ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 11 ปราณแท้แห่งเอกะวิถี
ตอนที่ 11 ปราณแท้แห่งเอกะวิถี
ซ่งเหยี่ยนชิงถลึงตาใส่ “อะไรคือคล้ายว่า? มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี”
หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่มือเขา ความหมายคือนี่ยังไม่เป็นชัดเจนอีกหรือ แน่นอนว่าต้องมี
ซ่งเหยี่ยนชิงพลันมีสีหน้ากระตือรือร้น “ศิษย์น้องเล็ก รีบเขียนกลอนที่อาจารย์เจ้าเคยแต่งออกมาหน่อยสิ ถือโอกาสตอนยังว่าง ข้าจะได้ติชมให้ดีๆ”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ก่อนตายอาจารย์เคยบอกข้าไว้ ให้ข้าฝึกบำเพ็ญเพียรในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้ดี มิใช่มามัวขีดเขียนสิ่งเหล่านี้”
“……” ซ่งเหยี่ยนชิงตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร “การฝึกบำเพ็ญเพียรมิใช่สิ่งที่จะทำได้ในวันสองวัน เขียนกลอนพวกนี้นิดหน่อยจะเปลืองเวลาสักเท่าไรกันเชียว”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยสีหน้าใสซื่อ “แต่จู่ๆ จะให้ข้าเขียนออกมา ข้านึกไม่ออกหรอก”
ซ่งเหยี่ยนชิงสะอึกพูดไม่ออก สุดท้ายกล่าวด้วยความจนปัญญา “อย่างไรเสียเจ้าก็อยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร ลองนึกดูดีๆ แล้วกัน นึกออกแล้วก็รีบเขียนทันที เอาไว้ข้าจะกลับมาดู” ขณะที่พูดก็ม้วนกระดาษที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง
หนิวโหย่วเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ “ศิษย์พี่ซ่ง อาจารย์ข้ากล่าวว่าพร่ำเขียนสิ่งไร้ค่าคือบัณฑิต เขียนสิ่งนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร?”
สายตาที่ก้มอยู่ของซ่งเหยี่ยนชิงเหลือบมองขึ้นมา แขนข้างหนึ่งยกขึ้นมาโอบไหล่หลิวโหย่วเต้า กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ข้าย่อมต้องมีหนทางให้ใช้มัน เจ้าพยายามนึกให้ออกแล้วรีบเขียนมันออกมาเถอะ ศิษย์พี่อย่างข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่ เออใช่ เรื่องนี้อย่าได้พูดกับผู้อื่น เข้าใจหรือไม่?” ท่าทางเหมือนจะบอกว่ามิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ
แต่หนิวโหย่วเต้ากลับทำท่าเหมือนไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ตอบไม่ตรงคำถามออกไปว่า “ศิษย์พี่ ข้าอยากฝึกวิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าอยากจะบินไปบินมาได้เหมือนพวกท่านเร็วๆ”
ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จัดการเรื่องราวที่ข้ามอบหมายให้ก่อนค่อยว่ากัน!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเจ้าอารมณ์แบบเด็กๆ “ศิษย์พี่ ข้าอุดอู้อยู่ที่นี่แล้วจิตใจสับสนวุ่นวาย ข้ารับรองไม่ได้หรอกนะว่าจะหลุดปากออกไปวันไหน”
ซ่งเหยี่ยนชิงพลันหรี่ตา เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเรียบๆ “ข้าเพียงรู้สึกว่าหากสามารถทำความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์ให้สำเร็จได้ในเร็ววัน ข้าก็จะสามารถสงบใจหวนนึกถึงโคลงกลอนที่อาจารย์เคยแต่งเหล่านั้นได้ แล้วก็หวังว่าจะสามารถทำภารกิจของศิษย์พี่ให้สำเร็จด้วยดีได้”
ซ่งเหยี่ยนชิงอดแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้ เพ่งพิศหนิวโหย่วเต้าจากหัวจรดเท้า นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน พบว่าศิษย์น้องเล็กที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้มีความน่าสนใจอยู่บ้าง มีวุฒิภาวะเกินวัย เวลานี้มาเจรจาเงื่อนไขกับตนแล้ว แต่จะว่าไป หากสิ่งที่ศิษย์น้องเล็กเขียนช่วยตนเอาใจศิษย์พี่หญิงได้จริงๆ ล่ะก็ การจะตอบตกลงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ฝึกบำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไรเล่า? เจ้าเด็กนี่มันก่อเรื่องวุ่นวายอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาสำคัญคือการจะให้ศิษย์น้องไร้ประโยชน์ผู้นี้บำเพ็ญเพียรหรือไม่นั้น เขาเองก็ตัดสินใจไม่ได้
แปะ! หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อย ซ่งเหยี่ยนชิงก็ตบไหล่หนิวโหย่วเต้า บีบไหล่เขาพลางกล่าว “ได้ ตกลงกันตามนี้ เรื่องฝึกบำเพ็ญเพียรข้าจะช่วยพูดให้เจ้า น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่หากสิ่งที่เจ้าเขียนทำให้ข้าพอใจไม่ได้ ข้ารับรองเลยว่าเจ้าจะไม่มีแม้กระทั่งโอกาสให้นึกเสียใจภายหลัง” ที่เขากล่าวมานั้นมิใช่คำโกหก เรื่องบางอย่างแม้เขาจะตัดสินใจเองไม่ได้ แต่ตระกูลซ่งมีอิทธิพลต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างมาก หากเขาคิดจะหาทางจริงๆ เรื่องการฝึกบำเพ็ญเพียรของหนิวโหย่วเต้าก็จัดการได้ไม่ยากเย็นอะไร
พูดจบ เขาก็ออกแรงผลักนิดๆ หนิวโหย่วเต้าล้มคะมำลงกับพื้นเสียงดังตึง คล้ายสุนัขกำลังกินอาจม
กระทั่งหนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นมา ซ่งเหยี่ยนชิงก็สาวเท้าจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่กัดฟันสูดปากด้วยความเจ็บปวดคลายสาบเสื้อออก มองไหล่ที่ถูกบีบเมื่อครู่นี้ มีรอยเขียวช้ำห้านิ้วประทับทิ้งเอาไว้ อีกฝ่ายจงใจสั่งสอนเขา เกือบจะบีบกระดูกไหล่เขาจนแตก บวมแดงเจ็บปวด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่เคยคิดหาเรื่องใส่ตัวด้วยการล่วงเกินซ่งเหยี่ยนชิงเลย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับรู้ถึงภูมิหลังของซ่งเหยียนชิงด้วยแล้ว แต่เขาฝ่าฝันความยากลำบากมาถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เพื่อสิ่งใดเล่า? ไม่ง่ายเลยกว่าจะคว้าโอกาสอันน้อยนิดนี้มาได้ เขาย่อมไม่อยากพลาดมันไป อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าอยากลองเสี่ยงเดิมพันออกมา…
สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในอดีตมีศิษย์นับหมื่น ยามนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ดังนันที่นี่จึงมีเรือนพำนักเหลืออยู่มากมาย
เมื่อกลับมาถึงเรือนของตน ซ่งเหยี่ยนชิงก็เข้าไปในห้องหนังสืออย่างอดใจรอแทบไม่ไหว หยิบเอาเครื่องเขียนออกมา ขณะเตรียมจะคัดลอกกลอนบทนั้นด้วยลายมือของตนเอง เขากลับงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย ลืมถามเลยว่ากลอนบทนี้ชื่ออะไร จึงตั้งชื่อตามใจตัวเอง
ช่วงพลบค่ำ ซ่งเหยี่ยนชิงไปเยือนหุบเขาอันเงียบสงบลูกหนึ่ง เมื่อพ้นหุบเขาก็เงยหน้ามองออกไป สายตาแน่วแน่ ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา
ณ เชิงเขาด้านหน้า หน้าหลุมศพใหม่เอี่ยมสองหลุมมีเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรร่างหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่เป็นเวลานาน มิใช่ใครอื่น เป็นถังอี๋
ถังมู่และตงกัวเฮ่าหรานสองศิษย์พี่น้องถูกฝังไว้ในหลุมศพทั้งสองหลุมนี้ จนถึงตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองกันแน่ แต่จากถ้อยคำของถังมู่ เรื่องที่เกิดขึ้นคงมิใช่เรื่องเล็ก พวกเขาดำเนินการตามคำสั่งเสียของถังมู่ จัดพิธีศพแบบลับๆ กระทั่งป้ายหลุมฝังศพทั้งสองก็มิได้สลักนาม
ซ่งเหยี่ยนชิงเพียงคาดเดาก็รู้ว่าถังอี๋ต้องอยู่ที่นี่ แล้วก็เป็นจริงดั่งว่า เขาจัดแจงเสื้อผ้า รีบสืบเท้าเดินเข้าไปหา เอ่ยเรียก “ศิษย์พี่หญิง” จากนั้นก็ทำความเคารพหลุมศพทั้งสองด้วยความเคารพนอบน้อม
กระทั่งซ่งเหยี่ยนชิงเคารพหลุมศพเสร็จเรียบร้อย ถังอี๋จึงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ศิษย์น้องซ่งมาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
“บทกลอนที่เขียนขึ้นครั้งก่อนไม่ต้องตาศิษย์พี่” ซ่งเหยี่ยนชิงที่หันหลังกลับมาประคองงานเขียนม้วนหนึ่งเอาไว้ด้วยสองมือ เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “ครั้งนี้จึงทุ่มเทความคิดแต่งกลอนอีกครั้ง ขอศิษย์พี่หญิงช่วยติชมชี้แนะอีกครั้งด้วย”
ถังอี๋รู้สึกหมดความอดทนกับการตอแยของเขาอยู่บ้าง นางไหนเลยจะไม่ทราบว่าซ่งเหยี่ยนชิงคิดอะไรอยู่ เรื่องราวสำมะเลเทเมาตามประสาลูกผู้ดีของซ่งเหยียนชิงในเมืองหลวงนางก็เคยได้ยินมาเช่นกัน แต่ตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต้องพึ่งพาตระกูลซ่ง ฝ่ายถังซู่ซู่ก็เอาแต่กำชับนางซ้ำๆ ว่าอย่าฉีกหน้าเขาจนทำให้ทุกคนเดือดร้อน ให้นางคำนึงถึงส่วนรวม มาตรว่าก่อนหน้านี้จะมีคนเคยต่อว่าเรื่องที่ตงกัวเฮ่าหรานคบหากับซางเจี้ยนปั๋วจนเดือดร้อนมาถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทว่าความจริงคือเมื่อหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วตายไป สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในตอนนี้ก็ไม่เหลือแม้กระทั่งอำนาจบารมีแห่งสุดท้ายแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม พวกเขาไม่อาจล่วงเกินตระกูลซ่งได้จริงๆ
นางได้แต่ข่มใจอดทนรับม้วนงานเขียนของซ่งเหยี่ยนชิงมาคลี่เปิด คราแรกมิได้ใส่ใจ ทว่าหลังจากอ่านเนื้อความที่เขียนไว้ทั้งหมด ริมฝีปากที่อวบอิ่มก็อดอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ อ่านออกเสียงออกมาว่า “วาตะทองน้ำค้างหยกได้พบพาน เลิศล้ำแดนมนุษย์มิอาจเทียบ…แม้นพรากจากห่างไกลไปแสนนาน แต่รักหวานยืนยงคงนิรันดร์…” อ่านทวนซ้ำอยู่สองสามครา สีหน้าท่าทีมีความลุ่มหลงอยู่หลายส่วน
ซ่งเหยี่ยนชิงที่คอยสังเกตสีหน้าอยู่ข้างๆ พอเห็นเช่นนี้ก็ปรีดานัก รู้ว่าทำให้หญิงสาวนางนี้หวั่นไหวได้แล้วจริงๆ
ปกติเขาไม่กล้าจ้องมองตรงๆ อย่างไร้มารยาท ทว่าครั้งนี้กลับฉวยโอกาสที่ถังอี๋ใจลอยขยับเข้าใกล้แล้วพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดเต็มสองตา ดวงหน้าลออเยือกเย็นแฝงความอ่อนหวาน ลำคอขาวกระจ่างเรียวงามดุจคอหงส์ เรือนร่างอรชรงามเย้ายวน โดยเฉพาะบุคลิกดุจเซียนพ้นโลกีย์เช่นนั้นช่างสง่างามยิ่ง ดั่งบัวงามพิสุทธิ์ดอกหนึ่งที่ชูช่ออยู่ท่ามกลางโลกโลกีย์ ความงดงามเช่นนี้มิใช่สิ่งที่หญิงสาวที่งดงามด้วยการแต่งแต้มประทินโฉมเหล่านั้นจะเทียบเคียงได้ และเป็นเพราะความงามนี้ เขาถึงยินดีอยู่ในป่าเขาแห่งนี้ มิเช่นนั้นเขาคงกลับเมืองหลวงอันรุ่งเรืองไปนานแล้ว ไหนเลยจะอดทนอยู่ในป่าเขาเงียบวังเวงแห่งนี้ได้ หากเขาอยากจะไปจริงๆ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ขวางเขาไม่ได้
หลังจากได้สติกลับมา นัยน์ตาที่ใสกระจ่างของถังอี๋ทอดมองลายมือบนกระดาษ เอ่ยถามว่า “นี่เป็นกลอนที่เจ้าแต่งหรือ?”
ซ่งเหยี่ยนชิงรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แต่ใคร่ครวญอยู่แวบหนึ่ง ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต้าก็ไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้ ต่อให้ข่าวแพร่ออกไปจนบัณฑิตตกยากคนนั้นรู้เข้า ก็สามารถปิดปากเขาได้อยู่ดี จึงยิ้มแล้วตอบว่า “ผลงานอันงุ่มง่ามของข้าทำให้ศิษย์พี่หญิงขบขันแล้ว”
ถังอี๋มองเขาด้วยความแปลกใจแวบหนึ่ง นิสัยเขาเป็นอย่างไรไยนางจะไม่รู้ สามารถแต่งกลอนเช่นนี้ออกมาได้สิถึงจะแปลก แต่เพื่อรักษาหน้าอีกฝ่ายจึงไม่ได้เปิดโปง ได้แต่พยักหน้ารับ เอ่ยชมว่ากลอนดี
ทั้งสองออกจากที่นี่พลางพูดคุยกันไปตลอดทาง เมื่อออกจากหุบเขาก็แยกย้ายกันไป สิ่งสำคัญคือถังอี๋ปฏิเสธไม่ให้ซ่งเหยี่ยนชิงไปส่ง
เมื่อถังอี๋กลับไปก็ให้คนไปสืบข่าว สืบดูว่าซ่งเหยี่ยนชิงได้รับสิ่งของจำพวกจดหมายอันใดบ้างหรือไม่ ผลคือไม่มีรายงานในด้านนี้เลย ทราบเพียงว่าซ่งเหยี่ยนชิงไปสวนดอกท้อมารอบหนึ่ง ถังอี๋พินิจตรึกตรองกลอนบทนั้นอีกครา นึกฉงนอยู่ในใจ หรือว่าบทกลอนนั้นจะเขียนขึ้นโดยคุณชายเสเพลผู้นั้นจริงๆ?
………
มวลเมฆบดบังจันทร์
ภายในสวนดอกท้อ หนิวโหย่วเต้านั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง สองคิ้วสั่นระริกไม่หยุด ภายในใจปั่นป่วนอย่างยิ่ง ทว่าภายในกายนั้นปั่นป่วนรุนแรงยิ่งกว่า ราวกับมีคลื่นพายุโหมกระหน่ำซัดสาด
เวลานี้ลมปราณในร่างเขาปั่นป่วนวุ่นวาย โกลาหลจนกระทั่งตัวเขาก็ยากจะควบคุมได้ ทั้งอวัยวะภายใน ทั้งแขนขาและในกระดูกคล้ายจะสั่งสมบางสิ่งบางอย่างเอาไว้จนเต็มอิ่มแล้ว เลือดเนื้อยากจะกักเก็บมันเอาไว้ได้อีก ปั่นป่วนอยู่ภายในร่างไม่หยุด ระส่ำระสายผันผวน เสมือนหมู่เมฆพลิกตลบไปมา
ตูม! สุดท้ายภายในร่างกายคล้ายมีเสียงสายฟ้าในจิตนาการดังกัมปนาทออกมา ทำเอาร่างกายและจิตใจสั่นไหว ท่ามกลางหมู่เมฆที่แปรปรวนปั่นป่วนคล้ายว่ามีสายฟ้าเส้นหนึ่งก่อตัวขึ้น หากจะพูดให้ถูกต้องล่ะก็ นั่นคือปราณแท้สายหนึ่ง!
ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นคล้ายคลึงกับปฏิกิริยาทางเคมี บนใบหน้าของหนิวโหย่วเต้าที่ยังคงหลับตาอยู่เผยให้เห็นสีหน้าตื่นเต้นออกมารางๆ
นึกไม่ถึงเลย นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่เหมือนกับชีวิตที่แล้ว ทั้งๆ ที่ฝึกเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ เหมือนกัน แต่ในชีวิตที่แล้วเขาเสียเวลาไปสามปีเต็มถึงจะกลั่นปราณแท้สายแรกได้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะฝึกสำเร็จได้ในเวลาไม่ถึงสองเดือน เห็นได้ชัดว่าปริมาณพลังวิญญาณของโลกนี้มีมากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้
ปราณแท้สายนี้อ่อนแอเปราะบาง แต่ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นก็เป็นเหมือนดั่งมังกรที่สูบกลืนเมฆหมอก บิดกายม้วนไปมาอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆอย่างมีชีวิตชีวา เมฆหมอกรอบข้างค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามารวมกัน ผ่านไปครู่หนึ่ง เมฆหมอกที่ปั่นป่วนอยู่ภายในร่างก็สลายหายไป ถูกปราณแท้สายนี้ดูดกลืนไปจนหมด
สูบกลืนเข้าไปมากมายปานนั้น ทว่าเจ้าปราณที่เล็กจ้อยบอบบางสายนี้ก็ไม่มีวี่แววจะเติบโตขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับคล้ายว่ามีกำลังวังชามากขึ้น พ่นกระแสปราณอันแกร่งกล้าออกมา เชื่อมประสานกับเลือดเนื้อของหนิวโหย่วเต้า หากปล่อยตัวไปตามสบาย ลมปราณถึงกับผุดซึมออกมาจากรูขุมขนได้เลยทีเดียว ขณะที่ลมปราณชนิดนี้แทรกซึมไปตามเลือดเนื้อ เห็นได้ชัดว่ามันช่วยเพิ่มพละกำลังและความกระปรี้กระเปร่าให้แก่กายเนื้อได้
ก่อนหน้านี้ที่รู้จักแต่เพียงฝึกการหายใจ ยังไม่สามารถฝึกฝนจนเกิดเป็นปราณแท้ออกมาได้ เขาสัมผัสถึงกระแสปราณที่ไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณไม่ได้เลย แต่พอปราณแท้ปรากฏ ภายในร่างกายก็มีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถรับรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจนเพิ่มขึ้นมา แม้นมันจะเป็นเพียงอากาศธาตุก็ตาม ซึ่งนี่ก็คือที่มาของสิ่งที่เรียกว่า ‘ปราณแท้’
มีแต่ต้องสัมผัสรับรู้ได้ถึงจะสามารถบังคับควบคุมได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะบงการควบคุมได้
หลังจากความปั่นป่วนวุ่นวายภายในร่างสงบลง หนิวโหย่วเต้าที่สีหน้ากลับคืนสู่สภาวะปกติจึงเริ่มควบคุมปราณแท้ให้ไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณ สำหรับขั้นตอนนี้ เขาควบคุมได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างไรก็ตามเส้นลมปราณของคนทั่วไปมีอยู่หลายตำแหน่งที่ชั่วชีวิตนี้ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากนัก ตอนที่คนเราเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา เส้นปราณทั่วทั้งร่างจะปลอดโปร่งไหลเวียนได้สะดวก ทว่าด้วยอิทธิพลของการดำเนินชีวิตหลังจากเติบโตขึ้น ทำให้เกิดเป็นสิ่งสกปรกสะสม เส้นลมปราณหลายตำแหน่งจึงอยู่ในสภาวะอุดตันหรือกึ่งอุดตัน เขาต้องเดินลมปราณทะลวงจุดอุดตันทั้งหมดเหล่านั้นเพื่อให้สะดวกต่อการโคจรลมปราณควบคุมร่างกายในอนาคต ขณะเดียวกันก็เป็นการสำรวจโครงสร้างเส้นลมปราณของตนไปด้วยว่าเหมาะสมต่อการฝึกบำเพ็ญเพียรหรือไม่
ขั้นตอนนี้เจ็บปวดอยู่บ้าง การที่ร่างกายที่ไม่ได้พบพานสิ่งแปลกปลอมมาเป็นเวลานานหลายปีต้องมาถูกรุกรานอย่างกะทันหัน เพียงแค่คิดก็น่าจะรู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบใด ทุกจุดที่ปราณแท้ไหลเวียนไปถึง ภายใต้การผลักดันชำระล้าง สิ่งที่ดูคล้ายคราบเลือดค่อยๆ ผุดซึมออกมาจากรูขุมขนเล็กๆ ภายในห้องมีกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นเน่าลอยฟุ้งจางๆ
…………………………………………………………….