ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 93 ลักลอบ (1)
บทที่ 93 ลักลอบ (1)
ณ สุดเส้นขอบฟ้า
ตรงรอยแยกที่ใหญ่ที่สุดบนปราการที่ซึ่งซูเฉินและเผ่าเทพเคยประจันหน้ากันมาก่อนกำลังเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้น
เมืองล่องนภาเป็นสิ่งแรกที่มาถึง
เงาร่างขนาดมหึมาของมันค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าไกล ดูราวกับเป็นเมฆพายุที่ใกล้เข้ามาขณะที่มันลอยมายังทิศของปราการ
ต่อมาปืนใหญ่สังหารปีศาจก็เริ่มผุดขึ้นมาเหนือวังแสงตะวันชั่วกาล
ปืนใหญ่เล็งไปยังรอยแยก จากนั้นก็ยิงออกมา
ลำแสงพุ่งออกไปอย่างน่าสะพรึงกลัว เกิดระเบิดแสงสว่างจ้า ราวกับหมายจะใช้กำลังสูงส่งทำลายปราการก็มิปาน
แต่แน่นอนว่าการยิงครั้งเดียวคงไม่อาจทำได้ ไม่เช่นนั้นมันก็คงไม่ใช่ปราการเทพเจ้าแล้ว
ปราการมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูสูงมาก หลายปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเจ้าพยายามลดคุณสมบัตินี้ลง แต่ทำได้เพียงทำให้การฟื้นฟูช้าลงเท่านั้น
ปืนใหญ่สังหารปีศาจช่วยขยายรอยแยกได้ชั่วคราว แต่รอยแยกไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เพราะอย่างไรปราการก็จะค่อย ๆ ซ่อมแซมตัวเองได้
เคราะห์ดีที่ซูเฉินไม่จำเป็นต้องให้มันคงอยู่ตลอดไป
ตูม ๆ ๆ!
ปืนใหญ่สังหารเทพยิงออกมาไม่หยุด สร้างความเสียหายจำนวนมากขึ้น
ปกติแล้วปืนใหญ่เมื่อใช้พลังจนสุดจะไม่สามารถยิงติดต่อกันได้ แต่ซูเฉินบังคับให้เหล่าช่างฝีมือปรับเปลี่ยนมันเพื่อให้มันสามารถทำได้
ทุกครั้งที่ยิงออกไป ปืนใหญ่ก็จะได้รับความเสียหายใหญ่หลวงเช่นกัน
หลังจากระเบิดพลังไปเกือบสิบครั้ง ปืนใหญ่ก็เริ่มปริแตก
ปืนใหญ่ที่ทรงพลังที่สุดในแดนต้นกำเนิดจึงพังทลายลงเช่นนั้น
กระนั้นมันก็คุ้มค่า
จังหวะที่ปืนใหญ่เริ่มแตกสลาย ก็พลันเกิดเสียงดังสนั่นลั่นขึ้นมา
สมอชิ้นหนึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณลึกล้ำออกมากำลังเคลื่อนตัวออกมาจากเมืองล่องนภา มุ่งหน้าไปยังปราการ โซ่เส้นยาวกระทบกันไม่หยุด ดูราวกับยาวไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็อย่างนั้น
สมอยังคงมุ่งหน้าไปยังรอยแยก มันผ่านปราการไปได้ และเริ่มเชื่อมสองแดนเข้าหากัน
รอยแยกปราการนั้นเต็มไปด้วยพลังสูญทรงพลัง สิ่งมีชีวิตใดจะผ่านไปได้ย่อมเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างแสนสาหัส
แต่ไม่ใช่กับสมอทะเลลึก เพราะมันได้รับการออกแบบมาให้ข้ามแดนโดยเฉพาะ
และสมอทะเลลึกยังสามารถทำให้พื้นที่โดยรอบมั่นคงขึ้นได้ ทันทีที่มันเคลื่อนผ่านรอยแยกบนปราการไป ปราการก็สูญเสียความสามารถในการซ่อมแซมตนเองไปชั่วขณะ
รอยแยกถูกขยายกว้าง แรงกดดันจากปราการพลันอ่อนพลัง
ตูม!
ในที่สุดสมอก็หย่อนลงถึงอีกฟาก เมื่อมันทิ้งตัวปะทะอาณาเขตคุน มันก็เริ่มเรืองแสงสว่างเจิดจ้าออกมา…
ใกล้กับเนินไพรแดงนั้นเอง
ศิษย์แห่งโบสถ์นภาไร้เงานับว่างานล้นมือไม่น้อย
ในมือซ้ายถือเทียนเล่มหนึ่ง ส่วนมือขวาคือลูกแก้วไร้เงา ยืนอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดไว้อย่างดี บนพื้นมีลวดลายเป็นสีคล้ายกับมีอักขระเฉพาะวาดเอาไว้
จังหวะที่สมอทะเลลึกทะลุผ่านปราการ ศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มบทสวด เสียงภาวนาดังก้องฟ้า และด้วยอิทธิพลของพลังศักดิ์สิทธิ์ มันจึงเริ่มมีผลต่อกฎแห่งพลังโดยรอบ
หลินซวงสวมชุดคลุมของโบสถ์ ยืนอยู่บนแท่นชั้นสูงที่สุด กำลังพึมพำบางอย่างเสียงเบาประหนึ่งว่ากำลังสวดภาวนา แต่จริง ๆ แล้วกำลังสื่อสารกับร่างหลัก…
ทางฟากเมืองล่องนภา
ซูเฉินนั่งหลับตาตกอยู่ในห้วงความคิด
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นเอ่ย “สร้างการเชื่อมต่อแล้ว เราดำเนินการแผนขั้นที่สองได้”
เสียงกริ่งดังก้องกังวานไปทั่วเมือง
เมืองล่องนภาเริ่มเรืองแสงสว่างจ้าออกมา
ค่ายกลทั้งสองแห่งในแดนต้นกำเนิดและอาณาเขตคุนเปิดใช้งานขึ้นพร้อมกัน เชื่อมต่อซึ่งกันและกัน สมอทะเลลึกที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเริ่มสั่นสะท้าน
ทันใดนั้นก็เกิดเงาร่างคล้ายมนุษย์พุ่งเข้าหาปราการ หากมองดูดี ๆ จะเห็นว่ามันคือหุ่นเชิดยักษ์ของซูเฉิน
ตอนนี้กองทัพยักษ์ของซูเฉินมีจำนวนแตะพันแล้ว
ในการสร้างกองทัพนี้ขึ้นมา ซูเฉินใช้ของหายากในมือไปจนสิ้น แผนจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกมันแล้ว
ตูม ๆ ๆ!
หุ่นเชิดตัวแล้วตัวเล่าพุ่งเข้าไป
ด้วยไร้พลังชีวิต พวกมันจึงได้รับผลกระทบจากปราการน้อยที่สุด อีกทั้งมันยังใช้โลหะดาราสูญมากมายในการสร้าง จึงมีพลังคล้ายกับกฎแห่งพลังสูญ ยิ่งทำให้ต้านพลังสูญผันผวนที่อยู่ในรอยแยกปราการได้ดียิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นซูเฉินคงไม่สามารถส่งหมายเลขหนึ่งไปให้หลินซวงผ่านปราการได้
เมื่อเข้ามาในปราการแล้ว พวกมันก็เรียงแถวต่อกันกับสมอทะเลลึกตั้งแต่ต้นจรดปลาย
จากนั้นหุ่นเชิดยักษ์ทั้งหมดก็ลงมือ แสงจากกฎแห่งพลังสูญเรืองขึ้นบนร่าง กลายเป็นลำแสงสาดสว่างที่ล้อมรอบสมอทะเลลึกเอาไว้ ไม่นานก็เติมรอยแยกปราการให้เต็มได้
“สะพานเชื่อมแดนสำเร็จแล้ว!” หลินเฉ่าเซวียนร้องเสียงตื่นเต้นขึ้น
“เตรียมรุดหน้าเข้า!”
“เตรียมรุดหน้าเข้า!”
“เตรียมรุดหน้าเข้า!”
สิ้นเสียงร้องทั้งหลาย เงาร่างมนุษย์ก็เหินร่างขึ้นฟ้า มุ่งหน้ามายังลำแสงสีขาวบริสุทธิ์ พวกเขาทั้งหลายพุ่งเข้าใส่รอยแยก โดยมีบรรพชนตระกูลกู่ กู่ฮุยหมิงนำหน้ามา ข้างหลังคือกู่ฉางเซิง กู่เฟยหง กู่ซินหรง และผู้อาวุโสตระกูลกู่คนอื่นๆ เยื้องหลังไปอีกคือหลี่หวู่อี้ เฟิงจู่อิ่ง เจียงจูเซิง และเหล่าราชาคนอื่น ๆ
ด่านมหาราชันทั้งหลายยกเว้นซูเฉินเป็นกลุ่มที่บุกเข้าไปในรอยแยกก่อน
หลังจากเข้าไปข้างในลำแสงบริสุทธิ์นั่นแล้ว พวกเขาก็พากันเหินร่างไปยังอีกฝั่งหนึ่งของรอยแยก น่าประหลาดที่แรงผันผวนพลังสูญอันทรงพลังกลับไม่อาจทำอันตรายใด ๆ ได้
นี่เป็นเพราะสะพานเชื่อมแดน
เมื่อใช้สมอทะเลลึกเป็นฐาน ใช้หุ่นเชิดยักษ์ประหนึ่งพื้นไม้บนสะพาน ซูเฉินสร้างสะพานอันทรงพลังที่สามารถต้านทานอำนาจของปราการขึ้นมาได้ ตอนนี้จึงสามารถใช้มันเพื่อข้ามผ่านไปอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นไม่นาน ด่านมหาราชันก็ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของรอยแยก แล้วปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าอาณาเขตคุน
“นี่น่ะหรืออาณาเขตคุน?”
“ดูไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ เท่านี้ก็รู้สึกได้ถึงขีดจำกัดที่ดินแดนนี้มีแล้ว”
“ถ้าแต่เรายังรู้สึกได้ เทพพวกนั้นคงลำบากน่าดู”
“ไม่แปลกที่อยากจะข้ามมาอีกฝั่งนัก”
“แต่ถ้าคิดว่าทำได้ง่าย ๆ ก็คิดผิดแล้ว!”
“ลงไปด้านล่างเถอะ!”
หลังจากออกความเห็นกันเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่รั้งรอ เหินร่างลงไปด้านล่างทันที
กู่ฮุยหมิงและคนอื่น ๆ เหินร่างลงมายังลวดลายที่มีสีสันด้านล่าง จุดที่พวกเขาลงมาคือจุดสีม่วง
ทุกครั้งที่มีใครเท้าแตะพื้น อักขระเบื้องล่างก็จะเริ่มส่องแสง
ตอนนี้บนฟ้าเริ่มมีอีกหลายคนปรากฏตัวขึ้นแล้ว
ด้านหลังด่านมหาราชันคือเหล่าจักรพรรดิอสูรกาย
แม้จะสิ้นชีวิตไปมากมายในการรบ แต่ก็ยังเหลือที่มีชีวิตอยู่มาก ด้วยความที่ช่วงเวลาแห่งการฟื้นคืนมักมาถึงหลังจากสิ้นสุดการทำลายล้าง จักรพรรดิอสูรกายรุ่นใหม่จึงเริ่มปรากฏตัวขึ้น ภายในเวลาราวสิบปีก็มีพวกมันเกือบร้อยตัวเกิดขึ้นมาใหม่ อย่างไรมันก็มีจำนวนมากกว่าด่านมหาราชัน นับเป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถในการขยายพันธุ์ของพวกมันได้ดี
หลังจากจักรพรรดิอสูรกายแล้ว ก็เป็นด่านหยั่งรู้ฟ้าดินและราชันอสูรกาย
จำนวนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินนั้นมีสูงกว่ามาก
หลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดนิกายไร้ขอบเขตก็ทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเป็นคราแรก
ดูจากคุณสมบัติพิเศษของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว การทะลวงเช่นนี้จะมาเป็นระลอก
เมื่อมีใครทะลวงผ่านด่านได้ ก็มีคนอีกนับร้อยสามารถทำได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เผ่ามนุษย์มีด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอยู่ไม่ถึงสองร้อยคน
ภายในชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี จำนวนก็พุ่งทะยานสูงไปจนถึงห้าพันคน
กระทั่งอสูรกายยังเทียบไม่ติด
ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินทั้งหลายเหินลงมาจากฟ้าราวกับห่าฝน
โดยมีจุดมุ่งหมายคือลวดลายสีทอง เมื่อเท้าแตะพื้นก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันขึ้น ลวดหลายเหล่านั้นเริ่มเรืองแสงขึ้นมา
ศิษย์แห่งเทพนภาไร้เงาซึ่งอยู่ชั้นนอกสุดยังคงสวดภาวนาอย่างจริงจัง คำภาวนาแปรเปลี่ยนเป็นกฎแห่งพลัง เติมเต็มท้องฟ้าเหนือค่ายกลพลังศักดิ์สิทธิ์ แม้จะมีเหล่าเทพเจ้าคอยสังเกตการณ์ ก็คงคิดแต่ว่าเป็นพลังที่มาจากเทพนภาไร้เงาผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งอาจจะกำลังเตรียมการล่อเทพอสูรบรรพกาลมายังปราการก็เป็นได้
ใช้เวลาสักพักราชันอสูรกายและศิษย์ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินจึงลงมาสู่พื้นจนหมด
ต่อมาคือศิษย์ด่านผลาญจิตวิญญาณและเจ้าอสูรกาย
ซึ่งมีจำนวนสูงกว่าจนน่ากลัว
จนถึงปัจจุบันนี้ นิกายไร้ขอบเขตมีศิษย์ด่านผลาญจิตวิญญาณราวสามหมื่นคน เมื่อเผยแพร่วิชาการฝึกสู่อมตะออกไป จำนวนก็เอื้อมแตะแสน
นับเป็นตัวเลขที่น่ากลัวทีเดียว
เผ่ามนุษย์ยังคงใช้สะพานข้ามมาอีกฝั่งราวฝนโปรยปราย
ไม่มีใครกล้ารอช้า ไม่เช่นนั้นจะขวางคนอื่น ๆ ที่ติดตามมาด้านหลัง ซูเฉินออกคำสั่งห้ามมีใครหยุดฝีเท้าแม้จะต้องตายระหว่างทางก็ตาม คนด้านหลังสามารถกดดันเบียดคนด้านหน้าได้ตามใจอยาก ใครกล้าหยุดจะถูกสังหารทันที
กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดดังกล่าวนำไปสู่การที่คนทั้งหลายพุ่งออกไปอย่างไร้ลังเล
สะพานเชื่อมแดนกลายเป็นเส้นทางแห่งความตาย ทำให้ทุกคนต้องรุดหน้าไปไม่หยุดยั้ง พวกที่รอช้า หากไม่ถูกผลักจากคนด้านหลังก็จะข้ามฝั่งไปได้ช้า
หรือก็คือไม่มีใครกล้าชักช้าแต่อย่างใด
กระนั้นก็ยังใช้เวลานานกว่าผู้เชี่ยวชาญเรือนแสนจะข้ามสะพานมาได้ทั้งหมด
มนุษย์พุ่งลงจากฟ้าราวกับฝูงแมลง เติมเต็มไปทั่วพื้นที่
พอถึงตอนที่ทุกคนลงสู่พื้น เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งวัน ฝูงชนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่พื้น ค่ายกลขนาดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าเริ่มสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ
ค่ายกลนี้ประกอบไปด้วยด่านมหาราชันหลายร้อยคน ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเกือบหมื่นคน และด่านผลาญจิตวิญญาณนับแสน ไม่เคยมีครั้งใดที่มีการรวมกองกำลังมากมายในสถานที่เดียวกันเช่นนี้มาก่อน
ไม่นานตำแหน่งทั้งหลายบนค่ายกลก็เปิดการใช้งาน จังหวะที่มันทำงานอย่างสมบูรณ์ หลินซวงก็พยักหน้าด้วยความมั่นใจ “เสร็จแล้ว”
ตูม!!!
ณ ใจกลางค่ายกล ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ตรงเข้าหารอยแยก
ในตอนนั้นเองที่รอยแยกพลันขยายกว้างออกนับร้อยเท่า
สมอทะเลลึกยังคงอยู่ หุ่นเชิดยักษ์ก็เช่นกัน ทว่าสะพานนั้นไม่เป็นสะพานอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นฐานสำหรับสร้างสะพานสายใหม่ขึ้นมา
สะพานพลังสูญที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมก่อร่างขึ้นบนรากฐานนั้น
“สะพานเชื่อมสวรรค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว!” หลินเฉ่าเซวียนร้องขึ้นอีกครั้ง
“เทพอสูรกำลังจะเข้าไป!”
“กรรรร!!!”
เบื้องล่างเมืองล่องนภา เทพอสูรตัวแล้วตัวเล่ากำลังคำรามลั่นพลางกระโจนเข้าหาสะพาน