอันสั้นเช่นนี้มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาและทำให้เผ่าอื่น ๆ ที่เหลือไม่พอใจ
แต่ผลตอบรับก็เกิดขึ้นไวเกินคาด
ชัยชนะหลายต่อหลายครั้งทำให้เผ่าเชียงหมกมุ่นกับการทำสงคราม ทว่าเมื่อบุกโจมตีเผ่าฟ้าลั่นนั้นกลับถูกโต้กลับอย่างรุนแรง
ที่เขาห้าเมฆา
เผ่าเชียงและเผ่าฟ้าลั่นจัดทัพเป็นค่ายกลเพื่อต่อต้านกัน
เมื่อกลองรบถูกลั่น ทหารเผ่าเชียงก็มุ่งหน้าออกไปราวกับคลื่นที่กำลังโหมกระหน่ำ
เผ่าฟ้าลั่นอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่แม่ทัพของพวกเขากลับไม่แสดงท่าทีประหม่าเลยแม้แต่น้อย เขาส่งสัญญาณให้ทุกคนเริ่มส่งสัญญาณพร้อมกัน
ไม่ช้าทหารอีกกลุ่มก็ปรากฏกายขึ้นห่างออกไป
ผู้เฒ่าก้งตะลึง “เผ่าเมฆาหรือ? พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่กัน?”
“ยังต้องถามอีกหรือ พวกนั้นกำลังรอให้เราเคลื่อนไหวอยู่น่ะสิ”
แม้ว่าเผ่าเชียงจะแข็งแกร่งกว่าเผ่าฟ้าลั่นและเผ่าเมฆา แต่เมื่อต้องรับมือกับทั้งสองเผ่าพร้อมกันเช่นนี้ ชาวเผ่าเชียงก็ไม่ได้มั่นใจในความสามารถของตัวเองเลย
ผู้เฒ่าก้งกัดฟันกรอดเมื่อเห็นสมาชิกเผ่าเมฆาพุ่งตรงมาหาฝ่ายตรงเอง เขากำลังจะออกคำสั่งแต่หลินซวงก็เข้ามาห้ามไว้ “สั่งให้เผ่าเชียงโจมตีเผ่าฟ้าลั่น ส่วนเผ่าเมฆาข้าจะจัดการเอง”
“ท่านนักบวชสูงสุด” ทุกคนตกใจ
หลินซวงมุ่งหน้าไปยังรถม้าคันใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
กลองขนาดใหญ่ถูกวางไว้ที่ด้านบนสุดของรถม้า กลองนั้นทำขึ้นด้วยไม้ใจสีม่วง ผิวของกลองจึงเป็นสีแดงฉานปานโลหิต มันเปล่งรังสีที่อำมหิตยิ่งนัก
กลองโลหิตนั่นเอง
หลินซวงเดินตรงไปที่กลองและไม้กลองขึ้นมาพร้อมกับกล่าวขึ้น “เราต้องสังเวยให้มันเรื่อย ๆ ได้เวลาที่กลองนี่จะตื่นขึ้นมาแล้วละ ได้โปรดจงตื่นขึ้นมาด้วย ด้วยพลังและเจตจำนง จงใช้โลหิตของศัตรูข้าเพื่อแสดงพลังออกมา”
สิ้นคำชายหนุ่มก็เริ่มตีกลอง
ดูเหมือนว่ากลองจะไม่ตอบสนอง แต่หลินซวงยังคงตีมันต่อไปเป็นจังหวะอย่างจริงจัง
“ท่านพ่อ” เมื่อเห็นดังนั้น เถิงก็หันไปมองผู้เป็นพ่อด้วยความร้อนใจ
แม้หลินซวงจะให้คำสัตย์ไว้แล้วว่าการสังเวยจะปลุกกลองโลหิตให้ตื่นขึ้นได้ แต่เถิงก็ยังเป็นกังวล เพราะกลองโลหิตไม่ได้ฟื้นคืนกลับมาก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้น
และในตอนนี้ เผ่าเมฆาก็กำลังมุ่งหน้าเข้ามาแล้ว หากนักบวชหลินซวงคำนวณพลาดไป นั่นหมายความว่าเผ่าเชียงที่มัวแต่ต่อกรอยู่กับเผ่าฟ้าลั่นก็ไม่รอดแน่
ถ้าเป็นเช่นนั้น… แล้วพวกเขาควรทำอย่างไรต่อไปล่ะ
ผู้เฒ่าก้งหันไปมองหลินซวง จากนั้นจึงเหลือบมองไปยังนักรบเผ่าเมฆาทั้งที่ยังขมกรามแน่น ชายชราตะโกนขึ้น “นักรบทุกคนโจมตีต่อไป! ทำลายเผ่าฟ้าลั่นเสียให้สิ้น!”
เขาเลือกที่จะเชื่อใจหลินซวง
นักรบเผ่าเชียงลงมือสังหารนักรบเผ่าฟ้าลั่นอย่างต่อเนื่องด้วยความไว้วางใจในคำพูดของนักบวชหลินซวง
ที่บนรถม้า หลินซวงยังคงตีกลองอย่างสงบนิ่งและใจเย็น
เสียงที่ดังขึ้นจากกลองนั้นเปล่งรังสีของยุคโบราณและฟังดูลึกลับน่าขนลุก
เผ่าเมฆาเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
เหล่าทหารเคลื่อนพลมุ่งหน้าเข้ามาหาหลินซวงราวกับเกลียวคลื่นขนาดยักษ์ ในขณะที่หลินซวงยืนอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว
“บุก!” นักรบเผ่าเมฆากู่ร้องขึ้น หนึ่งในทหารทัพหน้าเป็นผู้ออกคำสั่งนั้น และลูกศรหลายหมื่นดอกก็พุ่งออกไปในอากาศ
พายุลูกธนูที่โหมกระหน่ำเข้ามาไม่ได้ทำให้หลินซวงสะท้านแม้แต่น้อย
สายตาของชายหนุ่มสอดส่ายไปมาขณะเริ่มท่องมนต์บางอย่าง
ไม้ตีสัมผัสลงบนหน้ากลองอย่าแผ่วเบาทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นราวกับผิวน้ำ ทันใดนั้นหลินซวงก็ฟาดไม้ตีลงไปบนหน้ากลองอย่างแรง
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั่วในอากาศ
กลองโลหิตเริ่มเปล่งประกายสีแดงฉาน เสียงระเบิดที่ดังขึ้นจากกลองขนาดยักษ์นั้นสะท้อนไปทั่วทั้งภูเขา
พายุลูกธนูหยุดชะงักลงเสียดื้อ ๆ ธนูทุกดอกร่วงลงบนพื้น สิ้นซึ่งประสิทธิภาพทำลายล้างไปในทันที
เสียงกลองดังก้องขึ้นอีกหน คราวนี้คลื่นเสียงพุ่งตรงเข้าใส่ทหารของเผ่าเมฆาและห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้ทั้งหมด นักรบเผ่าเมฆาล้มลงบนพื้นในทันใดและได้แต่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เลือดมากมายไหลพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของพวกเขาจนแทบจะเกิดเป็นแม่น้ำสายโลหิตขึ้น
เสียงแหลมสูงของขลุ่ยดังขึ้น นักบวชเผ่าเมฆากำลังพยายามปัดป้องพลังระเบิดจากกลองโลหิตนั่นเอง
ทว่าหลินซวงก็ตีกลองอีกเป็นครั้งที่สาม เสียงขลุ่ยแตกกระจายออกและไอโลหิตฟุ้งไปทั่ว ลำแสงสีแดงพุ่งออกมาจากไอเลือดนั้น เมื่อมองดูแล้วก็จะพบว่าลำแสงพวกนั้นมาจากวิญญาณชั่วร้ายที่ในไอเลือดนั้นนั่นเอง
วิญญาณร้ายพวกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยกลองโลหิต จำนวนที่ถูกปล่อยออกมานั้นสามารถกลืนกินทั้งเผ่าเมฆาได้อย่างง่ายดาย
“กลองโลหิต! นั่นมันกลองโลหิต!” แม่ทัพเผ่าเมฆาร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง
“กลองโลหิตคืนชีพแล้ว!” ผู้เฒ่าก้งร้องขึ้นเช่นกัน
ผู้เฒ่าก้งรู้ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจได้เกิดผลแล้วเมื่อเห็นว่ากลองโลหิตกำลังทำงาน
เสียงร้องด้วยความดีใจดังขึ้นทั่วจากทัพเผ่าเชียง ทุกคนมีกำลังใจที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้ง!
ในวันนั้น เผ่าเชียงจึงได้รับชัยชนะเหนือเผ่าชาวป่าเถื่อนทั้งสองไป
การทำลายเผ่าเมฆา นักบวชหลินซวงจะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน