ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 97 ต่อสู้กับเทพเจ้า (1)
บทที่ 97 ต่อสู้กับเทพเจ้า (1)
ในที่สุดวิหารเทพเจ้าก็ปรากฏขึ้น ด้วยประตูวิหารที่เปิดขึ้นแล้วในตอนนี้ รัศมีอันรุ่งโรจน์ของเหล่าเทพเจ้าก็สำแดงออกมาให้เห็นอย่างเต็มที่
แต่ในสายตาของซูเฉิน นี่เป็นการแสดงห่วย ๆ เท่านั้น
ใช่ ห่วยบรม
หากเทพเจ้านั้นทรงพลังอย่างที่ควรจะเป็น มันคงจะเหมาะสมกว่านี้หากแต่ละคนมีวิหารเป็นของตนเอง
ข้อเท็จจริงที่พวกเขาล้วนพำนักอยู่ในวิหารแห่งเดียวกันแสดงให้เห็นว่าพวกเขายากจนข้นแค้นถึงเพียงใด
การถูกขังไว้ในอาณาเขตคุนคงน่าอึดอัดไม่น้อย
ยุทธวิธีของซูเฉินถูกต้องโดยสมบูรณ์ เทพเจ้าทั้งหลายล้วนอ่อนแอที่สุด ณ สถานที่แห่งนี้จริง ๆ
เมื่อวิหารเปิดออก แสงสีทองอร่ามก็เริ่มเฉิดฉายออกมา
เทพเจ้าผู้สวมใส่เกราะสีทองคำตั้งแต่หัวจรดเท้าก้าวออกมาข้างหน้า
“เซวี่ยฝู!”
เทพเจ้าเกราะสีทองคำรามลั่น เสียงของเขาฟังดูเหมือนเสียงของสายน้ำมากมายขณะที่เขาพุ่งตรงลงไปยังสนามรบ
“กู่ซือถ่า ข้าไม่คิดว่าจะเจ้ายังมีชีวิตอยู่อีก” บรรพชนเสวียถอนหายใจ
“นี่คือ?” ซูเฉินถาม
“เทพแห่งสงคราม กู่ซือถ่า นายท่านคนเก่าของข้า” บรรพชนเสวียตอบ
กระทั่งผู้นำแสนทรงพลังของเทพอสูรบรรพกาลก็ไม่มากไปกว่าหนึ่งในสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้า
“แล้วตอนนี้เจ้าจะทำยังไง?” ซูเฉินถาม
บรรพชนเสวียหัวเราะคิกคัก “ข้าจะรีดเลือดเขาให้แห้งเลย!”
ขณะที่พูด บรรพชนเสวียก็กลับกลายเป็นค้างคาวฝูงใหญ่และบินขึ้นไปในอากาศ “เข้ามาสิ กู่ซือถ่า ข้ารอเวลานี้มานานเหลือเกิน”
เทพแห่งสงครามตอบกลับ “ค้างคาวเวร ข้าควรจะบดขยี้เจ้าให้ตายด้วยมือของข้าเองตั้งแต่หลายปีก่อนนั่น!”
ขณะที่กู่ซือถ่าส่งเสียงคำราม มวลอากาศก็เริ่มสั่นไหว
พละกำลังของเทพแห่งสงครามกำลังส่งผลต่อพื้นที่ว่างด้วยตัวของมันเอง ณ ตอนนั้น มันดูราวกับว่าทั้งโลกตกอยู่ใต้การควบคุมของเขาเลยทีเดียว
แต่บรรพชนเสวียดูจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “ความแข็งแกร่งของเจ้าดูจะถดถอยไม่น้อยเลยนะ”
ขณะที่เขาพูดอย่างเนิบนาบ ฝูงค้างคาวก็โผบินผ่านอากาศ ระลอกคลื่นเล็ก ๆ สีดำมากมายก็เริ่มปกคลุมท้องฟ้า ทำให้พลังของกู่ซือถ่าเสื่อมถอยลง
หากทั้งสองอยู่ในจุดสูงสุดของตนเอง บรรพชนเสวียก็ไม่อาจเอาชนะเทพแห่งสงครามได้ อย่างไรแล้วเทพแห่งสงครามก็คือหนึ่งในเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เวลากว่าหลายหมื่นปีแห่งการถดถอยก็ได้ลดความแข็งแกร่งของเทพเจ้าทั้งหลายลงมหาศาล ในตอนนี้ความสามารถของพวกเขาถูกจำกัดไว้ และกู่ซือถ่าก็ไม่อาจหาข้อได้เปรียบต่อบรรพชนเสวียได้แม้แต่น้อย
ระลอกคลื่นพลังงานสีดำผลักพลังศักดิ์สิทธิ์กลับไป บังคับให้กู่ซือถ่าต้องถอยหลังอย่างต่อเนื่องและคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
แต่ในตอนนั้นเอง คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์อีกระลอกหนึ่งก็เข้าร่วมการต่อสู้อย่างลับ ๆ ขณะที่ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังซูเฉิน
โหยวหม่าเค่อ เทพแห่งการลอบสังหาร
แม้ว่าเขาจะเป็นเทพเจ้า พฤติกรรมของโหยวหม่าเค่อก็ขัดแย้งกับสถานะของเขาโดยสิ้นเชิง เขากลับเลือกที่จะโจมตีจากเงามืดเสียอย่างนั้น
คราวนี้ เขากำลังโจมตีด้วยร่างกายจริง
ฟุ่บ!
กริชโลกันตร์เจาะทะลวงหลังของซูเฉิน
“ฮิ ๆๆๆ” โหยวหม่าเค่อขำด้วยความร่าเริง
ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานการโจมตีจากกริชโลกันตร์และเอาชีวิตรอดไปได้
ร่างกายของซูเฉินเริ่มสลายกลายเป็นเมฆหมอก
“หืม?” โหยวหม่าเค่อตะลึงงัน
เป้าหมายที่ถูกสังหารโดยกริชโลกันตร์จะไม่ตกตายลงเช่นนี้
“ฟู่ว! โชคยังดีที่ข้ารู้จักนิสัยของเจ้า เลยเตรียมร่างแยกไว้”
ซูเฉินส่งยิ้มบาง ๆ ให้ “ข้าต้องยอมรับว่าวิชาการลอบสังหารของเจ้าน่ะสุดยอด แต่โชคร้ายหน่อยนะที่สถานที่แห่งนี้คือสนามรบ…”
ปัง!
กิ่งไม้ขนาดมหึมาปะทะเข้ากับร่างกายของโหยวหม่าเค่ออย่างรุนแรง บรรพชนซู่เคลื่อนไหวแล้ว
กิ่งไม้นั้นดูจะสามารถยืดออกไปได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดและผลักโหยวหม่าเค่อออกไปขณะที่มันกิ่งก้านไม้เลื้อยเข้าไปในร่างกายของโหยวหม่าเค่อเพื่อกัดกินเลือดศักดิ์สิทธิ์ของเขา
โหยวหม่าเค่อโอดครวญด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะจางหายไปและกลับไปยังวิหารแห่งเทพเจ้าในทันใด
เขาชี้นิ้วออกไป ทำให้แตนเพลิงที่กำเนิดขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงออกไป
บรรพชนซู่คำรามลั่นขณะที่กิ่งก้านของมันเองก็พวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้าด้วยเช่นกัน
ในเรื่องของความแข็งแกร่งราวสัตว์ร้าย โหยวหม่าเค่อนั้นอ่อนแอกว่ากู่ซือถ่ามาก แตนของเขาไม่อาจหยุดบรรพชนซู่จากการบุกทะลวงเข้ามาอย่างง่ายดาย
แต่ตอนที่กิ่งก้านของบรรพชนซู่กำลังจะปะทะเข้ากับวิหารแห่งเทพเจ้านั่นเอง แสงจันทร์ก็ปรากฏขึ้น
กิ่งก้านเหล่านั้นเริ่มกลายเป็นเถ้าถ่านและเหี่ยวแห้งไปทันทีที่พวกมันสัมผัสกับแสงจันทร์แสนอ่อนโยน
ทันทีหลังจากนั้น ขบวนขนนกก็ปรากฏขึ้นในท้องฟ้า แม้ว่าขนนกเหล่านี้จะดูนุ่มนวลอย่างถึงที่สุด แท้จริงแล้วพวกมันเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล
ซูเฉินสามารถดูออกอย่างชัดเจนว่าพวกมันคือขนนกศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยเจอในวิหารนิกายแห่งพระแม่
เผ่าปักษาดูแลขนนกเหล่านี้ราวกับสมบัติล้ำค่า
แต่ตอนนี้ ขนนกเหล่านี้กำลังปกคลุมไปทั่วทั้งผืนนภา
เทพธิดาแห่งดวงจันทร์และพระแม่เองก็เริ่มลงมือแล้ว
โชคยังดีที่มีเทพอสูรบรรพกาลคนอื่น ๆ คอยช่วยเหลืออยู่
เทพอสูรบรรพกาลภูผาคำรามอย่างดุร้ายเมื่อมันออกบิน ในขณะที่เทพอสูรบรรพกาลสายธารก็กลายร่างเป็นกลุ่มหมอกขนาดมหึมาและเริ่มทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
สิ่งมีชีวิตโบราณและทรงพลังเหล่านี้ล้วนทรงพลังพอที่จะทำให้โลกสั่นไหวและทำให้สวรรค์สั่นสะท้านได้
ปริมาณของพลังที่พวกเขาร่วมกันปลดปล่อยได้ก็เพียงพอที่จะสังหารทุกสิ่งมีชีวิตภายในพื้นที่ได้แล้ว
แน่นอนว่ามนุษย์และเผ่าปักษาไม่ตาย
เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองล่องนภา
ในตอนนี้ เมืองล่องนภากำลังเผาผลาญพลังงานราวกับว่าไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว เกราะป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นโดยรอบคอยปกป้องคลื่นการโจมตีไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
แทบจะดูราวกับว่าเมืองล่องนภากำลังต้านทานการโจมตีจากทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยทีเดียว แต่นี่ก็เป็นเพียงการผันผวนของพลังงานที่เกิดจากการต่อสู้เท่านั้น
“พวกเราน่าจะถอยทัพสักหน่อยนะ เจ้านิกาย” หลี่หวู่อี้เสนอ
แต่ซูเฉินก็ยังคงมองสงครามที่เกิดขึ้นต่อไป “พวกเราไม่ได้มาถึงที่นี่เพียงเพื่อมองดูหรอกนะ”
แต่พวกเราจะเข้าร่วมสงครามนี้ไม่ได้นะ” หลี่หวู่อี้สวนอย่างช่วยไม่ได้
การต่อสู้ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างเทพเจ้านั้นทรงพลังจนน่าตกใจเกินไป แต่ละการโจมตีทรงพลังพอที่จะทำให้สวรรค์สั่นคลอนได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันอย่างเขาเองก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหมดหนทาง
“เราทำได้แน่” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป เทพเจ้าจำนวนมากขึ้นและมากขึ้นเข้ามามีส่วนร่วม สนามรบกลายเป็นสถานที่ที่น่าพรั่นพรึงมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยิ่งใหญ่ได้เพียงแค่นี้เท่านั้น
ส่วนเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก… ความแปรปรวนของพลังงาน
กระทั่งเทพเจ้าผู้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์และความหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังแต่กำเนิดก็ไม่มีทางเลือกนอกจากใช้พลังงานรอบกายของตน เทพเจ้านั้นสามารถควบคุมพลังได้มหาศาลด้วยความแม่นยำที่สูงกว่ามากมาย พูดอีกอย่างคือพวกเขาสามารถบังคับให้โลกหมุนเวียนรอบตัวเองได้นั่นเอง
แต่ด้วยเทพเจ้าจำนวนมากที่อยู่ในที่แห่งเดียว ปริมาณของพลังงานจำกัดที่บรรจุอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบกายย่อมไม่เพียงพอเป็นธรรมดา
อันที่จริง เมื่อเทพเจ้าคนหนึ่งใช้กฎแห่งพลังทั้งหมดที่ใช้ได้รอบกาย การสนับสนุนจากเทพเจ้าคนอื่น ๆ ก็จะถูกจำกัดไปด้วย
นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับความแปรปรวนของพลังงาน
ความแปรปรวนของพลังงานคือผลกระทบของผู้ฝึกตนจำนวนมากเกินไปอยู่ในที่เดียวกันต่างหาก
ปัญหาของเหล่าเทพเจ้าคือพวกเขาไม่มีพลังงานสำรองไว้มากพอ
แน่นอนว่าเทพเจ้ามีระดับความแข็งแกร่งที่เป็นของพวกเขาแต่เพียงผู้เดียว แต่ทางเลือกนี้ก็มีประสิทธิภาพน้อยกว่าและอ่อนแอกว่ามาก แม้ว่าพลังงานจะหลั่งไหลเข้าไปในพื้นที่ที่กว้างใหญ่กว่า ปริมาณของพลังงานที่ถูกใช้ไปก็ไม่เพียงพอต่อเทพหลาย ๆ คนพร้อมกัน สายยางฉีดน้ำเส้นเล็ก ๆ ไม่อาจเพียงพอต่อสระน้ำขนาดมหึมาได้
ในทางกลับกัน เทพอสูรบรรพกาลดูจะสะดวกสบายกว่ามาก พวกเขาไม่ได้พึ่งพากฎแห่งพลังแต่เป็นร่างกายแสนทรงพลังต่างหาก
ในพื้นที่จำกัดแห่งนี้ เทพเจ้าต่างหากที่เป็นผู้เสียเปรียบโดยแท้จริง
การขาดแคลนความศรัทธาเริ่มทำให้พวกเขาอ่อนแอลงและสภาพแวดล้อมก็เริ่มทำให้พวกเขาหิวโหย เทพเจ้าทั้งหลายพบว่าความแข็งแกร่งของตนเองกำลังถูกจำกัดไว้ หากไม่ใช่เพราะว่ามีพวกเขาทั้งยี่สิบสามคนกับเทพอสูรบรรพกาลอีกเพียงสิบเอ็ดตัวเท่านั้น พวกเขาก็คงจะพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
มีชีวิตอยู่ด้วยข้อได้เปรียบทางตัวเลข ตายไปด้วยข้อได้เปรียบทางตัวเลข
เมื่อเทพอสูรเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย เหล่าเทพเจ้าก็พบว่าพวกเขาได้กระทำการใหญ่เกินตัวไปแล้ว
มีเทพอสูรอยู่มากกว่าเทพอสูรบรรพกาลเสียอีก แม้ว่าพวกมันจะอ่อนแอกว่าก็มีพวกมันอยู่ถึงหลายร้อยตัว และพวกมันก็ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังงานที่จำกัดด้วยเช่นกัน พลังต้นกำเนิดส่งผลต่อความสามารถในการเอาชีวิตรอดของพวกมันเท่านั้น ไม่ใช่พละกำลังของพวกมัน เทพเจ้ากลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง แต่เพียงเท่านั้นไม่อาจหยุดการโจมตีของเหล่าอสูรไว้ได้ ฝูงอสูรคำรามและเห่าหอนอย่างดุร้าย พวกมันปลดปล่อยการโจมตีทุกรูปแบบไปยังวิหารแห่งเทพเจ้าและทำให้แสงพลังศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามสั่นคลอนอย่างรุนแรง
ตอนนี้ ระเบิดแสงหลากสีเหล่านี้กำลังลอยออกไปในทิศทางที่ต่างกัน ทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์ต้องถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า
พื้นที่โดยรอบเองก็เริ่มสั่นไหวเพราะการปะทะที่รุนแรงระหว่างกฎแห่งพลังและพละกำลังดั้งเดิมของสัตว์อสูร
ความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยการปะทะอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดหายนะขึ้นต่อพื้นที่แห่งนี้ แต่ภายในภาพฉายปราการ มันไม่อาจพังทลายลงได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจึงมีแค่พลังงานธรรมชาติในสภาพแวดล้อมที่เริ่มเหือดแห้งไปเท่านั้น
นั่นคือตอนที่ซูเฉินได้เข้าใจว่าเทพเจ้าไม่ได้ประสบปัญหาขาดแคลนความศรัทธาเพราะผู้บูชาพวกเขาไม่มีประสิทธิภาพแต่เพราะแดนเองต่างหาก การต่อสู้ในปัจจุบันของเทพเจ้าทั้งหลายทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจฟื้นฟูได้ ดังนั้นแล้ว แดนนี้จึงเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมายแม้ว่ามันจะไม่ยอมแหลกสลายลงก็ตาม
การต่อสู้ในตอนนี้กำลังทำลายความยั่งยืนของแดนแห่งนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก
“ข้าควรจะทำลายตัวแดนเองให้มันจบ ๆ แทนที่จะพยายามทำลายระบบความศรัทธาของพวกเขา” หลินซวงพึมพำกับตัวเอง
แน่นอนว่าเขาแค่พูดออกมาเพื่อบ่นเท่านั้น
สงครามระหว่างตัวละครที่แข็งแกร่งเช่นนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น และพวกเขาก็มักจะไม่ได้มีชีวิตอยู่นานนัก
เทพเจ้าเองก็ไม่ได้โง่เขลา เมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังเสียเปรียบ พวกเขาก็เริ่มปรับเปลี่ยนยุทธวิธี
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
พื้นลอยได้แปลกประหลาดเริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
แต่ละแห่งก่อตัวขึ้นเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ได้ด้วยตนเองโดยสมบูรณ์ ในพริบตาเดียว พื้นที่โดยรอบก็เต็มเปี่ยม
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
เหล่าเทพเจ้ารู้ตัวแล้วว่ากำลังจะพ่ายแพ้ พวกเขาจึงต้องสร้างดินแดนของตนเองขึ้นมาในท้ายที่สุด
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือรากฐานของความศรัทธาที่ส่งพลังงานให้แก่พวกเขา แต่มันก็สามารถถูกใช้ในสนามรบได้ด้วยเช่นกัน
พลังต่อสู้ของประชากรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะช่วยสนับสนุนพลังต่อสู้โดยรวมของเทพเจ้าได้มากมาย
แต่เพราะพื้นที่แสนจำกัด เทพเจ้าก็ไม่อาจเกณฑ์ผู้ศรัทธาหรือสานุศิษย์เข้ามาซี้ซั้วได้ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมเสกดินแดนเหล่านี้ขึ้นมาง่าย ๆ นั่นเอง
แต่ตอนนี้เมื่อสถานการณ์จริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่มีเวลาเหลือให้ระมัดระวังอีกแล้ว
“สังหารพวกเขา เมื่อเรากลับไปยังแดนต้นกำเนิด เราจะร่ำรวยอย่างไร้ขีดจำกัด!”
“ไปเลย ศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ของข้า ไปสังหารศัตรูของข้าให้ข้าเสีย”
“เวลาแสดงความกตัญญูของเจ้ามาถึงแล้ว!”
“เพื่อเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่!”
“สังหารผู้บุกรุกต่างแดน!”
เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังไปทั่วท้องฟ้าขณะที่ผู้อยู่อาศัยในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดประตูเมือง ขบวนทหารทุกรูปแบบหลั่งไหลออกมาและพุ่งตรงไปยังศัตรูของตน
“ตอนนี้คือเวลาที่เราจะต้องเคลื่อนไหวบ้าง” ซูเฉินกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“พวกเราจะสู้ได้ยังไงกัน?” กังเหยียนถาม
“นอกจากดินแดนนั้น พุ่งเป้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไหนก็ได้… พวกเราจะบุกทะลวงเข้าไป”