ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 90 เทพตนใหม่
บทที่ 90 เทพตนใหม่
ภายในวิหารเผ่าเทพ
เผ่าเทพไม่ค่อยจัดการประชุมเช่นนี้ขึ้นเพราะพวกเขาล้วนมีภาระยุ่งอยู่ตลอด จะเรียกพวกเขามารวมตัวกันทั้งหมดเพื่อการประชุมไร้จุดหมายไปอะไรกัน?
น่าเสียดายที่บางการประชุมจะไม่จัดก็ไม่ได้
เป็นอีกครั้งที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของห้องโถง นางเป็นคนเปิดการประชุม “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าเสียผู้ศรัทธาไปราวห้าส่วน”
พระแม่เอ่ยเสริม “ข้าก็เหมือนกัน”
จ้าวแห่งแดนฝันเอ่ย “ข้าเสียไปสิบส่วน”
เจ้าแห่งแดนฝันเสียผู้ศรัทธาไปมากที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะหลินซวงจงใจเล็งเป้าเขาเพื่อทำการแก้แค้นแต่อย่างใด เป็นเพราะโบสถ์นภาไร้เงาตั้งอยู่ในเมืองใจสิงห์ซึ่งเป็นอาณาเขตในเขตแดนของเขาต่างหาก ปาหนีซือเท่อและนักบวชคนอื่นใช้เส้นสายเพื่อเพิ่มจำนวนคน เขาจึงเป็นเทพตนแรกที่ค้นพบปัญหานี้
หลังจากเทพผู้นำทั้งสามกล่าวคำไปแล้ว เทพอนารยะและเทพตนอื่นก็รายงานว่าเสียผู้ศรัทธาไปในปีก่อนเช่นกัน
เทพแต่ละตนเสียผู้ศรัทธาไปในจำนวนพอ ๆ กัน นั่นคือประมาณห้าส่วน
แต่ความเสียหายทั้งหมดนั้น มีประมาณเท่ากับยอดผู้ศรัทธาของหนึ่งในสามผู้นำเพียงเท่านั้น
มันเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงทีเดียว
ในอาณาเขตคุน การเปลี่ยนศรัทธาเป็นเรื่องธรรมดา บางครั้งหลังจากจบศึก เมืองทั้งเมืองก็อาจเปลี่ยนศาสนาได้ ศึกแห่งทวยเทพเองก็เกิดขึ้นจากการแย่งผู้ศรัทธาที่มีอยู่อย่างจำกัด
หลังจากเทพจำนวนมากสิ้นไปแล้ว เทพที่เหลือก็ปรึกษากันว่าตอนนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ให้แบ่งกันได้อย่างเพียงพอ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขายังมีชีวิตรอดต่อไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงสร้างสนธิสัญญาขึ้นมาในที่สุด
แต่แน่นอนว่าสนธิสัญญานี้มีผลเพียงในเผ่าเทพ สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นยังสามารถกระทำการได้ตามอิสระ ดังนั้นจึงยังมีสงครามเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ตราบเท่าที่มันไม่กระทบถึงเผ่าเทพ พวกเขาก็จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว
ในสถานการณ์เช่นนี้ การเสียผู้ศรัทธาไปบ้างนับว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่แปลกที่จำนวนจะมีการผันผวนบ้าง ปกติแล้วพวกเขาสามารถมั่นใจได้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ศรัทธาก็จะกลับคืนมา และในเมื่อปราการก็ใกล้จะล่มสลายอยู่แล้ว เผ่าเทพจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องผู้ศรัทธามากมายขนาดนั้น
แต่การที่พวกเขาต่างก็เสียผู้ศรัทธาไปราวห้าส่วนเหมือน ๆ กันทำให้รู้สึกผิดปกติ ความเสียหายในจำนวนนี้ภายในระยะเวลาหนึ่งปีดูผิดปกติเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญคือไม่มีใครเคยพบเจอกับการที่ผู้ศรัทธาลดลงมากขนาดนี้มาก่อน
หรือก็คือการประชุมนี้อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น
“เป็นไปได้ไหมว่าโลกเบื้องล่างเกิดความโกลาหล ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก?”
“ก็เป็นไปได้ กลุ่มคนป่าเถื่อนดูเหมือนจะเข้ารุกรานแดนมนุษย์ หลงเก๋อ ดูแลคนของเจ้าให้ดีหน่อย อย่าให้พวกเขาสร้างปัญหาในช่วงสำคัญเช่นนี้”
“เงียบเถอะ พวกเขากำลังเผยแผ่แรงศรัทธาแห่งข้า จะไปบอกให้พวกเขาหยุดได้อย่างไร? อีกทั้งสนธิสัญญานิรันดร์กาลไม่มีบทบัญญัติสำหรับสถานการณ์เช่นนี้”
“การกระทำของกลุ่มคนป่าเถื่อนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ การรุกรานของพวกเขาไม่กระทบอาณาเขตของข้า”
เผ่าเทพยังคงสนทนากันต่อ ไม่นานทั่วทั้งวิหารก็เต็มไปด้วยเสียงดังเอ็ดตะโร
สุดท้ายเป็นพระแม่ที่บอกให้ทุกคนเงียบแล้วเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “พวกเจ้าไม่ไปดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกเบื้องล่างนานเท่าไหร่แล้ว?”
เผ่าเทพทั้งหลายเงียบไปพร้อมกัน
แม้การไปปรากฏตัวเบื้องล่างจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้หนทางจะรับรู้เรื่องภายล่างเลยเสียทีเดียว
เทพแต่ละตนจะมีรูปปั้นของตนอยู่ สามารถวางผนึกไว้ ใช้รับฟังคำภาวนาจากผู้ศรัทธาได้
หรือก็คือเผ่าเทพนั้นรอบรู้รอบด้าน เพราะเมื่อผู้ศรัทธาไปที่ใด พวกเขาก็จะล่วงรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตรงนั้นด้วย
น่าเสียดายที่ความจริงมักน่าผิดหวัง
เผ่าเทพเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น
ส่วนมากไม่แม้แต่จะรับฟังคำขอด้วยซ้ำ
ทำไมน่ะหรือ?
ต้องให้พวกเขาตอบด้วยหรือไร?
พวกผู้ศรัทธาจะขออะไรได้อีก?
“ท่านเทพ ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย”
“ท่านเทพ ข้าไม่ได้รับความยุติธรรม ข้าควรทำอย่างไรดี?”
“ท่านเทพ เหตุใดพวกเขาจึงทำกับข้าเช่นนี้? เหตุใดท่านถึงต้องลงโทษข้าเช่นนี้ด้วย?”
“ท่านเทพ ช่วยทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นที”
“ท่านเทพ ขอให้ข้าร่ำรวยด้วยเถิด”
“ท่านเทพ ข้าอยาก…”
“ข้าต้องการ…”
“ข้าปรารถนา…”
เป็นเช่นนี้เรื่อยไปไร้ที่สิ้นสุด
คำอ้อนวอนเกือบทั้งหมดของผู้ศรัทธาล้วนเป็นเช่นนี้
หากเจ้าเป็นเทพ เมื่อต้องเจอกับคำขอที่เข้ามามากมายเช่นนี้จะทำอย่างไร?
จะรู้สึกรำคาญและคิดว่าพวกเขารู้จักแค่ขอหรือไม่?
จะรู้สึกเกลียดชังหรือไม่? พวกเขาควรเป็นฝ่ายสนับสนุน ไม่ใช่กลับกันเช่นนี้
จะรู้สึกรังเกียจหรือไม่? พวกเขาน่ารำคาญเหมือนฝูงแมลงวันก็ไม่ปาน
จะเมินเฉยหรือไม่? ข้าไม่ได้สนใจพวกเขามานานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังศรัทธาในข้า เช่นนั้นแล้วจำเป็นต้องรับฟังด้วยหรือ?
เผ่าเทพมองผู้ศรัทธาเช่นนี้
หลังจากรู้สึกเหลือทนกับคำขอที่มากันไม่หยุดไม่หย่อน และหลังจากรู้ว่าถึงเหมือนคำขอผู้ศรัทธาก็ยังคงความศรัทธาไว้ดังเดิม เผ่าเทพจึงเริ่มไม่รับฟังคำขอ
การที่เทพลงมารับฟังคำขอทุกสิบปี และตอบกลับทุกร้อยปีนั้นนับว่าใส่ใจมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่มีสถานการณ์ใดบีบคั้น เผ่าเทพก็มักจะเมินเฉยต่อผู้ศรัทธาเช่นนี้
เว้นเสียแต่ว่าผู้ศรัทธาจะเริ่มหายไป
ถึงตอนนั้นเผ่าเทพจึงเริ่มตื่นตระหนก เริ่มฉงนสงสัยว่าครั้งล่าสุดที่ได้ฟังคำขอของผู้ศรัทธาเป็นเมื่อไหร่กันแน่
พระแม่กำลังชี้ให้เห็นถึงเรื่องนี้
บรรดาเทพทั้งหลายเหลือบมองกันก่อนจะพบว่าผู้ศรัทธาของตนล้วนขอแต่เรื่องธรรมดาสามัญทั้งสิ้น
“ข้าจะลงไปดู” สุดท้ายแล้วก็เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ที่คิดจะลงไปก่อน
ในที่สุดผู้ศรัทธาแห่งโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็ได้รับการตอบสนอง หัวหน้านักบวชเป็นชายชราที่พูดไม่ชัดเล็กน้อย ท่าทางการพูดฟังแล้วค่อนข้างน่าสับสน
เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ไม่คิดอดทน ถามขึ้นทันที “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ภายในโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์
หัวหน้านักบวชกำลังทำการสวดอ้อนวอน ในใจพลันได้ยินเสียงหนึ่งก้องขึ้น ทำเอาเขาตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้า ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบก้มลงคำนับร้องขึ้นมาว่า “นายท่าน ในที่สุดก็รับฟังคำสวดอ้อนวอนของข้าแล้ว!”
“เหตุใดจำนวนผู้ศรัทธาของข้าจึงลดลง?” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์เอ่ยเสียงไม่อดรนทนรอ
หัวหน้านักบวชรีบตอบ “เทพตนใหม่ได้ปรากฏขึ้น มีผู้เปลี่ยนใจไปเลื่อมใสเขาหลายคน นายท่านไม่รู้หรอกหรือ?”
“เทพตนใหม่?”
เผ่าเทพทั้งหลายในโถงได้ยินแล้วก็ตะลึง
พวกเขาถกกันถึงความเป็นไปได้จำนวนมาก แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องนี้
จะมีเทพตนใหม่ปรากฏในอาณาเขตคุนได้อย่างไร? นี่มันเรื่องอะไรกัน?
จนกระทั่งหัวหน้านักบวชอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง เผ่าเทพจึงบรรเทาความตกใจลง
“เทพนภาไร้เงา? ใครกัน? มีใครรู้จักเขาหรือไม่?”
“ไม่เลย หรือจะเป็นหนึ่งในเทพโบราณ?”
“เป็นไปไม่ได้ เทพทุกตนปรากฏตัวเมื่อครั้งศึกทวยเทพ จะมีเทพใหม่มาปรากฏอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้หรือ?”
“หรืออาจจะเป็นเทพที่เพิ่งถือกำเนิด?”
“ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันในอาณาเขตคุนแล้ว ข้าว่าเป็นไปไม่ได้”
“ไอ้ตัวบัดซบนั่นโผล่หัวแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“รนหาที่ตายหรือไร?”
“หรือเพราะเริ่มร้อนใจเพราะการล่มสลายของปราการกระมัง”
“เช่นนั้นเขาก็ควรเรียนรู้จากผู้สอดแนมนั่นที่แอบเข้าไปแล้วสังหารคน แทนที่จะพยายามหลอกเอาผู้ศรัทธาของเราไป”
“ใครจะรู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจมีแผนก็ได้”
เผ่าเทพเริ่มปรึกษาหารือกันครั้งใหญ่ น่าสนใจนักที่พวกเขาล้วนมุ่งเป้าไปที่บรรพชนมนุษย์
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินซวงจะเกี่ยวพันด้วยเลย
หมากเพียงตัวหนึ่งที่สามารถเล็ดลอดออกมาจากแดนต้นกำเนิดได้ ย่อมไม่สามารถสร้างความโกลาหลเช่นนี้ได้หรอก
แต่ในเมื่อเผ่าเทพเข้ามาเกี่ยวพันด้วยเช่นนี้แล้ว จึงไม่แปลกที่พวกเขาต้องทำการสืบความให้มากขึ้นก่อนทำการตัดสินใจ
ใกล้เนินไพรแดง
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสถานที่รกร้าง แต่หลังจากสร้างโบสถ์นภาไร้เงาขึ้นแล้ว ทั่วทั้งเขตก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ที่ใจกลางเมืองใหญ่แห่งใหม่คือโบสถ์ใหม่อันสง่าผ่าเผย
รูปปั้นเทพนภาไร้เงาขนาดใหญ่ถูกสร้างไว้ภายในเพื่อให้ผู้ศรัทธาเคารพบูชา ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าคือหัวหน้านักบวชหลินซวง
จังหวะนั้นเองที่แสงสีทองพลันสาดส่องลงมา มันส่องสว่างไปทั่วทั้งโบสถ์
หลินซวงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจเรื่องราว เขาพึมพำเสียงเบากับตนเองว่า “พวกเขามาแล้ว”
เจตจำนงอันทรงพลังและงามสง่ารุดหน้าเข้ามา เติมเต็มห้องโถงใหญ่ภายในโบสถ์ แม้ตอนนี้จะมีศิษย์อยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีเพียงหลินซวงที่ได้ยินเสียง คนอื่น ๆ นิ่งไปราวกับถูกแช่แข็ง
“เจ้าทำงานรับใช้ใคร?”
หลินซวงเลิกคิ้วขึ้น “นายท่านเรียกตนเองว่าเทพนภาไร้เงา ในฐานะเทพแห่งแสงสว่าง เขามีหน้าที่ให้ความสว่างแก่ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วแดนมนุษย์ขอรับ”
“เทพแห่งแสงสว่างสิ้นไปแล้วในศึกแห่งทวยเทพ”
“ดังนั้นนายท่านของข้าจึงเลือกเรียกตนเองว่าเทพนภาไร้เงาขอรับ” หลินซวงตอบ
คนเป็นองค์เทพได้ยินแล้วก็ชะงักไป
หัวหน้านักบวชผู้นี้จะบอกว่าเทพนภาไร้เงาเป็นผู้สืบทอดของเทพแห่งแสงสว่างที่สิ้นไปเมื่อนานมาแล้วงั้นหรือ?
เผ่าเทพถือกำเนิดขึ้นจากเจตจำนงแห่งสวรรค์ จึงไม่แปลกที่จะมีตนหนึ่งตายและมีอีกตนเกิดขึ้นมาใหม่ ในช่วงศึกแห่งทวยเทพก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหลายครั้ง แต่ในรอบหมื่นปีที่ผ่านมานี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว
ฝ่ายเทพจึงถาม “นายท่านของเจ้าพักพิงอยู่แห่งใด? ในเมื่อถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มาพบพวกเรา?”
หลินซวงก้มศีรษะลง เอ่ยเสียงดูถ่อมตน “ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่ากำลังสนทนากับท่านเทพเจ้าองค์ใดขอรับ?”
“เทพเจ้าทั้งหมดในวิหารกำลังสนทนาอยู่กับเจ้า”
หลินซวงคุกเข่าตอบ “อ้ายหลงแห่งโบสถ์ไร้เงาทำความเคารพเผ่าเทพ”
“พูดมา เขาอยู่ไหน?”
หลินซวงจึงเงยหน้าขึ้น ร่างกายเริ่มเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา “นายท่านพักพิงอยู่ภายในปราการ!”
“ปราการ!” เทพเจ้าทั้งหลายได้ยินก็ตกใจ
“ขอรับ ปราการ!” สายตาเร่าร้อนปรากฏขึ้นในนัยน์ตาหลินซวง “นายท่านถือกำเนิดและพักพิงอยู่ภายในปราการ การถือกำเนิดของเขานับเป็นเจตจำนงของปราการขอรับ!”
เทพทั้งหลายได้ยินดังนั้นจึงอึ้งไป
หลินซวงกำลังบอกว่าที่เทพนภาไร้เงาไม่ปรากฏตัว ไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะผสานกายเข้ากับปราการเทพเจ้านั่นเอง
มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?
ซึ่งมันเป็นไปได้ อย่างน้อยก็ในเชิงทฤษฎี
เผ่าเทพถือกำเนิดขึ้นจากกฎแห่งพลัง ซึ่งหมายความว่ากฎแห่งพลังประเภทใดก็ตามสามารถให้กำเนิดเทพขึ้นมาได้
ปราการตั้งอยู่มาแล้วนับหมื่นปี ดังนั้นจึงมีกฎแห่งพลังเป็นของตน ในศึกแห่งทวยเทพมีเทพสิ้นชีพไปหลายองค์ ทิ้งความคิดอาฆาตพยาบาทและเจตจำนงเอาไว้ จึงเป็นไปได้ว่าจะมีเทพองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น
เทพองค์ใหม่ที่มีร่องรอยของเทพองค์เก่า
และเทพองค์นี้ย่อมเหมาะสมที่สุดที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดของอาณาเขตคุน เผ่าเทพเคยว่าถึงทฤษฎีนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในเชิงทฤษฎีไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นจริงไปตามนั้นเสียทุกเรื่อง
เพราะเทพองค์นี้ถือกำเนิดอยู่ภายในปราการ ดังนั้นจึงถูกกักขังไว้ ทำให้ไม่สามารถกลับคืนสู่ฝั่งพวกเขาได้
ที่เพิ่งมาปรากฏตัวตอนนี้ก็เพราะปราการกำลังอ่อนกำลังลง ตามทฤษฎีแล้ว ทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวในระยะไกลขึ้นได้มาก
แม้มันจะเป็นเพียงคำลวงหนึ่ง แต่ก็เป็นคำโกหกที่มีเหตุผลเป็นอย่างมาก
ซึ่งนับว่าไม่แปลก เพราะมันเป็นคำลวงที่บรรพชนมนุษย์ช่วยเขาคิดขึ้นมา อย่างน้อยเมื่อนำมาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าเป็นเหตุเป็นผลอย่างมาก
ตอนนี้คำถามคือเขาจะทำอย่างไรเพื่อโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเชื่อเขาให้ได้