ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 104 ยอดหมอ
ตอนที่ 104 ยอดหมอ
ภายใต้ค่ำคืนยามราตรี เกี้ยวหลังหนึ่งถูกหามมาหยุดด้านนอกจวนผู้ว่าการมณฑล พูดอีกอย่างคือถูกองครักษ์ด้านนอกขวางเอาไว้
ฟางเจ๋อสืบเท้าเข้าไปติดต่อเจรจากับอีกฝ่าย หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ในเกี้ยวหลับตาสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย
…..
แสงโคมภายในจวนส่องสว่าง ภายเรือนงดงามโอ่อ่าหลังหนึ่ง
เห็นๆ อยู่ว่าอากาศอบอุ่นแล้ว ทว่าภายในเรือนกลับมีการจัดวางกระถางไฟเอาไว้
อาหารโอชาเลิศรสจัดวางเต็มโต๊ะ เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ริมโต๊ะสวมเสื้อผ้าหนาชั้น ผิวพรรณขาวซีด ใบหน้าไร้สีเลือด รอบตาคล้ำเป็นวง ท่าทางคล้ายไม่มีความอยากอาหารใดๆ เลย
แต่สภาพของสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางสวมชุดผ้าไหมแบบหญิงชาววัง บางเบาแผ่พลิ้ว บนผิวที่ขาวเนียนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมขึ้นมาเล็กน้อย
ช่วยไม่ได้ จุดกระถางไฟกันในฤดูนี้ ไม่ร้อนก็แปลกแล้ว
กริยาท่าทางของสตรีวัยกลางคนดูทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเองก็ผุดผาดผ่องใส เกล้าผมเป็นมวยสูง คิ้วตาดั่งภาพวาด รูปโฉมงามงด อ้อนแอ้นเพรียวบาง ทรวดทรงอวบอัดเล็กน้อย เป็นประเภทที่มีน้ำมีนวลยวนใจคน
เด็กหนุ่มย่อมเป็นเซียวเทียนเจิ้น บุตรชายผู้รับสืบทอดตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลจินโจวต่อจากบิดา
สตรีวัยกลางคนคือไห่หรูเยวี่ย องค์หญิงใหญ่ของแคว้นจ้าวในยามนี้ เป็นน้องสาวแท้ๆ ขององค์ฮ่องเต้และเป็นมารดาของเซียวเทียนเจิ้น ถึงแม้จะอายุสี่สิบปีแล้ว ทว่ากาลเวลากลับนับว่าปรานีต่อนางเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทิ้งริ้วรอยใดๆ ไว้บนกายนางเลย
“แม่รู้ว่าเจ้าไม่อยากกิน แต่ถึงไม่อยากก็ต้องกินสักหน่อยนะ!” ไห่หรูเยวี่ยขยับตะเกียบคีบอาหารให้บุตรชายด้วยตัวเอง
นอกเรือน พ่อบ้านผมหงอกขาวนามจูซุ่นปรากฎตัวขึ้นตรงประตู มิได้ก้าวเข้ามา ทว่าพยักหน้าส่งสัญญาณให้ไห่หรูเยวี่ยเล็กน้อย
ไห่หรูเยวี่ยเงยหน้ามองเล็กหนึ่ง วางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นยืน ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกำชับบุตรชาย “ถึงไม่อยากกินก็ต้องกินสักหน่อย นี่ก็เพื่อตัวเจ้านะ ไม่มีผลร้ายต่อเจ้า!”
นางลุกออกจากโต๊ะอาหาร เดินนวยนาดไปที่ประตู สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูสวมเสื้อคลุมให้นางทันที อุณหภูมิด้านนอกไม่อุ่นเท่าในห้องที่จัดวางกระถางไฟเอาไว้
หลังจากสองนายบ่าวเดินออกมาห่างพอสมควรแล้ว จูซุ่นก็เอ่ยรายงานว่า “ฮูหยิน ฟางเจ๋อคนนั้นมาอีกแล้วขอรับ”
ไห่หรูเยวี่ยปรายตามองแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “มีอันใดต้องคุยกันอีก?”
ที่สมควรพูดก็พูดไปแจ่มแจ้งชัดเจนแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเจรจากันอีก นางเคยสั่งไปแล้วว่าไม่พบ อีกอย่างนี่ก็ค่ำมืดแล้ว โดยทั่วไปแล้วหญิงม่ายอย่างนางจะไม่พบแขกบุรุษในยามราตรี ปกติแล้วพ่อบ้านจะทำการเชิญแขกกลับไปโดยไม่ต้องให้บอก แต่นี่กลับวิ่งมารายงานตน เห็นทีคงต้องมีสาเหตุเป็นแน่
จูซุ่นกล่าวว่า “ครั้งนี้เขาพาคนผู้หนึ่งมาด้วยขอรับ บอกว่าเป็นยอดหมอที่ยงผิงจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเยี่ยนส่งมารักษาอาการป่วยให้นายน้อยขอรับ”
“ยอดหมอหรือ?” ไห่หรูเยวี่ยขมวดคิ้ว “พวกเขารู้เรื่องอาการป่วยของเจิ้นเอ๋อร์แล้วนี่ ยังจะมียอดหมออันใดที่รักษาได้อีก?”
จูซุ่นกล่าวต่อว่า “บ่าวเองก็รู้สึกแปลกขอรับ ว่ากันตามหลักแล้วไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้ได้ แต่บ่าวก็รู้สึกว่าซางเฉาจงไม่น่าจะกระทำตัวเหลวไหลในเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงมาสอบถามฮูหยิน ต้องการพบหรือไม่ขอรับ?”
ไห่หรูเยวี่ยลังเลเล็กน้อย แต่นางเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับบ่าวผู้นี้ ซางเฉาจงน่าจะไม่กระทำตัวเหลวไหลในเรื่องแบบนี้ จึงพยักหน้าเอ่ยตอบว่า “พาเข้ามาเถอะ!”
“ขอรับ!” จูซุ่นค้อมคำนับ รีบเดินออกไป
ไม่นานนัก เขาก็นำทางฟางเจ๋อและหนิวโหย่วเต้าเข้ามา กระบี่ของหนิวโหย่วเต้าถูกยึดไว้ชั่วคราว
เมื่อเข้ามาภายในเรือน เส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นของทั้งสองคนถูกผู้บำเพ็ญเพียรของจวนนี้ผนึกไว้ ทำให้หนิวโหย่วเต้าโคจรพลังในร่างไม่ได้
ว่ากันตามจริงแล้ว ไห่หรูเยวี่ยก็ปฏิบัติต่อซางเฉาจงอย่างนับว่าเห็นแก่มิตรภาพในอดีตที่มีต่อหนิงอ๋องอยู่ ถึงอย่างไรเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันก็เป็นความลับ ให้คนนอกล่วงรู้มากไม่ได้ หากไม่ผนึกพลังของหนิวโหย่วเต้าไว้ ก็จำเป็นต้องมีคนเฝ้าระวังอยู่ข้างกาย
ณ ศาลาริมน้ำ ไห่หรูเยวี่ยในชุดกระโปรงยาวงดงามยืนพิงราวกั้น เงยหน้าทอดมองจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แผ่นหลังดูโดดเดี่ยว แสงจันทร์สะท้อนอยู่ในสายน้ำ
ฟางเจ๋อและหนิวโหย่วเต้าหยุดยืนไม่ไกลนัก เอ่ยทักทายไห่หรูเยวี่ยที่หันหลังอยู่อย่างพร้อมเพรียง “คารวะองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
จูซุ่นเดินเข้าไปหาไห่หรูเยวี่ยพร้อมเอ่ยแจ้งเล็กน้อย
ไห่หรูเยวี่ยค่อยๆ หันกายกลับมา ภายใต้แสงโคมที่ส่องสว่าง ทั้งใบหน้าท่าทางของนางล้วนทรงเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะลอบเอ่ยชม ช่างงดงามยิ่งนัก!
“หนิวโหย่วเต้า? เจ้าก็คือศิษย์ที่ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งแคว้นเยี่ยนทอดทิ้งผู้นั้นมิใช่หรือ?” ไห่หรูเยวี่ยมองพินิจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หนิวโหย่วเต้าคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้ด้วย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมีการจัดวางสายสืบไว้คอยสอดแนมเรื่องราวในแคว้นของศัตรู ยิ่งไปกว่านั้นคือซางเฉาจงกำลังติดต่อเจรจากับทางนี้อยู่ แล้วมีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่ทำการสืบสถานการณ์ของทางนี้ให้กระจ่างว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงไม่นับว่าน่าแปลกใจอันใด เขาพยักหน้าตอบรับ “กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยขึ้นว่า “สมัยก่อนตอนอยู่แคว้นเยี่ยน ข้าไปมาหาสู่กับหนิงอ๋อง ก็ได้พบปะกับตงกัวเฮ่าหรานผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าอยู่บ่อยครั้ง นับว่าเป็นสหายเก่าเช่นกัน เหตุใดศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานจึงกลายเป็นยอดหมอที่สามารถรักษาโรคร้ายยากรักษาไปได้ล่ะ?”
หนิวโหย่วเต้าพบว่าเส้นสายของอาจารย์ตงกัวช่างกว้างขวางนัก เขาตอบกลับไปว่า “องค์ใหญ่ทรงปรีชา ผู้รักษาตัวจริงมิใช่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงรับคำสั่งท่านอ๋องให้คุ้มกันยอดหมอมา แต่หลังจากเข้ามหานครมากลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ยอดหมอถูกคนลักพาตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไห่หรูเยวี่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย จูซุ่นขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
หนิวโหย่วเต้าจึงเล่าว่า “องค์หญิงอาจจะไม่ทรงทราบ ตอนที่กระหม่อมอยู่ในแคว้นเยี่ยน กระหม่อมมีความแค้นบางอย่างกับตระกูลซ่งแห่งแคว้นเยี่ยน วันนี้เพิ่งจะเดินทางมาถึงมหานคร ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญพบบุตรชายของซ่งจิ่วหมิงเข้า จึงถูกไล่ล่าสังหาร กระหม่อมโชคดีหนีรอดมาได้ แต่ยอดหมอที่พามาด้วยกลับตกอยู่ในมือของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบเช่นกันว่ายามนี้ยอดหมอท่านนั้นถูกพาไปที่ใดแล้ว แล้วก็ยิ่งไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร กระหม่อมจึงหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะทรงเมตตาช่วยตามหาตัวยอดหมอด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าที่นี่คืออาณาเขตขององค์หญิงใหญ่”
เขาไม่มีเส้นสายและกำลังคนอยู่ที่นี่เลย หากอยากจะช่วยหยวนฟาง เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหยิบยืมกำลังของหญิงม่ายนางนี้
ฟางเจ๋อที่อยู่ด้านข้างใคร่ครวญดูเล็กน้อย ไหนเลยจะมียอดหมออันใดมาด้วย เขาพอจะเดาออกแล้วว่าหมายถึงหยวนฟาง พอได้ยินคำพูดนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงรีบร้อนออกมาจากโรงเตี๊ยมฝูหลิน
ส่วนทางไห่หรูเยวี่ยก็ทราบสถานการณ์ของฝั่งซางเฉาจงมาแต่แรกแล้ว ในเมื่อเพียงได้ยินชื่อหนิวโหย่วเต้าก็ทราบแล้วว่าเขาเป็นศิษย์ที่ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทอดทิ้ง เช่นนั้นนางก็น่าจะทราบเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับตระกูลซ่งด้วยเช่นกัน จูซุ่นขยับเข้าไปใกล้ไห่หรูเยวี่ยพลางกระซิบว่า “ซ่งหลงบุตรชายคนรองของซ่งจิ่วหมิงมาถึงตัวมหานครแล้วจริงๆ ขอรับ เข้าพักที่เรือนสุคนธาเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ไห่หรูเยวี่ยไม่เผยพิรุธใดๆ ออกมาทางสีหน้า จ้องมองหนิวโหย่วเต้าแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่ายอดหมอที่เจ้าพาตัวมาด้วยสามารถรักษาอาการของบุตรชายข้าได้?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวตอบ “ต่อให้เขาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เขากลับเป็นคนที่มีโอกาสขอผลตะวันชาดมาได้มากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่ ท่านอ๋องทราบเรื่องอาการป่วยของบุตรชายพระองค์ดี ท่านอ๋องส่งพวกกระหม่อมมาเพราะเรื่องนี้ แสดงว่าท่อนอ๋องย่อมมีความมั่นใจอยู่หลายส่วนพ่ะย่ะค่ะ! องค์หญิงใหญ่ หากยังชักช้ารีรอ อาจจะรักษาชีวิตยอดหมอไว้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้เขาไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ช่วยหยวนฟางออกมาให้ได้ก่อนถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในมุมมองของเขาแล้ว งานใหญ่ของซางเฉาจงไม่แน่ว่าจะมีค่าเท่ากับชีวิตของหยวนฟางด้วยซ้ำ เขาและผู้ติดตามของซางเฉาจงเหล่านั้นมีแนวคิดที่แตกต่างกัน ในด้านอุดมการณ์และการให้คุณค่าก็ไม่เหมือนกัน
ไห่หรูเยวี่ยค่อยๆ หันไปมองจูซุ่น เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าพาคนไปด้วยตัวเอง ให้ซ่งหลงคืนตัวคนมา!” สุ้มเสียงเจือความเผด็จการที่ไม่อนุญาตให้มีความสงสัยใดๆ
“ขอรับ!” จูซุ่นตอบรับ หันไปเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “ไปกับข้าหน่อย” เขาไม่รู้จักยอดหมอคนนั้น จำเป็นต้องให้หนิวโหย่วเต้าไประบุตัว แล้วถ้าหากจำเป็นก็ต้องให้หนิวโหย่วเต้าไปยืนยันต่อหน้าซ่งหลง เพราะถ้าไม่มีพยานบุคคล เกิดซ่งหลงไม่ยอมรับจะทำอย่างไรเล่า?
ทางหนิวโหย่วเต้าก็รีบคำนับลาไห่หรูเยวี่ยทันที ติดตามจูซุ่นออกไป
จูซุ่นเรียกระดมพลยอดฝีมือสิบกว่าคนให้ไปด้วยกันทันที ส่วนฟางเจ๋อถูกคุมตัวไว้ที่จวนผู้ว่าการมณฑลชั่วคราว ให้ความรู้สึกคล้ายตัวประกัน
…….
ด้านเรือนสุคนธา พวกเซี่ยชุนเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน กำลังเผชิญหน้ากับซ่งหลงที่ยืนยกมือไพล่หลังด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งอยู่ในห้องโถง
พวกเซี่ยชุนย่อมกลับมามือเปล่า ความจริงที่เกิดขึ้นได้ยืนยันคำพูดของหยวนฟางแล้ว หนิวโหย่วเต้าเข้าพักที่โรงเตี๊ยมฝูหลินจริงๆ เรื่องนี้เพียงสอบถามถึงรูปพรรณสันฐานของคนผู้นี้กับเสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมก็ทราบแล้ว
แล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจค้นอะไรอีก พอไปถึงโรงเตี๊ยมคนก็จากไปเหลือแต่ห้องว่าง ผู้ดูแลเองก็บอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะคืนห้องได้ไม่นาน
สำหรับเรื่องนี้ เซี่ยชุนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว หากหนิวโหย่วเต้ายังอยู่ที่นั่นสิถึงจะแปลก
เมื่อจับตัวหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ ทางนี้ก็จำเป็นต้องลากตัวหยวนฟางมาเค้นถามอย่างละเอียดอีกครั้ง อย่างเช่นหนิวโหย่วเต้าอาจจะไปไหนได้บ้าง หรือมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใดทำนองนั้น
หยวนฟางยังคงใจฝ่อราวกับหนู ถามเรื่องไหนก็ตอบเรื่องนั้น เพียงแต่ไม่มีความจริงอยู่เลยก็เท่านั้น
เมื่อถามแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร หยวนฟางย่อมถูกทรมานอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
และในเวลานี้เอง ด้านนอกพลันมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นมา เป็นเสียงของผู้คนจำนวนมากที่กำลังวิ่งกรูกันเข้ามา ได้ยินเสียงกระทบกระทั่งกันของชุดเกราะอย่างชัดเจน
ขุนนางชั้นผู้น้อยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของซ่งหลงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น กล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ใต้เท้าขอรับ พ่อบ้านจูซุ่นแห่งจวนผู้ว่าการมณฑลมาขอรับ พาทหารจำนวนมากเข้าปิดล้อมเรือนของพวกเราแล้วขอรับ”
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” ซ่งหลงทั้งตกใจและสงสัย ถามคนอื่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนอื่นๆ ก็ไม่ทราบเช่นกัน เขาจึงรีบพาลูกน้องสาวเท้าก้าวออกไป
กระทั่งตอนที่ใกล้จะเดินไปถึงในเรือน หลังจากเห็นจูซุ่นที่เดินนำคนกลุ่มหนึ่งผ่านประตูใหญ่เข้ามา เขาก็ทราบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
สถานการณ์ในขณะนี้ทำให้ซ่งหลงหัวใจเต้นระรัว หรือว่าคำพูดของหนิวโหย่วเต้าคนนั้นจะเป็นความจริง เขาเป็นคนของจวนผู้ว่าการมณฑลจริงๆ น่ะหรือ?
เรื่องที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นคือ คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะทำให้จูซุ่นมาที่นี่ด้วยตัวเองได้!
เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซี่ยชุน คล้ายกำลังถามว่าพวกเจ้าทำงานประสาอะไร สั่งพวกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือว่าให้ตามไปตรวจสอบดูก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นคนของจวนผู้ว่าการมณฑลหรือไม่แล้วค่อยลงมือน่ะ?
พอเห็นสถานการณ์ตอนนี้ เฉินกุยซั่วที่อยู่ในกลุ่มซ่งหลงพลันอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา โอดครวญอยู่ในใจ หนิวโหย่วเต้าเรืองอำนาจในมณฑลจินโจวได้อย่างไรกัน?
เสียงครึกโครมของทางนี้ดังเป็นอย่างมาก คณะทูตจากแคว้นต่างๆ ที่มีเจตนาไม่ดีต่อแคว้นจ้าวที่พำนักอยู่ในเรือนสุคนธาพากันตื่นตระหนกไปด้วย
ทางมณฑลจินโจวส่งทหารมาปิดล้อมเรือนพำนักของคณะทูตแคว้นเยี่ยนไว้ คนจากแคว้นอื่นๆ ไหนเลยจะไม่มาดูให้กระจ่างได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทีที่มณฑลจินโจวมีต่อแคว้นเยี่ยนควรค่าแก่การที่แคว้นอื่นๆ จะคอยสังเกตดู ถึงอย่างไรมณฑลจินโจวก็มีกองทัพประจำการติดชายแดนแคว้นเยี่ยน หากเกิดความขัดแย้งอันใดขึ้น นั่นย่อมมิใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน
ผู้คนที่อยู่ในเรือนสุคนธาพากันชะโงกหน้าออกมาดู จนปัญญาที่ทางนี้มีทหารปิดล้อมหนาแน่น ไม่อาจเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ ได้
“ใช่เขาหรือไม่?” จูซุ่นจ้องมองซ่งหลงพลางถามเสียงเรียบเฉย
หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ข้างๆ ให้การยืนยัน “ถูกต้องแล้ว เป็นเขานั่นแหละ!”
ซ่งหลงทั้งตกใจระคนสงสัย จูซุ่นกล้ามาหาเรื่องราชทูตแคว้นเยี่ยนอย่างเขาเพื่อหนิวโหย่วเต้าอย่างนั้นหรือ?
แม้จะรู้สึกสับสนว้าวุ่นอยู่บ้าง แต่ราชทูตที่ถูกส่งมายังแคว้นจ้าวอย่างเขาก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเยี่ยน เขาตวาดกร้าวด้วยท่าทางองอาจผ่าเผยว่า “จูซุ่น เจ้าหมายความว่าอย่างไร? นี่คือวิธีต้อนรับแขกของมณฑลจินโจวอย่างนั้นเรอะ?”
จูซุ่นจ้องมองเขา “ผู้รักษามารยาทถึงจะนับเป็นแขก ถึงจะได้รับการปรนนิบัติสมกับเป็นแขก! คนไร้มารยาทผู้คนล้วนเดียดฉันท์…ใต้เท้าซ่ง อย่าพูดจาอ้อมค้อมกันอีกเลย คืนคนมาซะ!”
ตอนมาถึงเรือนสุคนธา เขาได้ทำการสอบถามทหารยามของที่นี่จนแน่ชัดแล้ว ก่อนหน้านี้พวกซ่งหลงคุมตัวคนผู้หนึ่งเข้ามาในเรือนสุคนธาจริงๆ ช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่หนิวโหย่วเต้าบอก ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้เคลื่อนกำลังทหารเข้าปิดล้อมในทันที!
ซ่งหลงไหนเลยจะยอมรับง่ายๆ ว่าตนจับตัวคนส่งเดชในพื้นที่ของแคว้นอื่น นี่มิใช่เรื่องที่นักการทูตคนหนึ่งพึงกระทำเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ไม่มีใครเขาทำกัน จึงเอ่ยแย้งว่า “คืนคนอันใดกัน? แซ่ซ่งไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายความว่าอะไร!”
จูซุ่นเอ่ย “ใต้เท้าซ่ง ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีเถิด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ซ่งหลงยืดอกเชิดหน้า เอ่ยอย่างวางท่ายิ่ง “ข้าคือราชทูตแห่งแคว้นเยี่ยน! ข้าเองก็อยากเห็นนักว่าผู้ใดจะกล้าลงมือส่งเดช!”
…………………………………………………….