ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 106 มีแค้นต้องชำระ
ตอนที่ 106 มีแค้นต้องชำระ
หลังสั่งกำชับอย่างละเอียด หยวนฟางก็เข้าใจเจตนาของเขา แม้จะพยักหน้าเพื่อสื่อว่าจะให้ความร่วมมือ แต่ในใจกลับกลัดกลุ้ม นี่มันหาเรื่องให้หัวขาดชัดๆ!
อันที่จริงหยวนฟางอยากถามหนิวโหย่วเต้ายิ่งนัก ท่านบอกจะออกมาเสาะหาของที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรมิใช่หรือ?
เขาอาศัยในวัดหนานซานที่อยู่ท่ามกลางป่าเขามานานหลายปี เคยชินกับความเงียบสงบ จู่ๆ ก็ถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องทางโลกเช่นนี้ รู้สึกกะทันหันเป็นอย่างยิ่ง ทำอะไรไม่ค่อยถูก กำลังอยู่ในระหว่างการปรับตัวเสมือนต้อนเป็ดขึ้นคอน[1]
เมื่อทางนี้จัดการเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ให้คนไปรายงานให้ทราบ
ไม่นานนัก มีคนจากทางเรือนหลังมาแจ้งว่าให้ทั้งสองเข้าไปหา มีคนคอยนำทางให้ตลอดทาง
ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนี้ทำให้หยวนฟางต้องพินิจดูอยู่ครู่ใหญ่ เขาไม่เคยเห็นบ้านเรือนที่งามหรูหราเช่นนี้มาก่อน ภายในหัวนึกถึงชาวบ้านยากไร้ในป่าเขา จากนั้นหันมองดูสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ต่างกันราวฟ้ากับเหว นึกทอดถอนใจว่าแบบนี้จะไม่ให้คนลุ่มหลงในทรัพย์สินเกียรติยศบนโลกนี้ได้อย่างไร ไม่แปลกเลยที่มนุษย์จะใฝ่หา ได้แต่ท่องอามิตตาพุทธอยู่ในใจ!
ภายในโถงที่ดูโออ่างามสง่า เจ้าบ้านและแขกพบหน้ากัน หยวนฟางยืนนิ่งเฉยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หนิวโหย่วเต้าทำความเคารพตามมารยาท
ไห่หรูเยวี่ยในชุดกระโปรงงดงามยกมือขึ้นเพื่อบอกว่าไม่ต้องมากพิธี สายตามองไปยังหยวนฟางที่เดินกระเผลกๆ เข้ามา เอ่ยถามว่า “ท่านนี้คือยอดหมอที่จะมารักษาโรคหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวตอบ “พ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยถามต่อ “ไม่ทราบว่ายอดหมอมีนามว่าอะไร เป็นคนที่ไหน?”
หยวนฟางตอบอย่างไม่ร้อนรน “ฮว่าถัว เป็นเพียงชาวบ้านในป่าเขาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไห่หรูเยวี่ยกล่าวว่า “โอ้ ที่แท้ก็ท่านหมอฮว่า! ดูเหมือนท่านหมอฮว่าจะไม่ค่อยมีความสุขนะ หรือข้าบกพร่องอันใดไป?”
หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยขึ้นว่า “มิขอปิดบังองค์หญิงใหญ่ พวกกระหม่อมมาที่นี่เพื่อขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
จูซุ่นที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นมาทันที เผยแววตาดุดันออกมา
ไห่หรูเยวี่ยหรี่ตาลงพลางเอ่ยว่า “เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือ? ข้ายอมล่วงเกินราชทูตต่างแคว้นอย่างไม่ลังเลเพื่อช่วยเขาออกมา แต่พวกเจ้ายังไม่ทันจัดการเรื่องที่รับปากไว้ก็คิดจะจากไปแล้วอย่างนั้นรึ? คิดว่าหญิงม่ายอย่างข้าจะรังแกและหลอกใช้ได้ง่ายๆ เรอะ? ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ย “องค์หญิงใหญ่เข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านหมอฮว่าเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อมาทำการรักษา ไม่คิดเลยว่าเกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ดังนั้นจึงไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่ ด้วยเกรงว่าจะตกอยู่ในอันตรายอีกพ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยว่า “กังวลเกินไปแล้ว ท่านหมอฮว่าสนใจเพียงเรื่องตรวจโรคก็พอ ข้ารับประกันเจ้าได้ ในเขตมณฑลจินโจวแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเจ้าแน่!”
หนิวโหย่วเอ่ยต่อว่า “องค์หญิงใหญ่คงยังไม่ทราบ ท่านหมอฮว่ามีกฎข้อหนึ่งในการตรวจรักษา หากอารมณ์ไม่ดีก็ไม่รักษาพ่ะย่ะค่ะ! ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปยั่วยุหาเรื่องผู้ใด แต่กลับถูกคนอื่นมาทำร้าย ท่านหมอฮว่ากล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลงพ่ะย่ะค่ะ อารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง!”
ไห่หรูเยวี่ยร้องอ้ออย่างลุ่มลึกแฝงความนัย “ไม่ทราบว่าต้องทำเช่นไรท่านหมอฮว่าถึงจะคลายโทสะนี้ลงได้?”
หนิวโหย่วเต้าตอบไปสิบพยางค์ “มีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ!”
ภายในห้องโถงเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง ไห่หรูเยวี่ยมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา เอ่ยถามเนิบๆ “ไม่ทราบว่าคิดจะล้างแค้นอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง ส่งตัวซ่งหลงให้ท่านหมอฮว่าก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮ่าๆ…” ไห่หรูเยวี่ยหัวเราะเบาๆ จ้องมองหนิวโหย่วเต้าแล้วกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านี่มิใช่ความคิดของท่านหมอฮว่า แต่เป็นเจ้าที่คิดฉวยโอกาสคิดบัญชีตระกูลซ่งเล่า?”
“นี่คือความคิดที่มาจากการหารือกันของกระหม่อมและท่านหมอฮว่าพ่ะย่ะค่ะ คนซื่อตรงเปิดเผยย่อมไม่พูดลับหลัง มิขอปิดบังองค์หญิงใหญ่ ความคิดของกระหม่อมก็คือความคิดของท่านหมอฮว่าเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้ากลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก เอ่ยเสริมไปอีกประโยค “ปมแค้นระหว่างกระหม่อมและตระกูลซ่งไม่มีทางคลี่คลายได้พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมก็ไม่มีอำนาจพอจะทำให้ตระกูลซ่งยอมละวางปมแค้นนั้นได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีแต่ต้องตายกันไปข้างพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่ก็ทรงเห็นแล้ว ตระกูลซ่งเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ทันทีที่กระหม่อมมาถึงมณฑลจินโจวก็ลงมือกับกระหม่อมเลย เช่นนั้นกระหม่อมก็ทำได้เพียงตอบโต้กลับไปเหมือนอย่างที่เขาทำพะย่ะค่ะ! ขอเพียงองค์หญิงใหญ่ช่วยให้กระหม่อมสมปรารถนาได้ กระหม่อมจะต้องช่วยคลายความกังวลให้องค์หญิงใหญ่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยอย่างเย็นชา “คิดจะหลอกใช้ข้าสินะ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบกลับว่า “มิใช่การหลอกใช้ แต่เป็นการต่อรองพ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยว่า “เห็นทีซางเฉาจงคงไม่อยากได้ความร่วมมือแล้วกระมัง”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หากแม้แต่ชีวิตของกระหม่อมก็หาไม่แล้ว เช่นนั้นเรื่องที่ยงผิงจวิ้นอ๋องและองค์หญิงใหญ่จะร่วมมือกันหรือไม่ยังจะเกี่ยวข้องอันใดกับกระหม่อมอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
ไห่หรูเยวี่ยกล่าว “เจ้าอยู่ในกำมือข้าแล้ว คิดว่ายังเหลือช่องให้เจ้าต่อรองอีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ชีวิตของบุตรชายพระองค์อยู่ในกำมือของกระหม่อมเช่นกัน องค์หญิงใหญ่ก็ไม่เหลือช่องให้ต่อรองเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยยิ้มเยียบเย็นพลางเอ่ยว่า “พูดจาน่าขัน ดูเหมือนเจ้าคงเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ สินะ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จะบังคับให้ตรวจโรคหรือพ่ะย่ะค่ะ? ผลลัพธ์มีอยู่สองอย่างเท่านั้น รักษาไม่หายกับรักษาแล้วตายทันที องค์หญิงใหญ่กล้านำชีวิตของผู้ป่วยมาเสี่ยงหรือไม่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ? เอาเป็นว่าไม่มีทางทำการรักษาให้ดีได้ด้วยการบังคับขู่เข็ญพ่ะย่ะค่ะ! แน่นอนว่าองค์หญิงใหญ่จะสังหารพวกกระหม่อมทิ้ง แล้วปล่อยให้ผู้ป่วยรอคอยความตายต่อไปก็ได้พ่ะย่ะค่ะ! ไม่ทราบว่าองค์หญิงใหญ่อยากเลือกผลลัพธ์แบบไหนพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมขอย้ำอีกครั้ง นอกจากกระหม่อมและหอหิมะเหมันต์แล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าขององค์หญิงใหญ่ได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เพลิงโทสะลุกโชนอยู่ในแววตาของไห่หรูเยวี่ย คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่ใจกล้าเช่นนี้อยู่จริงๆ หลอกใช้ประโยชน์จากนางแล้วยังกล้าข่มขู่นางอีก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีความมั่นใจในฝีมือการรักษาของตนถึงขนาดนี้ สุดท้ายนางจึงต้องฝืนข่มโทสะนี้ไว้ แค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ต้องเชื่อตามนั้นเรอะ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ยงผิงจวิ้นอ๋องทราบถึงอาการของผู้ป่วยแต่ก็ยังส่งพวกกระหม่อมมา องค์หญิงใหญ่ทรงใคร่ครวญถึงเหตุผลด้วยพระองค์เองเถิดพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างพวกกระหม่อมก็อยู่ในกำมือขององค์หญิงใหญ่แล้ว หากไม่สามารถคลายความทุกข์ให้องค์หญิงใหญ่ได้ อีกทั้งก่อเรื่องจนเป็นเช่นนี้ พวกกระหม่อมยังจะมีชีวิตรอดไปได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ถึงแม้ชีวิตของซ่งหลงจะมีค่า แต่กระหม่อมก็ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตของตนมาแลกกับชีวิตของเขาเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ภายในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง ไห่หรูเยวี่ยและจูซุ่นสบตากันอยู่สักพัก
สุดท้ายเป็นจูซุ่นที่เอ่ยขึ้นมาว่า “องค์หญิงใหญ่ไม่อาจสังหารราชทูตต่างแคว้นส่งเดชได้ พอถึงเวลานั้นหากแคว้นจ้าวไม่สามารถมอบคำอธิบายให้แคว้นเยี่ยนได้ แคว้นเยี่ยนจะต้องสังหารราชทูตแคว้นจ้าวเพื่อล้างแค้นแน่ ถึงแม้แคว้นจ้าวจะไม่กลัวแคว้นเยี่ยน แต่ถ้าต้องก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมณฑลจินโจวก็คงไม่มีทางเห็นด้วยเช่นกัน!” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมณฑลจินโจวย่อมหมายถึงสำนักบำเพ็ญเพียรที่คอยควบคุมมณฑลจินโจว
ความหมายในวาจานี้คือ ทางนี้ไม่สามารถช่วยเขาสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนได้
หนิวโหย่วเต้าจึงกล่าวว่า “หากว่าเป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างกระหม่อมกับตระกูลซ่งเล่า? เมื่อถึงเวลานั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับแคว้นเยี่ยนและมณฑลจินโจวแล้ว กระหม่อมอยากจะให้องค์หญิงใหญ่ช่วยสร้างโอกาสให้กระหม่อมได้ลงมือ น่าจะไม่มีปัญหาหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอันใด แล้วก็ไม่สูญเสียสิ่งใด ซ้ำยังได้ประโยชน์ด้วย ไม่น่ายินดีหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?
ไห่หรูเยวี่ยคล้ายว่าไม่อยากข้องแวะกับเรื่องนี้แล้ว หันหลังเตรียมจากไป กิริยานี้ของนางก็นับเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยรั้ง “ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงใหญ่ กระหม่อมจำเป็นต้องมีฐานะสักอย่างเพื่อใช้ปกปิดตัวตนยามที่อยู่ที่นี่ เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนนอกสงสัยเรื่องขององค์หญิงใหญ่และท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ไห่หรูเยวี่ยชะงักเล็กน้อย เอ่ยทั้งที่หันหลังให้ “ข้าจะให้คนปล่อยข่าวออกไป บอกว่าเจ้าเป็นชายบำเรอของข้า”
ชายบำเรอ? ผู้ชายที่เจ้าเลี้ยงไว้อย่างนั้นหรือ? หลังจากหนิวโหย่วตั้งสติได้ พลันเหงื่อตกเล็กน้อย รีบเอ่ยปฏิเสธ “ไม่เหมาะๆ สถานะนี้ไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ ”
มุมปากของหยวนฟางที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เผยสีหน้าแปลกพิกลออกมา
ไห่หรูเยวี่ยที่หันหลังอยู่เหลียวหน้าเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ทำไม? กลัวว่าหญิงหม้ายอย่างข้าจะทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ารีบโบกมือปฏิเสธ “มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าจะเป็นกระหม่อมต่างหากที่ทำให้องค์หญิงใหญ่เสื่อมเสียพระเกียรติ”
ไห่หรูเยวี่ยค่อยๆ หันกลับมา ถามออกนอกประเด็น “เจ้าคิดว่ารูปโฉมของข้าเป็นอย่างไร?”
“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้าไม่ทราบว่านางถามเช่นนี้ด้วยเหตุผลใด จึงตอบอย่างระมัดระวัง “พระสิริโฉมขององค์หญิงใหญ่ย่อมงดงามพ่ะย่ะค่ะ”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหญิงหม้ายที่งดงามอย่างข้านั่งอยู่ในตำแหน่งนี้แล้วยังจะมีชื่อเสียงดีงามอันใดอยู่อีกหรือ? เกรงว่าคงมีข่าวลือสารพัดแพร่กระจายไปทั่วนานแล้ว เจ้าวางใจเถอะ สำหรับข้าแล้ว ชื่อเสียงแบบนี้จะมีหรือไม่มีมันก็เหมือนกัน”
สีหน้าของหนิวโหย่วเต้าทึมทื่อไปเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือปฏิเสธอีกครั้ง “กระหม่อมมาด้วยบัญชาของท่านอ๋อง เรื่องเช่นนี้หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ มิสู้ตรงไปตรงมาสักหน่อย บอกว่ากระหม่อมได้รับบัญชาจากท่านอ๋องให้เดินทางมาร่วมอวยพรพระปิตุจฉา ทั้งสองฝ่ายมีอาณาเขตเชื่อมต่อกัน ท่านอ๋องที่ด้อยกำลังจะมาประจบเอาใจองค์หญิงใหญ่ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้”
หากนับกันตามลำดับอาวุโส ไห่หรูเยวี่ยก็คืออาหญิงของซางเฉาจง
หลังจากได้พบองค์หญิงผู้นี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าก็พบว่าสายเลือดตระกูลซางนับว่าไม่เลวเลย เห็นได้จากรูปโฉมขององค์หญิงใหญ่ผู้นี้รวมถึงรูปโฉมของซางเฉาจง แต่แน่นอน หนิวโหย่วเต้าคิดว่าซางซูชิงนั้นเป็นข้อยกเว้น
“เจ้าหารือกับจูซุ่นแล้วกันว่าจะจัดการอย่างไร” ไห่หรูเยวี่ยเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เอ่ยทิ้งท้ายไว้ จากนั้นลากกระโปรงยาวเดินจากไป
หลังมองดูนางจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็หันไปเอ่ยย้ำกับจูซุ่นอีกครั้ง “บอกว่าข้ามาอวยพรองค์หญิงใหญ่จะดีกว่า!”
คำพูดของไห่หรูเยวี่ยทำให้เขารู้สึกตกใจจริงๆ หากมีข่าวฉาวกับอาหญิงของซางเฉาจงขึ้นมา เกรงว่าพอกลับไปพบสองพี่น้องตระกูลซาง เขาคงจะแก้ตัวได้ลำบาก
“ตกลง!” จูซุ่นพยักหน้ารับ
หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวอำลาทันที ส่วนจะลงมือกับซ่งหลงอย่างไรนั้น ให้เวลาอีกฝ่ายได้ใคร่ครวญวางแผนสักหน่อยแล้วกัน
ทว่าจูซุ่นกลับยกมือปราม สื่อไม่ให้เขารีบร้อนจากไป เอ่ยเตือนว่า “หากซ่งหลงเกิดเรื่องขึ้นที่นี่คงไม่ดีแน่ ไม่ว่าจะเคลื่อนกำลังทหาร หรือเรียกใช้ผู้บำเพ็ญเพียร ล้วนแต่จะทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมณฑลจินโจวรู้ตัว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมณฑลจินโจวไม่มีทางเห็นด้วยแน่ เพราะว่าไม่อยากก่อปัญหาขึ้นมา จะลอบสังหารก็ไม่ได้เช่นกัน โดยทั่วไปแล้วคณะทูตที่เดินทางมาปฏิบัติงานจะได้รับการคุ้มครองจากแคว้นนั้นๆ หากให้การคุ้มครองไม่ดี ทางนี้ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะลงมือในทางตรงหรือทางอ้อม ทางฝั่งองค์หญิงใหญ่ก็ล้วนไม่สะดวกจะเข้าแทรกแซง มิเช่นนั้นทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออกทั้งสิ้น”
ฟังแล้วก็หมายความว่าไม่อยากช่วยเรื่องนี้! หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆว่า “พ่อบ้านจูหมายความว่าอย่างไร?”
จูซุ่นโบกมือ จากนั้นเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวข้าจะจัดการให้ท่านเข้าพักที่เรือนสุคนธา แล้วท่านก็คิดหาทางลงมือเอาเองแล้วกัน!”
สีหน้าหนิวโหย่วเต้าคร่ำเคร่งทันที “เขามียอดฝีมือติดตามอยู่ข้างกายมากมายถึงเพียงนั้น ข้าจะลงมือได้อย่างไร?”
จูซุ่นกล่าวว่า “พวกเราช่วยท่านไม่ได้ แต่ในเรือนสุคนธามีคนที่สามารถช่วยท่านได้อยู่ ขึ้นอยู่กับตัวท่านแล้วล่ะว่าจะคว้าโอกาสได้หรือไม่…”
……
ไม่นานนัก พวกหนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางก็ถูกเชิญออกจากจวนผู้ว่าการมณฑล เข้าพำนักที่เรือนสุคนธา ฟางเจ๋อเองก็ถูกปล่อยตัวออกมาด้วยเช่นกัน
หลังจากเข้าพักที่เรือนเล็กหลังหนึ่งของเรือนสุคนธา หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ทำการพักผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่ออกไปเยี่ยมเยือนแขกผู้มีเกียรติภายในเรือนรับรองทันที
ณ ห้องหนังสือของเรือนแคว้นหาน จูเก๋อสวินกำลังจะจุดตะเกียงเพื่อตรวจเอกสารราชการ
ผู้ติดตามคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว รายงานว่า “เรียนใต้เท้า ด้านนอกมีแขกนามว่าหนิวโหย่วเต้ามาขอพบใต้เท้าขอรับ”
“หนิวโหย่วเต้าหรือ?” จูเก๋อสวินเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยด้วยความสงสัย “ผู้ใดกัน?”
ผู้ติดตามอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าเคยพบแล้วขอรับ เขาคือคนที่ออกมาจากเรือนแคว้นเยี่ยน ใต้เท้ายังสั่งให้ไปสืบว่าพวกเขาเป็นใครด้วยขอรับ”
“โอ้!” จูเก๋อสวินรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ราชทูตมีหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรี การเจริญสัมพันธไมตรีก็คือการออกไปผูกมิตรกับภายนอกเพื่อผลประโยชน์ให้แว่นแคว้น เขาวางเอกสารในมือลง หัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “รีบเชิญเข้ามา!”
ไม่นานนัก เจ้าบ้านและแขกก็ได้พบหน้ากันในโถงรับรอง
หลังจากทักทายตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่ง จูเก๋อสวินผายมือเชื้อเชิญหนิวโหย่วเต้าให้นั่งลงดื่มชา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าน้องหนิวมาที่นี่ มีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยเข้าประเด็นทันที “ข้าอยากสังหารซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยน หวังว่าพี่จูเก๋อจะยอมให้ความช่วยเหลือข้า!”
“……” จูเก๋อสวินอ้าปากค้างพูดไม่ออก มึนงงเล็กน้อย ครุ่นคิดในใจว่าคนผู้นี้ป่วยหรือเปล่า กระทั่งเจ้าเป็นใครข้าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เพิ่งพบหน้ากันก็กล้าร้องขอเช่นนี้แล้วหรือ?
…………………………………………………..
[1] เป็นสำนวนจีน หมายความว่า บีบคั้นหรือบังคับให้ทำเรื่องที่ไม่ถนัดและไม่เคยทำมาก่อน