ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 105 ปะทะกันครั้งแรก
ตอนที่ 105 ปะทะกันครั้งแรก
จูซุ่นเอ่ยว่า “แล้วราชทูตแคว้นเยี่ยนสามารถจับตัวคนในแคว้นจ้าวของเราตามอำเภอใจได้หรือ?”
ซ่งหลงเถียงกลับอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน “จูซุ่น อย่าได้พูดจาส่งเดช!”
จูซุ่นเอ่ยว่า “ใต้เท้าซ่ง ผู้มาเยือนคือแขก ข้าไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่คนผู้นั้น วันนี้ข้าต้องพากลับไปให้ได้! มอบคนมาซะ แล้วข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น มิเช่นนั้นข้าจำเป็นต้องออกคำสั่งตรวจค้น หากว่าค้นเจอ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงจับกุมพวกท่านไว้ แล้วให้แคว้นเยี่ยนมอบคำอธิบายต่อมณฑลจินโจว! ใต้เท้าซ่ง เรื่องนี้ไม่เหลือช่องให้เจรจาหรือต่อรองแล้ว ข้าขอย้ำอีกครั้ง มอบคนมาซะ แล้วข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น พูดคำไหนคำนั้นแน่นอน!”
คนที่จับตัวมาอยู่ด้านใน ที่นี่ได้ถูกทหารปิดล้อมอย่างหนาแน่นแล้ว ถึงตอนนี้อยากเอาไปซ่อนก็ไม่มีที่ให้ซ่อนแล้ว อีกทั้งท่าทีของอีกฝ่ายก็ชัดเจนนัก เรื่องนี้ไม่เหลือช่องให้เจรจาใดๆ ได้ ซ่งหลงจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาให้ดีๆ
แม้ว่าขนของราชาหมีขนทองจะล้ำค่า แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับบางเรื่องแล้วไม่นับว่ามีค่าอันใดเลย นอกจากนี้เจ้าปีศาจหมีตัวนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีก็คิดจะมอบให้เป็นของขวัญอยู่แล้ว ไม่ได้คิดจะเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว
ซ่งหลงเหลือบมองเป้าหมายที่แท้จริงของเขา หนิวโหย่วเต้า!
ดวงตาเขาสาดประกายขึ้นมาเล็กน้อย เอียงศีรษะสั่งการ “ไปพาตัวมา”
พอเห็นลูกน้องเขากลับเข้าไปด้านใน หนิวโหย่วเต้ารีบกระซิบเตือนจูซุ่นอย่างรวดเร็ว “คนตายทำการรักษาไม่ได้!”
เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะฆ่าคนปิดปาก เพราะการที่ราชทูตมาจับตัวคนในอาณาเขตของแคว้นอื่นนั้นมิใช่เรื่องเล็กๆ หากอีกฝ่ายฆ่าหยวนฟาง จากนั้นอ้างว่าบังเอิญพบผู้บาดเจ็บบนถนนจึงพากลับมารักษา ผลสุดท้ายคือบาดเจ็บสาหัสจนเกินเยียวยา ไม่ยอมรับว่าเป็นตนเองที่จับคนมา เช่นนั้นข้อพิพาทนี้ก็ไม่อาจสืบสาวเอาความต่อไปได้
แววตาจูซุ่นวูบไหว เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงขึงขังแข็งกร้าว “ข้าต้องการคนเป็น! หากคนตายไป ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่แม้แต่คนเดียว!”
ที่เขากล้าพูดจาแบบนี้ ที่เขากล้าใช้คำพูดรุนแรงเช่นนี้ เป็นเพราะเขาทราบดีว่าหากมียอดหมอที่สามารถรักษาอาการป่วยของนายน้อยได้จริง นั่นจะมีความหมายอย่างไรต่อตระกูลเซียวและฮูหยิน อีกทั้งทราบดีว่าหากตระกูลเซียวล่มจมลงจะมีความหมายอย่างไรต่อเขาที่เป็นพ่อบ้านตระกูลเซียว
ซ่งหลงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “พูดจาใหญ่โตเสียเหลือเกินนะ ข้าคือราชทูตแคว้นเยี่ยน ต่อให้เป็นราชสำนักแคว้นจ้าวก็ยังไม่กล้าขู่เอาชีวิตราชทูตส่งเดชเลย ดูเหมือนมณฑลจินโจวจะมีอำนาจเหนือราชสำนักแคว้นจ้าวสินะ วันนี้แซ่ซ่งได้รับการสั่งสอนแล้ว!”
จูซุ่นเอ่ย “ใต้เท้าซ่งเข้าใจผิดแล้ว มณฑลจินโจวมิบังอาจอยู่เหนือแคว้นจ้าวหรอก มณฑลจินโจวเพียงแค่ไม่กริ่งเกรงแคว้นเยี่ยนเท่านั้น ไม่ยอมปล่อยให้แคว้นเยี่ยนมาทำตัวโอหังในเขตแดนแคว้นจ้าวเท่านั้น! หากใต้เท้าซ่งไม่เชื่อ ก็ลองคืนตัวคนมาในสภาพสิ้นชีพดูสิ ข้ากล้ารับรองเลยว่าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ทางแคว้นเยี่ยนย่อมต้องเข้าใจเหตุผลแน่นอน ไม่มีทางซักไซ้เอาเรื่องอันใด!”
“…..” ซ่งหลงถูกวาจานี้ตอกหน้าจนมีโทสะสุมอยู่เต็มทรวง
ถึงอีกฝ่ายจะพูดจานุ่มนวลน่าฟัง แต่ความหมายที่แฝงอยู่กลับแจ่มชัดยิ่งนัก ‘ต่อให้ข้าสังหารเจ้า แคว้นเยี่ยนก็ไม่กล้าสืบสาวเอาความเป็นจริงเป็นจังแน่นอน!’
ในฐานะที่เป็นราชทูต แม้นได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วโมโหจนเกินรับไหว แต่เขาก็ไม่กล้ารับคำท้านี้ เนื่องจากกำลังของแคว้นเยี่ยนไม่กล้าแข็งพอ ประกาศศักดาอำนาจไม่ได้ ข่มขวัญศัตรูไม่ได้ เรื่องราวระหว่างสองแคว้นต้องใช้อำนาจความแข็งแกร่งเข้าตัดสิน ฝีปากวาจาหาได้มีประโยชน์อันใดไม่!
มาตรว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะปัญหาส่วนตัวของตระกูลซ่ง แต่วันนี้เขาได้รู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่าแคว้นอ่อนแอไร้อำนาจต่อรอง แม้แต่เจ้าศักดินามณฑลหนึ่งในแคว้นจ้าวก็ยังกล้ามองข้ามหัวแคว้นเยี่ยน สำหรับราชทูตอย่างเขาแล้ว นี่ช่างน่าอัปยศเหลือเกิน!
ความจริงแล้วเขารู้อยู่แก่ใจดีว่าอำนาจโดยรวมของแคว้นเยี่ยนมิได้อ่อนแอเลย มิได้ต่างจากแคว้นจ้าวมากนัก แต่แคว้นเยี่ยนอ่อนแอเพราะมีศึกวุ่นวายภายใน แตกแยกไร้ซึ่งความสามัคคี หากเป็นช่วงอดีตเมื่อหลายปีก่อน สมัยที่หนิงอ๋องยังนำทัพอยู่ เมื่ออยู่ต่อหน้าแคว้นเยี่ยน แคว้นจ้าวก็ยังต้องยอมก้มหัวให้ แคว้นจ้าวในสมัยนั้นไหนเลยจะกล้าพูดจาเช่นนี้กับราชทูตของแคว้นเยี่ยนได้? ทว่าในสายตาขององค์ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนแล้ว บางทีหนิงอ๋องผู้เป็นน้องชายของตนเองอาจจะเป็นศัตรูร้ายที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าศัตรูต่างแคว้นก็เป็นได้ เรื่องบางเรื่องขุนนางอย่างพวกเขาก็พูดอะไรมากไม่ได้เช่นกัน
ท้ายที่สุด หยวนฟางที่เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเลือดก็ถูกพาออกมา ซ่งหลงเองก็นับว่าถูกบังคับให้ปล่อยตัวคนต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นกัน
เมื่อเห็นหยวนฟาง จูซุ่นเอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าเบาๆ “ใช่เขาหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว!”
เมื่อได้พบหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เมื่อได้เห็นหนิวโหย่วเต้าพาคนมากมายขนาดนี้บุกมาช่วยเหลือตน หยวนฟางตื้นตันจนอยากร้องไห้ เต้าเหยี่ยไม่ได้ทอดทิ้งเขาจริงๆ ด้วย เต้าเหยี่ยมาช่วยเขาแล้วจริงๆ!
ตอนที่ถูกทรมานเมื่อสักครู่นี้ ในใจเขาทราบดี ไม่ว่าจะสารภาพหรือไม่ อีกฝ่ายก็ไม่แน่ว่าจะไว้ชีวิตเขา ประเด็นสำคัญคือทำไมต้องไว้ชีวิตเขาด้วยเล่า? เขาคิดว่าตนต้องตายแน่แล้ว คิดไม่ถึงว่าในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามตั้งแต่ที่ถูกจับตัวมา ตัวเองจะถูกเต้าเหยี่ยช่วยเหลือออกมาแล้ว ในใจรู้สึกอบอุ่นเร่าร้อนยิ่งนัก!
เรื่องราวบางอย่าง ต่อให้ที่ผ่านมาหนิวโหย่วเต้าจะพร่ำพูดอย่างไร แต่ภายในใจหยวนฟางก็ยังมีความคลางแคลงสงสัยอยู่ ลมปากต่อให้พ่นออกมานับหมื่นครั้ง มันก็ไม่อาจเทียบกับสิ่งที่ได้ประสบพบเจอด้วยตัวเองในครั้งนี้ได้ การได้พบเห็นหนิวโหย่วเต้าอีกครั้งทำให้เขารู้สึกตื้นตันอย่างมากจริงๆ เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้า เอ่ยเรียกอย่างซาบซึ้งใจ “เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจเขาหัวจรดเท้า จากนั้นถามว่า “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”
หยวนฟางเอ่ยตอบ “บาดแผลภายนอกเท่านั้น ทนได้ขอรับ!” สำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตรอดล้วนสำคัญกว่าสิ่งใด
ส่วนซ่งหลงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันตีหน้ายิ้ม ประสานมือพร้อมเอ่ยว่า “พ่อบ้านจู ทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิด หวังว่าจะไม่ถือสา!” เขากำลังหยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่ายเพื่อดูว่ายังมีความจำเป็นต้องรั้งอยู่ในมหานครจินโจวแห่งนี้ต่อไปหรือไม่
จูซุ่นเองก็ประสานมือกล่าวตอบอย่างมีมารยาท “ใต้เท้าซ่งพูดถูกแล้ว ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดจริงๆ ด้วย เรื่องนี้จบลงแล้ว บ่าวยังมีธุระต้องจัดการต่อ ขอตัวลาก่อนขอรับ!” ท่าทีที่เขามีให้ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน พูดคำไหนคำนั้น ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงช่วยเหลือเป้าหมายออกมาได้อย่างปลอดภัยก็พอแล้ว เขาก็ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมณฑลจินโจว ราชสำนักแคว้นจ้าวและแคว้นเยี่ยนขึ้นเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ภาพรวมและความเป็นจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า ทุกคนล้วนไม่มีทางเลือก ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ ก็ต้องเป็นคนที่รู้จักรุกรู้จักถอย ไม่คิดเล็กคิดน้อย
ซ่งหลงโล่งอก แย้มยิ้มอย่างเข้าใจกัน จากนั้นเอ่ยว่า “พ่อบ้านจูเดินระวังด้วย ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปส่ง!”
“เชิญใต้เท้าซ่งพักผ่อนเถิด!” จูซุ่นเองก็เอ่ยไปตามมารยาท จากนั้นโบกมือสื่อให้ทหารที่ปิดล้อมถอนตัวเสีย กลับหลังหันพาคนจากไป
ก่อนจากไปหนิวโหย่วเต้าสบตากับซ่งหลงเล็กน้อย แววตาทั้งคู่ต่างสงบราบเรียบ ทว่ากลับแฝงเจตนาที่ไม่ดีเอาไว้
ในการพบหน้าครั้งแรกนี้ หนิวโหย่วเต้าพลาดท่าตกเป็นรอง ส่วนทางซ่งหลงก็เสียหน้า ต่างฝ่ายต่างทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเล่นงานใครได้ ยังบอกไม่ได้ว่าใครชนะหรือว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ
…….
พอทหารที่ปิดล้อมเรือนพำนักของราชทูตแคว้นเยี่ยนล่าถอยไป ภาพหนิวโหย่วเต้าที่กำลังพยุงผู้บาดเจ็บที่อยู่ในสภาพโชกเลือดเดินกะเผลกๆ ออกมาจึงดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
อย่างน้อยราชทูตของแคว้นต่างๆ ล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน แล้วก็ให้ความสนใจกับหนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางซึ่งเป็นคนแปลกหน้าเป็นพิเศษ ล้วนอยากทราบว่าสองคนนี้คือใคร
จึงพากันสอบถามผู้ติดตามที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานการณ์ในมณฑลจินโจว ผลคือทุกคนต่างส่ายหน้า สื่อว่าไม่ทราบและไม่เคยพบมาก่อน
นี่ยิ่งทำให้เหล่าราชทูตสงสัยมากกว่าเดิม คนที่ทำให้จูซุ่นออกโรงนำทหารเข้าปิดล้อมเรือนพักของราชทูตแคว้นเยี่ยนด้วยตัวเองได้ผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ขณะเดียวกันทุกคนต่างรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าซ่งหลงแห่งแคว้นเยี่ยนมีข้อพิพาทอันใดกับทางมณฑลจินโจวกันแน่ จะขยายตัวเป็นความขัดแย้งที่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า แล้วมันจะส่งผลกระทบต่อแคว้นเยี่ยนกับแคว้นจ้าวจนทำให้สถานการณ์ในใต้หล้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?
ในอดีตยามที่ราชวงศ์อู่ล่มสลาย เจ้าศักดินาหลายร้อยคนต่างตั้งตนเป็นจักรพรรดิสถาปนาแว่นแคว้นต่างๆ ขึ้น สถานการณ์ในใต้หล้าเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นเจ็ดแคว้นใหญ่เช่นในปัจจุบันนี้ กลิ่นคาวเลือดจากการที่แคว้นฉินถูกตัดเฉือนดินแดนเมื่อไม่นานมานี้ยังไม่ทันจางหายไปเลย แล้วจะไม่ให้เหล่าราชทูตสนใจในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
เมื่อทหารของจูซุ่นถอนกำลังออกไปจากเรือนสุคนธา ราชทูตจากแคว้นจิ้น หาน ซ่ง เว่ยและฉีห้าแคว้นใหญ่ต่างเดินไปที่ประตูของ ‘เรือนเยี่ยน’ ทันที แสดงความห่วงใยต่อซ่งหลง
“พี่ซ่ง เหตุใดจูซุ่นถึงได้เหม็นขี้หน้าท่านเช่นนี้เล่า?” จูเก่อสวินราชทูตแคว้นหานเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปพร้อมเอ่ยเปิดประเด็นเป็นคนแรก แสดงสีหน้าประหลาดใจ
เขาเป็นชายหนุ่มที่สะอาดสะอ้านคนหนึ่ง สวมใส่อาภรณ์สีขาว หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มราชทูต ทั้งยังเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุดด้วย
แน่นอนว่าวาจาที่เขาเอ่ยออกมาไม่ค่อยน่าฟังนัก แต่ทุกคนล้วนเข้าใจต้นสายปลายเหตุ แคว้นหานเพิ่งบุกยึดมณฑลหนึ่งของแคว้นเยี่ยนไปได้ สองแคว้นก่อศึกใหญ่ มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน อยู่ในสถานการณ์ที่พร้อมจะเข้าปะทะกันได้ทุกเมื่อ เป็นความสัมพันธ์ฉันศัตรูกันอย่างเต็มตัว ถ้ายังพูดจาไพเราะน่าฟังสิถึงจะแปลก
ซ่งหลงเอ่ยอย่างเฉยชา “พูดจาไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ อายุข้ามากพอจะเป็นบิดาเจ้าได้แล้ว แคว้นหานอบรมให้เจ้าพูดจากับผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ? ต่อไปให้เรียกว่าท่านลุง จำไว้ซะ”
จูเก่อสวินหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าระหว่างราชทูตด้วยกันจะมีการจัดลำดับตามความอาวุโสด้วย ประเดี๋ยวถ้าแคว้นหานของข้าส่งผู้เฒ่าอายุร้อยกว่าปีมาเป็นราชทูต หากพบหน้าพี่ซ่งมิต้องเรียกขานว่าท่านปู่หรอกหรือ? เช่นนั้นคงน่าขายหน้ายิ่ง”
ถูไหวอวี้ราชทูตแคว้นซ่งที่อยู่ด้านข้างลูบเครา เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “เป็นแค่เด็กน้อยขนยังไม่ทันงอกคนหนึ่ง คู่ควรเป็นราชทูตแล้วหรือ? ”
มิใช่ว่าเขาช่วยพูดให้ซ่งหลง แต่เป็นเพราะแคว้นซ่งก็มีชายแดนติดกับแคว้นหาน และทั้งสองฝ่ายก็มีข้อพิพาทกันอยู่ ประกอบกับเห็นจูเก่อสวินอ่อนเยาว์เกินไปจึงไม่ถูกชะตาอยู่บ้าง การที่ให้คนหนุ่มเช่นนี้มาเป็นราชทูตกลับยิ่งทำให้ผู้เฒ่าอย่างเขาดูไร้ค่า
ฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้น สุยไพ่ราชทูตแคว้นเว่ยและจั่วอันเหนียนราชทูตแคว้นฉีต่างรับชมอยู่ด้านข้าง สงสัยว่าจะมีเรื่องสนุกให้ชมแล้ว
ช่วยไม่ได้ แคว้นเยี่ยน แคว้นจ้าว แคว้นหานและแคว้นซ่งอยู่ใกล้กัน เกิดความขัดแย้งขึ้นบ่อยครั้ง หากเทียบกันแล้ว แคว้นจิ้น แคว้นเว่ยและแคว้นฉีที่อยู่ค่อนข้างห่างกันนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกว่าหน่อย
สรุปแล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ราชทูตที่พากันเดินทางมาอวยพรวันเกิดไห่หรูเยวี่ยเหล่านี้ล้วนไม่มีเจตนาดีทั้งสิ้น ยังไม่ต้องพูดเรื่องอื่นใดเลย หากฮ่องเต้ไห่อู๋จี๋ได้มาเห็นเหตุการณ์ในวันนี้ เขาจะคิดอย่างไร? คนเหล่านี้ล้วนอยากยุแยงให้พวกไห่อู๋จี๋สองพี่น้องขัดแย้งกันใจแทบขาดแล้ว
ซ่งหลงมีเรื่องในใจ ไม่มีอารมณ์มาโต้เถียงกับพวกเขา คร้านแม้กระทั่งจะเอ่ยทักทาย สะบัดแขนเสื้อหันหลังกลับเข้าเรือนไป
หลังจากกลับเข้าไปในเรือน สีหน้าเขาคร่ำเคร่งเป็นอย่างมาก เอ่ยสั่งการขุนนางผู้ติดตามว่า “รีบไปตรวจสอบดูว่าหนิวโหย่วเต้าเกี่ยวข้องกับจวนผู้ว่าการมณฑลอย่างไรกันแน่!”
…….
ภายในจวนผู้ว่าการมณฑล จูซุ่นสั่งให้คนพาหยวนฟางไปอาบน้ำและจัดการบาดแผลก่อน ในเมื่อต้องการเชิญคนเขามารักษาเซียวเทียนเจิ้น ไหนเลยจะปล่อยให้เข้าพบฮูหยินด้วยสภาพน่าอนาถเช่นนี้ได้
เมื่ออยู่ในห้องอาบน้ำและปราศจากคนนอกแล้ว หยวนฟางก็เอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าเสียงเบาๆ ว่า “เต้าเหยี่ย นอกจากเรื่องที่บอกว่าท่านพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมฝูหลินแล้ว ข้าไม่ได้พูดเรื่องอื่นออกไปเลยนะขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ข้าเชื่อใจเจ้า!”
“…..” หยวนฟางตะลึงงัน รู้สึกตื้นตันขึ้นมาอีกครั้ง
หยวนฟางไม่ได้รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต้าทราบอยู่แก่ใจดี หากว่าหยวนฟางเผยความลับอันใดที่ไม่สมควรพูดออกไป ซ่งหลงก็คงจะมีเหตุผลคุมตัวหยวนฟางเอาไว้แล้ว
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสืบสาวราวเรื่องและให้คำอธิบาย หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเบาว่า “สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุม เมื่อครู่ยังไม่สะดวกจะล้างแค้นให้เจ้า”
หยวนฟางที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเชื่องช้ารีบเอ่ยว่า “เข้าใจขอรับ เข้าใจขอรับ ผู้ออกบวชไม่ควรผูกพยาบาท ไม่ได้ล้างแค้นก็ไม่เป็นไรขอรับ”
“แต่ว่าตอนนี้กลับมีโอกาสอันดีที่จะได้ล้างแค้นแล้ว…” หนิวโหย่วเต้าบอกเล่าเหตุการณ์ตอนมาขอให้จวนผู้ว่าการมณฑลออกหน้าช่วยเหลือ
“ห๊า!” หยวนฟางตกใจจนหน้าถอดสี “เต้าเหยี่ย ข้ารักษาโรคเป็นที่ไหนล่ะขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เจ้าไม่จำเป็นต้องรักษา อีกเดี๋ยวเจ้าแค่เล่นตามน้ำไป พยายามอย่าพูดอะไรทั้งนั้น ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
…………………………………………………