ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 89 แยกพลังอมตะและพลังศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 89 แยกพลังอมตะและพลังศักดิ์สิทธิ์
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้ว
หลายปีมานี้โลกภายนอกยุ่งวุ่นวายอย่างน่าเหลือเชื่อ อาณาจักรทั้งหลายพัวพันในสงคราม ตระกูลชั้นสูงยังต่อสู้กันเอง เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ขึ้น
กลุ่มคนป่าเถื่อนเองก็ลงมือเช่นกัน
ไม่มีใครคิดว่ากลุ่มคนป่าเถื่อนที่ไร้ระเบียบและป่าเถื่อน จู่ ๆ จะรวมตัวกันก่อตั้งอาณาจักรใหญ่ขึ้นมาได้
กลุ่มคนป่าเถื่อนเหล่านี้ทั้งมีความสามัคคีและความโหดร้าย นับเป็นภัยครั้งใหญ่แก่เผ่ามนุษย์ ถึงขนาดที่มีบางคนเสนอให้หยุดความเบาะแว้งภายในและรับมือกับศัตรูภายนอกก่อน น่าเสียดายที่พวกตระกูลชั้นสูงบ้าเลือดไม่รู้จักพอ ปฏิเสธไม่ยอมถอย
ส่วนเผ่าเทพนั้นยิ่งไม่ยอม ระบบแรงศรัทธาในอดีตที่เคยใสกระจ่าง บัดนี้ดูมัวหมองไม่ชัดเจนไปแล้ว
เริ่มแรกโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้บีบโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ให้ควบรวมกัน แม้จะมีเหตุผลสมควร แต่ก็มีผลสะท้อนรุนแรงตีกลับ ทำให้หลายคนเป็นห่วงเรื่องความทะเยอทะยานของโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์
ต่อมาก็บังเกิดโบสถ์นภาไร้เงาซึ่งทำให้หลายคนตกตะลึงไม่ใช่น้อย
พวกเขาควรศรัทธาโบสถ์ใดกันแน่?
พวกเขาเหล่านี้มาจากที่ใด?
เทพนภาไร้เงาหรือ?
ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน!
มันควรจะมีเทพเหลืออยู่เพียง 23 องค์เท่านั้น แล้วเทพองค์ที่ 24 ปรากฏขึ้นได้อย่างไร?
ถ้าหากบอกว่าเป็นเทพจริง แล้วเหตุใดจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน?
แต่ถ้าบอกว่าเป็นเทพปลอม แล้วปาฏิหาริย์ที่เหล่าศิษย์กระทำนั่นคืออะไรเล่า? ดูเหมือนพวกเขาจะช่วยเหลือคนได้มากกว่าเทพอีก 23 องค์รวมกันเสียอีก
หากมองในแง่ของการลงมือทำแล้ว เทพนภาไร้เงาเหมือนจะเป็นเทพที่แท้จริงอยู่องค์เดียว ส่วนเทพตนอื่นเป็นของปลอม
ดังนั้นโบสถ์นภาไร้เงาจึงขยับขยายไปอย่างรวดเร็ว
ความเติบโตนี้ยังเกี่ยวเนื่องจากการที่โบสถ์ขยายตัวด้วย โบสถ์นภาไร้เงาไม่ได้เผยแผ่ศาสนาเป็นหลักคิดแย่งชิงเขตแดนของโบสถ์อื่นแต่อย่างใด
ทว่าพวกเขาต้องการกำลังคน
พวกเขามักเดินทางเข้าเมืองไปช่วยรักษาคนที่นั่น ใช้วิธีนี้ดึงความสนใจจากผู้ที่อาจมาเข้าเป็นศิษย์จำนวนมาก จากนั้นก็จะจากไปพร้อมกับเหล่าศิษย์ และกว่าโบสถ์ในแถบนั้นจะรู้ตัว ศิษย์ทั้งหลายก็จากไปนานแล้ว เพราะนอกจากช่วยรักษาคนก็ไม่ได้ยุ่งวุ่นวายในเรื่องอื่นอีก ผู้ศรัทธาหลักของพวกเขาคือชาวบ้านผู้ยากจนมีฐานะต้อยต่ำ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีแรงกระเพื่อมทางสังคมมากเท่าไร หลายโบสถ์ได้เห็นจึงพอใจ
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน โบสถ์ทั้งหลายก็ค้นพบว่าได้มีการสร้างสถานที่รวมตัวแห่งใหม่ขึ้นภายในป่า ห่างจากเมืองใหญ่ไปไม่เท่าไหร่เท่านั้น
พวกเขากำลังสร้างเมืองเป็นของตนเอง!
ฟังจากที่ชาวบ้านเล่าต่อกันมา เทพนภาไร้เงามีพลังเหลือเชื่อที่ไม่เพียงกำจัดโรคระบาดได้ แต่ยังมอบชีวิต สิ่งของ สร้างอาคารบ้านเรือน และแจกจ่ายอาหารให้กับผู้คนได้อีกด้วย
โบสถ์แห่งหนึ่งจึงได้แต่ตกตะลึง ชาวบ้านธรรมดามักเป็นส่วนสำคัญที่คอยบูชาและรักษาโบสถ์ทั้งหลาย ไม่ใช่ทางโบสถ์ที่ต้องคอยดูแลพวกเขา แต่เรื่องนี้มันสลับทางกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
สำหรับหลินซวงแล้ว ภารกิจโบสถ์ไม่ใช่สิ่งสำคัญ การสร้างโบสถ์ให้งดงามก็ไม่สำคัญเช่นกัน สำคัญเพียงต้องได้รับแรงศรัทธา ยิ่งมีคนนับถือมากเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งหันไปศรัทธาเผ่าเทพน้อยลงเท่านั้น พวกเขาก็จะอ่อนแอลงเช่นกัน
การแย่งชิงแรงศรัทธาจากผู้คนก็เหมือนการแย่งชิงพลังมาจากพวกเขา
มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดขนาดนั้นเชียวหรือที่หลินซวงเต็มใจจะช่วยดูแลพวกชาวบ้านทั้งหลาย?
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพยายามไม่จำกัดการกระทำของเหล่าศิษย์ด้วย อาทิเช่น ยามกล่าวโอวาทก็กล่าวให้สั้น ศิษย์ทั้งหลายจะได้จำบทสวดสำคัญได้ง่าย เขายังทำให้หลักคำสอนเข้าใจได้ง่าย เพียงแค่ติดตามเทพนภาไร้เงา พวกเจ้าก็จะได้รับพร ไม่เช่นนั้นก็จะถูกระรานด้วยคำสาป และจะกระทำการย้ำไปย้ำมาเพื่อทำการล้างสมองให้ได้ผลดียิ่งขึ้นไปอีก
ตัวหลินซวงเองไม่ได้ต้องการผู้ศรัทธา เพราะมันไม่มีประโยชน์ต่อเขา แต่เพื่อกุมจิตใจของเหล่าผู้ศรัทธาเอาไว้ เขาจึงต้องสร้างระบบขึ้นมาเพื่อทำให้แรงศรัทธาหนักแน่นยิ่งขึ้น ในอีกมุมหนึ่ง หากพลังอมตะสามารถกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ แล้วตัวเขาสามารถดูดกลืนแรงศรัทธาได้หรือไม่?
หลินซวงใช้เวลาครุ่นคิดคำถามนี้อยู่นานพอสมควร
จริง ๆ แล้วซูเฉินเคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตอนอยู่แดนต้นกำเนิดมาก่อน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ทว่าหลินซวงในตอนนี้ใกล้เคียงกับเผ่าเทพ กำลังแย่งชิงแรงศรัทธาจากเผ่าเทพอย่างแข็งขัน ดังนั้นจึงเริ่มเข้าใจมันขึ้นมา
พลังศักดิ์สิทธิ์และพลังอมตะแท้จริงแล้วเป็นพลังงานที่แตกต่างกันสองประเภท ประเภทหนึ่งดึงมาจากภายนอก อีกประเภทหนึ่งดึงมาจากตัวตนภายใน
และเงื่อนไขความศรัทธาของพลังศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นภาพสะท้อนของความปรารถนาของพลังทางวิญญาณ.
แรงศรัทธาเป็นพลังทางวิญญาณประเภทหนึ่ง เมื่อศิษย์เคารพบูชาบางสิ่งบางอย่าง ก็จะส่งพลังวิญญาณไปให้สิ่งนั้นด้วย และถ้าหากสิ่งนั้นมีพลังมากพอ อาทิเช่นมีความเข้าใจในกฎแห่งพลัง พวกเขาก็จะสามารถดูดซับพลังวิญญาณนั้นได้
และเมื่อมีแรงศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งแรงกล้ามากพอในระยะเวลาขณะหนึ่ง การเชื่อมต่อระหว่างร่างกายและจิตไม่เพียงมอบพลังวิญญาณทรงพลังให้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเริ่มส่งผลต่อพลังชีวิตด้วย
หรือก็คือแรงศรัทธาทำให้เผ่าเทพได้รับทั้งพลังวิญญาณและพลังชีวิต เติมเต็มความต้องการของเผ่าเทพ ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้ตลอดกาล พูดอีกอย่างก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายยอมมอบพลังชีวิตให้เพื่อให้เผ่าเทพยังคงอยู่
เผ่าเทพอาศัยวิธีนี้ในการใช้ชีวิตรอดมาโดยตลอด
ส่วนพลังอมตะนั้นกลับสร้างขึ้นมาได้จากภายใน คนผู้นั้นจะสามารถมีพลังได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมภายนอกได้
ปรัชญาที่ครั้งหนึ่งเคยแพร่หลายมากในสังคมมนุษย์คือแนวคิดของการมีอยู่ของสองโลก นั่นคือโลกภายนอกและโลกภายใน เส้นทางการบ่มเพาะพลังเน้นโลกภายในเป็นหลัก แต่ปรัชญานี้เป็นนามธรรมและเรียบง่ายเกินไปสักหน่อย และไม่ได้อธิบายเรื่องทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังด้วย
สิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีทางเอาชนะความเป็นจริงไปได้
ดังนั้นปรัชญานี้จึงค่อย ๆ เลือนหายไป ปัจจุบันไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดนี้
แต่การที่ซูเฉินค้นพบพลังอมตะกลับเป็นเครื่องยืนยันว่าแนวคิดนี้ถูกต้อง
แม้ในอดีตจะเห็นว่ามันมีความเป็นไปได้ แต่เขาเพิ่งจะเข้าใจมันอย่างเต็มที่ก็ตอนนี้
ด้วยความที่มันมาจากภายใน พลังอมตะจึงเข้ากันกับร่างกายมนุษย์ได้ดีมาก แม้มันจะไม่สง่าผ่าเผยเท่าพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ละเอียดลออกว่า ทำให้พลังอมตะสามารถดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้
มันไม่ใช่เพราะพลังอมตะมีระดับสูงกว่า แต่เป็นเพราะมันพัฒนาอยู่ภายในร่างกายคนเรา ในขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์บีบให้ต้องพึ่งพาพลังจากภายนอก ความสัมพันธ์ระหว่างพลังอมตะและร่างกายมนุษย์จึงเหมือนเป็นสหายรักวัยเด็ก ส่วนพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนสาวใช้ที่ใช้เงินซื้อมา ทั้งสองอย่างมีความเป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกัน ทว่ามีฐานะต่างกันมาก ผู้เป็นสาวใช้ย่อมถูกบีบคั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่การที่คนรักวัยเด็กสามารถรังแกสาวใช้ผู้เป็นบริวารได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหยุดคนรักไม่ให้คิดนอกใจได้ ดังนั้นบางครั้งนางจึงต้องไล่สาวใช้จำนวนมากออกไป
พลังศักดิ์สิทธิ์อาจไม่สามารถชนะพลังอมตะได้ แต่ข้อดีหนึ่งของมันคือการที่มันมีจำนวนมากกว่า
คนรักวัยเด็กต้องคอยกำจัดพวกนางออกไปไม่หยุดหย่อนเพื่อที่จะสร้างรากฐานความเหนือกว่าขึ้นมา และไล่พวกสาวใช้ทั้งหมดออกไปให้ได้…
ทำเช่นนี้แล้วพลังอมตะจึงจะสามารถเติบโตได้
รู้ดังนี้แล้วหลินซวงจึงค้นพบทันทีว่าพลังอมตะและพลังศักดิ์สิทธิ์สามารถอยู่ร่วมกันได้
ถ้าหากตบแต่งกับเพื่อนรักวัยเด็กไปแล้ว ตัวสามีรักนางที่สุด แต่มีแอบไปขลุกอยู่กับภรรยารองคนอื่นบ้าง ก็เป็นไปได้ว่านางจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไป อย่างไรเขาก็ยังปฏิบัติกับนางอย่างดี และหากนางคิดบีบคั้นเขา ก็ยิ่งทำให้เขากับนางยิ่งต้องห่างไกลกันกว่าเดิม
เมื่อคิดตามหลักนี้แล้ว ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะสามารถดูดพลังศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในร่างโดยที่ไม่ให้พลังอมตะกลืนกินมันเข้าไปได้
นอกจากการหาสมาชิกเหล่าศิษย์เพิ่มเติม และช่วงชิงคนมาจากโบสถ์อื่นแล้ว หลินซวงก็ใช้เวลาศึกษาความคิดนี้ด้วยเช่นกัน
ใช้เวลาหลายปีทดลองเล่นมาหลายครั้ง ในที่สุดหลินซวงก็ทำสำเร็จ
ตอนนี้เขาสามารถกักเก็บพลังทั้งสองอย่างไว้ภายในร่างได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว
แน่นอนว่าจำนวนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเก็บไว้ได้มีอยู่อย่างจำกัด ว่ากันตามตรงก็นับว่าไม่มากพอด้วยซ้ำ ปกติแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์จะมีจำนวนมากกว่าพลังอมตะมาก แต่ภายในร่างของหลินซวง มันกลับสลับกัน
คนรักวัยเด็กเป็นหญิงที่หึงหวงรุนแรงนี่นะ
หลินซวงจึงไม่อาจทำอะไรได้
เขารู้ดีว่าการเริ่มต้นเป็นก้าวที่ยากที่สุด เมื่อผ่านจุดเริ่มต้นไปแล้ว เขาย่อมวางรากฐานเพื่อทำให้ต่อไปได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพื่อนรักวัยเด็กของเขาในตอนนี้นับว่ามีแรงริษยาสูงมาก แต่เมื่อชินชากับเหล่าสาวใช้เมื่อไหร่ ไม่แน่ว่านางอาจจะเริ่มปล่อยวางขึ้นมาก็ได้
แต่ถึงเขาจะทำสำเร็จ พละกำลังของหลินซวงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร
พลังศักดิ์สิทธิ์ยังคงเป็นเพียงเครื่องหล่อเลี้ยงพลังอมตะ ความสมดุลระหว่างพลังทั้งสองภายในร่างหลินซวงไม่ได้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นไปได้ว่าทำให้เขาอ่อนแอลงอีกต่างหาก
เพราะหลินซวงต้องคอยมานั่งกำกับดูแลพลังอมตะในร่าง
แต่ก็มีประโยชน์ใช้สอยอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
นั่นคือเพื่อใช้หลบหลีก
อิทธิพลของโบสถ์นภาไร้เงาเริ่มแผ่ขยายออกไปแล้ว
เมื่อแรงศรัทธาต่อเผ่าเทพเริ่มเลือนหาย ไม่นานพวกเขาต้องหันมาสนใจแน่
แม้ว่าหลินซวงจะพยายามดึงศิษย์มาจากเทพทั้งหลายทุกตนพอ ๆ กันและพยายามทิ้งร่องรอยไว้ให้น้อยที่สุด แต่สุดท้ายก็จะถูกค้นพบอยู่ดี
ครั้งนี้หลินซวงไม่อยากซ่อนตัวแล้ว
เพราะหากทำเช่นนั้น โบสถ์ที่เขาทุ่มแรงสร้างขึ้นมาก็คงถูกทำลายภายในข้ามคืน ศิษย์ทั้งหลายก็จะกลับไปเชื่อในระบบเก่า แรงศรัทธาที่เขาอุตส่าห์ช่วงชิงมาก็จะกลับคืนสู่จุดเดิม
หลินซวงไม่อยากให้สิ่งที่เขาลงแรงทำมาทำให้เหล่าเทพต้องอดเพียงมื้อเดียวเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสู้ต่อไป
ถ้าหากต้องการต่อต้านเผ่าเทพ เขาจำเป็นต้องโน้มน้าวว่าเทพนภาไร้เงานี้ แท้จริงแล้วเป็นเทพตนหนึ่งเช่นกัน
ตูม!
แสงทองระลอกหนึ่งระบิดออกจากร่างหลินซวง ทันใดนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ปรากฏเกราะทองส่องแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
มองจากภายนอก หลินซวงก็มีความคล้ายคลึงกับเทพอยู่เช่นกัน
แต่ไม่นานเขาก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไปจนหมด
โชคดีที่หลินซวงสามารถเปลี่ยนแรงศรัทธาให้กลายเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ตอนนี้เขามีแหล่งสำรองพลังมากพอจะสามารถคงเกราะทองไว้ไม่ให้เลือนหายไปได้แล้ว
แต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้อีก
“ไอ้หยา ก็แค่วางท่าไปเท่านั้น แต่อย่างน้อยพลังศักดิ์สิทธิ์นี่ก็เป็นของจริง ถ้าหากไม่ต้องลงมือต่อสู้ เผ่าเทพก็คงไม่รู้ว่าภายใต้เกราะทองนี้มีอะไรอยู่” หลินซวงว่าพร้อมรอยยิ้มบาง
เมื่อสนธิสัญญานิรันดร์กาลยังคงมีผล เผ่าเทพจึงไม่สามารถโจมตีกันเองได้
ดังนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงจากเผ่าเทพได้ เท่านี้ก็ดีมากพอแล้วไม่ใช่หรือ?
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาดผ่าน
เขาเหลือบมองร่างกายตนเอง
ตอนนั้นเองเขาจึงได้เข้าใจ
เข้าใจว่าบรรพชนมนุษย์ทำอย่างไรจึงรอดพ้นมาจนถึงตอนนี้ได้ และลวงเทพตนอื่นได้อย่างไร