ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 103 ไม่มีศักดิ์ศรีเลยสักนิด
ตอนที่ 103 ไม่มีศักดิ์ศรีเลยสักนิด
หลังเดินไปได้ไม่ไกล หยวนฟางเหลียวหน้ากลับไปมองเล็กน้อย ก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของเฉินกุยซั่วกำลังติดตามมาในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลทันที เขารีบกระซิบเตือนหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย แย่แล้วขอรับ พวกเขาตามมาแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง พบว่ามีคนสี่คนตามมาจริงๆ จึงกระซิบเบาๆ ว่า “เป้าหมายของพวกเขาคือข้า เดี๋ยวพวกเราแยกกัน มิเช่นนั้นถ้าสู้กันขึ้นมา ข้าจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้”
หยวนฟางทราบว่านี่คือความจริง อีกทั้งเขากับตระกูลซ่งก็ไม่ได้มีความแค้นระหว่างกัน เต้าเหยี่ยต่างหากที่เป็นเป้าหมายของอีกฝ่าย และถ้าพวกเขาสองคนแยกกันไป บางทีเต้าเหยี่ยที่ตัวคนเดียวอาจจะมีโอกาสหนีรอดมากกว่า พาเขาไปด้วยก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วง จึงตอบรับพลางเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย เช่นนั้นท่านจะจัดการอย่างไรขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงข้า เจ้าเอาตัวให้รอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกันอาจจะไม่มีใครหนีรอดไปได้เลยก็เป็นได้ จำไว้ ไปที่จวนผู้ว่าการมณฑล พวกเราไปเจอกันที่นอกจวนผู้ว่าการมณฑล หากพบว่าสถานการณ์ผิดปกติ ให้เจ้าบุกเข้าไปในจวนผู้ว่าการมณฑลซะ หลังถูกจับให้บอกว่าเป็นคนที่ท่านอ๋องส่งมา จวนผู้ว่าการมณฑลย่อมต้องติดต่อไปหาฟางเจ๋อเพื่อตรวจสอบ”
หยวนฟางส่งเสียง ‘อื้อ’ ตอบรับ แววตาที่มองหนิวโหย่วเต้ามีความซับซ้อน นี่เต้าเหยี่ยกำลังเอาตัวเข้าล่อเพื่อเผชิญอันตรายเพียงลำพังนี่!
“ข้างหน้า!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือน
ด้านหน้าเป็นทางแยกเส้นหนึ่ง มีผู้คนสัญจรไปมา ฟางหยวนเข้าใจความหมายของเขา หมายถึงให้แยกกันข้างหน้า
หลังจากมาถึงทางแยก หยวนฟางเอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย ท่านระวังตัวด้วยนะขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองแยกกันตรงนี้ แยกกันเดินไปทางซ้ายและขวา
ทั้งสี่คนที่ตามหลังมาสบตากัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองคนนั้นชี้ให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานทั้งสองคนติดตามหยวนฟางไป ส่วนตัวเองพาเฉินกุยซั่วไล่ตามหนิวโหย่วเต้าไป
ระหว่างทางผ่านร้านแผงลอยแห่งหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าโยนเหรียญทองแดงสองสามเหรียญใส่ตะกร้าใบเล็กๆ แล้วหยิบผลไม้ขึ้นมาลูกหนึ่ง ใช้แขนเสื้อเช็ดเล็กน้อย ก่อนจะกัดเข้าปากคำหนึ่งพร้อมกับหันกลับไปสังเกตการณ์ หลังพบว่ามีคนตามหลังตนเพียงสองคน ในใจก็ลอบร้องว่าแย่แล้ว คาดว่าหยวนฟางคงเดือดร้อนแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าหยวนฟางจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ ตอนนี้ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าลงมืออย่างเปิดเผยในเมือง มิเช่นนั้นเกรงว่าหยวนฟางคงยากจะรอดไปได้
ปากเคี้ยวผลไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำหวานฉ่ำ หนิวโหย่วเต้าเดินหน้าต่อไป จิตใจหนักอึ้ง
ทางด้านหยวนฟางที่อยู่บนถนนอีกเส้นหนึ่งก็ลอบร้องว่าแย่แล้วเช่นกัน รู้ตัวแล้วว่าตนถูกจับตามอง
เขาเองก็เดินมาถึงหน้าแผงลอยแห่งหนึ่งเช่นกัน จ่ายเงินซื้อแป้งย่างแผ่นหนึ่ง พลางเอ่ยถามเจ้าของร้านว่า “จวนผู้ว่าการมณฑลอยู่ที่ไหนหรือ?”
ขณะที่ถามเรื่องนี้ ภายในใจเขานึกเสียใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เคยเดินอ้อมด้านนอกจวนผู้ว่าการมณฑลมาแล้ว แต่เขามัวแต่มองสิ่งแปลกใหม่รอบข้าง จึงลืมเส้นทางไปเสียแล้ว
เจ้าของร้านชี้ออกไป “เลี้ยวขวาข้างหน้า ข้ามถนนไปสองเส้นก็เจอแล้ว”
หยวนฟางจำเอาไว้ กัดแป้งย่างพลางเดินต่อไป
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานคนหนึ่งเดินเข้าไปยังแผงลอยที่หยวนฟางหยุดแวะเมื่อครู่ หยิบแป้งย่างชิ้นหนึ่งพร้อมโยนเหรียญเงินให้เจ้าของร้านหนึ่งเหรียญ “ไม่ต้องทอน เมื่อครู่เห็นเจ้าชี้ไม้ชี้มือ คนสวมหมวกคนนั้นถามอะไรเจ้า?”
แป้งย่างชิ้นเดียวได้มาหนึ่งเหรียญเงิน เจ้าของร้านคนนั้นดีใจยิ่งนัก ไม่ได้ทำการปิดบังอันใด เปิดเผยเรื่องของหยวนฟางออกไป “โอ้ ไม่ได้ถามอะไรมากขอรับ เขาเพียงถามว่าจวนผู้ว่าการมณฑลอยู่ที่ไหน”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานสองคนสบตากัน แววตาพลันลุ่มลึก รู้ตัวแล้วว่าก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าหลอกลวงพวกเขา อีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนของจวนผู้ว่าการมณฑล คนของจวนผู้ว่าการมณฑลจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าจวนอยู่ที่ไหน
ทั้งสองเร่งความเร็วไล่ตามหยวนฟางไปทันที ไม่ได้พะวงแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนของจวนผู้ว่าการมณฑลหรือไม่ เตรียมจะลงมือทันที
เมื่อหันกลับไปเห็นคนที่สะกดรอยตามมาหยุดแวะหน้าร้านที่ตนซื้อแป้งย่าง หยวนฟางก็ทราบว่าซวยแล้ว นึกอยากตบปากตัวเองสักทีสองที นี่คือผลลัพธ์ของการเอาแต่เล่น!
ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนี้จริงๆ หากเปลี่ยนเป็นหยวนกังล่ะก็ เขาไม่มีทางทำพลาดง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว หยวนฟางโยนแป้งย่างในมือทิ้งทันที ไม่สนใจแล้วว่าจะทำให้คนที่เดินไปมาบนถนนตกใจหรือไม่ เขาทะยานขึ้นสู่หลังคา กระโจนไต่ไปตามยอดหลังคา หวังจะไปถึงจวนผู้ว่าการมณฑลโดยเร็ว
สองผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานก็ทะยานกายขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ตามหยวนฟางทัน
เวลานี้หยวนฟางถึงได้พบว่าสภาวะของตนห่างชั้นจากอีกฝ่ายมากนัก แต่จะมาสำนึกเสียใจตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว
ปึก! ช่วงเอวพลันปวดร้าวขึ้นมา เขาสะดุดเท้า ตกลงไปในตรอกเล็กๆ ที่รกร้างผู้คนเส้นหนึ่ง ล้มลุกคลุกคลานหลายตลบ หลังจากตั้งสติได้ ก็พบว่าบนหน้าอกถูกเท้าข้างหนึ่งเหยียบเอาไว้ ปลายกระบี่เย็นเฉียบเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอของตน…
เสียงอุทานตกใจของกลุ่มชาวบ้านแว่วลอยมาจากทางด้านหลัง หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว มองเห็นคนผู้หนึ่งดิ่งลงมาจากฟ้า ร่อนลงข้างกายคนทั้งสองที่ไล่ตามหลังเขามา
หนิวโหย่วเต้าจำได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่คนที่เคยสะกดรอยตามก่อนหน้านี้ หากเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ คนผู้นี้น่าจะแยกตัวตามหยวนกังไป
เมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น หนิวโหย่วเต้าก็ตระหนักได้ว่าแย่แล้ว
ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เมื่อคนผู้นั้นเอ่ยกระซิบข้างหูคนทั้งสองที่สะกดรอยตามหลังมา ทั้งสามคนก็เร่งความเร็วไล่ตามมาทันที
หนิวโหย่วเต้าที่คอยสอดส่องเงี่ยหูฟังสถานการณ์รอบข้างเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางอย่างเป็นธรรมชาติ พุ่งตรงเข้าไปในหอคณิกาที่ดูวิจิตรงดงามแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
“ทุกคนเอาไปแบ่งกัน!” หญิงสาวที่แต่งตัวงดงามหยาดเยิ้มกลุ่มหนึ่งล้อมวงเข้ามา หนิวโหย่วเต้าคว้าเหรียญทองออกมากำหนึ่ง สะบัดมือโปรยเงินออกไป
“หวา!” เหล่าหญิงสาวกลุ้มรุมยื้อแย่งกันทันที พวกแม่เล้าแมงดาเองก็ร่วมวงเข้าแย่งเงินด้วย เรียกได้ว่าครึกครื้นอลหม่านนัก
ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสามพุ่งเข้าหอคณิกาไป บานหน้าต่างที่อยู่ทางขวามือของประตูหน้าหอคณิกาถูกแง้มเปิดเล็กน้อย มีเงาร่างคนผู้หนึ่งแวบออกไป
ขณะที่สามผู้บำเพ็ญเพียรเดินผ่านประตูหน้าเข้าไป หนิวโหย่วเต้าก็ออกมาจากหน้าต่างที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับปิดหน้าต่างอย่างเบามือ ก่อนจะรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
สามผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าหอคณิกาไปมองเห็นภายในหอตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวาย สายตาจึงกวาดมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว คนหนึ่งเหินขึ้นไปค้นหาชั้นบน คนหนึ่งค้นหาชั้นล่าง ส่วนอีกคนรีบออกมาด้านนอก ทะยานขึ้นสู่หลังคาพร้อมคอยมองสำรวจไปรอบๆ ป้องกันไม่ให้หนิวโหย่วเต้ามุดหนีออกจากช่องทางอื่นของหอคณิกา
…..
หนิวโหย่วเต้าที่กลับมาถึงโรงเตี๊ยมฝูหลินรีบไปหาฟางเจ๋อโดยเร็ว พอพบหน้าก็เอ่ยว่า “พาข้าไปที่จวนผู้ว่าการมณฑล แนะนำข้าต่อไห่หรูเยวี่ย!”
“ตอนนี้หรือขอรับ?” ฟางเจ๋อมึนงง มองดูสีสันของท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง “ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ไปหายามนี้คงไม่เหมาะหรือเปล่าขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงคร่ำเคร่ง “เดี๋ยวนี้! เร็ว! อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว รีบออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
จะชักช้าไม่ได้แล้ว หากวิเคราะห์จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ คาดว่าหากไม่จำเป็นจริงๆ คนพวกนั้นก็คงจะไม่ค่อยกล้าสังหารคนอย่างโจ่งแจ้งภายในเมือง มีความเป็นไปได้สูงว่าหยวนฟางจะยังมีชีวิตอยู่ หากว่าเป็นหยวนกังล่ะก็ เขากล้ารับประกันเลยว่าถึงตีให้ตาย หยวนกังก็ไม่มีทางเผยที่อยู่ของทางฝั่งนี้แน่นอน ทว่าหยวนฟางผู้นั้นกะล่อนเกินไป เขาไม่มั่นใจเลยจริงๆ ไม่อาจเสี่ยงรั้งอยู่ที่นี่โดยคาดหวังว่าหยวนฟางจะปากแข็งไม่ยอมพูดอะไรได้
แล้วก็ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่ง นั่นคือถ้าหากเขาถูกพบตัว หยวนฟางกลับจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย หากหาเขาไม่พบ โอกาสที่หยวนฟางจะมีชีวิตรอดไปอีกสักระยะหนึ่งก็จะยิ่งมากขึ้น
เขาจำเป็นต้องรีบคิดหาทางช่วยเหลือหยวนฟางออกมา ยิ่งลงมือเร็วเท่าไร หยวนฟางก็ยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตมากเท่านั้น ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานเท่าไร หยวนฟางก็ยิ่งมีอันตรายเท่านั้น นอกจากนี้หากปล่อยไว้นานเข้า เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหยวนกังจะคายข้อมูลอะไรออกไปบ้าง จำเป็นต้องดำเนินการโดยเร็ว
พอได้ยินเช่นนี้ ฟางเจ๋อก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว จึงรีบพยักหน้ารับ “ขอรับ!”
เขาติดต่อหาพรรคพวกอีกสองคนที่ถูกส่งมาทำภารกิจด้วยกัน พร้อมกับรีบพาหนิวโหย่วเต้าย้ายออกจากโรงเตี๊ยมนี้โดยเร็ว
ทั้งสี่คนไปหาเช่าเกี้ยวหลังหนึ่งมา หนิวโหย่วเต้ามุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเกี้ยว ทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการมณฑล
……
รัตติกาลมาเยือน พวกเฉินกุยซั่วค้นหาทั่วหอคณิกาอยู่พักใหญ่ ทว่าไม่ได้อะไรเลย จึงกลับไปที่เรือนสุคนธา
เรือนสุคนธาเป็นเรือนรับรองที่จวนผู้ว่าการมณฑลจินโจวสร้างขึ้นเพื่อรับรองแขกโดยเฉพาะ ภายในมีเรือนเดี่ยวน้อยใหญ่อยู่มากมาย ครั้งนี้มีคนจากนอกพื้นที่มาอวยพรวันเกิดไห่หรูเยวี่ยเป็นจำนวนไม่น้อย ซ่งหลงเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น
“หนีไปได้หรือ?” ซ่งหลงที่ยืนยกมือไพล่อยู่ในห้องโถงหันกลับมาทันที จ้องมองผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองนามว่าเซี่ยชุนที่เป็นผู้นำของกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรสี่คน “หนิวโหย่วเต้าคนนั้นเหมือนจะเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมปราณคนหนึ่งกระมัง? แต่พวกเจ้าสี่คนกลับปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้? ฝ่าบาทส่งพวกเจ้ามาเป็นผู้คุ้มกันข้า ข้ากลับนึกกังวลนัก!”
นี่แทบจะไม่ได้ต่างอะไรกับการพูดออกมาตรงๆ ว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมปราณคนหนึ่งก็จัดการไม่ได้ แล้วข้าจะหวังพึ่งให้พวกเจ้าคุ้มครองข้าได้หรือ?
เซี่ยชุนแสดงสีหน้าละอายใจ เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เห็นๆ อยู่ว่าหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในหอคณิกา เห็นๆ อยู่ว่าตนเข้าควบคุมหอคณิกาได้ในทันที แต่หนิวโหย่วเต้าเสมือนอันตรธานหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา อีกทั้งคนในหอคณิกาก็ไม่มีใครเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าไปทางไหน เหมือนผีหลอกจริงๆ
“หนิวโหย่วเต้าคนนั้นเจ้าเล่ห์จริงๆ ขอรับ โปรยเหรียญทองหนึ่งกำมือ…”
เซี่ยชุนเพิ่งจะเปิดปากแก้ตัว ซ่งหลงก็เอ่ยขัดว่า “ไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้วกระมัง?”
ความหมายในคำพูดคือแก้ตัวแล้วจะมีประโยชน์หรือ?
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองอีกคนที่นามว่าหวงซวี่เซิงเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าซ่งขอรับ ตอนนี้พูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว พรรคพวกของหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่นี่แล้ว รีบไต่สวนเค้นถามที่อยู่ของหนิวโหย่วเต้าถึงจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าขอรับ!”
ด้วยเหตุนี้หยวนฟางจึงถูกลากตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว หวงซวี่เซิงชักกระบี่ออกมาดังชิ้ง ปลายกระบี่จ่อเข้าที่ลูกตาของหยวนฟาง “หนิวโหย่วเต้าอยู่ที่ไหน? หากกล้าโป้ปดแม้เพียงคำเดียว ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาข้างหนึ่ง!”
หยวนฟางที่อกสั่นขวัญแขวนตะลึงงัน นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมาเล็กน้อย เขาเข้าใจทันที เต้าเหยี่ยหนีไปได้ มิเช่นนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางถามเช่นนี้แน่นอน
แต่ภายในใจก็นึกโอดครวญขึ้นมา ดูเต้าเหยี่ยสิ แล้วลองดูตัวเองสิ ห่างชั้นกันถึงเพียงนี้เลย!
เขาเองก็ไม่ได้ฝืนทำตัวกล้าหาญ หากแต่แสดงท่าทางหวาดกลัวขวัญผวา เอ่ยเสียงสั่นว่า “โรงเตี๊ยมฝูหลิน! โรงเตี๊ยมฝูหลินที่ถนนถงฝู…”
เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนอย่างเต้าเหยี่ย ในเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยมฝูหลินแล้วแน่นอน ดังนั้นจะปากแข็งให้เจ็บตัวไปทำไม
นอกจากนี้เขายังคาดการณ์ได้ด้วยว่าเต้าเหยี่ยจะต้องคิดทางช่วยเขาอยู่แน่นอน มิเช่นนั้นความลับบางอย่างอาจจะรั่วไหลออกไปได้
สิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด เขาย่อมรู้แจ้งแก่ใจดี การแสร้งทำเป็นอ่อนแอคือจุดแข็งของเขา ตอนนี้แสดงท่าทางอ่อนแอเสียขวัญทำให้อีกฝ่ายคิดว่าตนกลัวตาย คำพูดที่พูดออกไปหลังจากนี้ถึงจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้ ทว่าเขาก็ยังกระวนกระวายอย่างมาก ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะหาวิธีใดช่วยตนออกไปจากเงื้อมมือคนเหล่านี้ เขาไม่มั่นใจเลยว่าปากของตนจะโป้ปดไปได้อีกนานเท่าไร
หวงซวี่เซิงรีบหันไปเอ่ยกับเซี่ยชุนทันที “ศิษย์น้อง เจ้าจงพาคนไปตรวจดู ครั้งนี้อย่าได้ทำผิดพลาดอีก!”
เซี่ยชุนเหลือบมองหยวนฟางอย่างจนเหนื่อยใจ ต่อให้สิ่งที่ตาเฒ่าผู้นี้พูดมาจะเป็นความจริง แต่มันกลับไม่ได้มีศักดิ์ศรีเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่ขู่นิดเดียวก็สารภาพแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่เป็นพรรคพวกของเขาจะไม่รู้จักนิสัยของตาแก่ขี้ขลาดนี่ได้หรือ? ถ้าเขายังอยู่ที่โรงเตี๊ยมนั่นก็แปลกแล้ว!
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาเห็นสายตาที่ศิษย์พี่มองมาที่ตน เข้าใจเจตนาของศิษย์พี่ดี เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องแสดงท่าทีให้ซ่งหลงได้เห็น
เขาจึงได้แต่ต้องหันกลับไปเรียกตัวคนอีกสองสามคนออกไป ถึงแม้จะทำตามคำสั่ง แต่ภายในใจกลับนึกต่อว่า ความแค้นส่วนตัวของตระกูลเจ้าเกี่ยวอะไรกับพวกข้าด้วย!
ทว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซ่งกับทางสำนักทำให้เขาไม่สามารถแสดงความไม่พอใจอันใดออกมาได้…
…………………………………………………..