ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 116 ออกหมัดช่วยเหลือคน
ตอนที่ 116 ออกหมัดช่วยเหลือคน
ณ แปลงผัก หลานรั่วถิงค่อยๆ เดินเข้ามา ยืนอยู่บนคันดินข้างแปลงผัก มองซางซูชิงที่กำลังพูดคุยกับเหล่าสมณะที่ปลูกผักอยู่ ซ้ำยังลงมือทำงานเองด้วย คล้ายว่ากำลังเรียนรู้วิธีปลูกผักอยู่
ไม่นานนักซางซูชิงก็มองเห็นเขาเช่นกัน นางเดินออกมาจากแปลงผัก หลังพบหน้ากันก็ถามว่า “ท่านอาจารย์มีเรื่องใดหรือ?”
“เมื่อครู่เพิ่งได้รับจดหมายจากเต้าเหยี่ยอีกฉบับพ่ะย่ะค่ะ” หลานรั่วถิงยิ้มพลางดึงจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ด้วยสองมือ
ซางซูชิงรับไป รีบเปิดอ่านอย่างอดรนทนไม่ไหว
แววตาหลานรั่วถิงวูบไหว คล้ายกำลังสังเกตปฏิกิริยาของซางซูชิงอย่างละเอียดอยู่
เมื่อซางซูชิงอ่านจดหมายจบก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หนิวโหย่วเต้าฝากจัดการเรื่องบางอย่างทางเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ให้รับผิดชอบติดต่อกับเฉินกุยซั่วอย่างลับๆ
พอมีเรื่องนี้ให้จัดการ นางก็วางใจแล้ว เพราะหมายความว่าหนิวโหย่วเต้ายังไม่คิดลาจากทางนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าสายตาของหลานรั่วถิงที่มองดูตนมีความแปลกพิกลเล็กน้อย นางจึงอดถามไม่ได้ว่า “ท่านอาจารย์มองอะไรหรือ?” นางยกมือลูบหน้าตนดู นึกว่ามีสิ่งสกปรกอันใดเปื้อนมาจากตอนอยู่ในแปลงผักเมื่อครู่นี้
หลานรั่วถิงรีบเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงเห็นว่าท่านหญิงกำลังเรียนปลูกผัก จึงแปลกใจเล็กน้อย”
ซางซูชิงยิ้มละไม ถึงแม้จะดูน่าเกลียดไปบ้างก็ตาม กล่าวตอบว่า “ข้าเห็นว่าผักที่พวกเขาปลูกคล้ายจะเติบโตได้ดีกว่าด้านนอก จึงตั้งใจมาขอคำชี้แนะดูสักหน่อย”
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หลานรั่วถิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ
……
ในป่าบนภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากมหานครจินโจวออกมา หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางปลดตะกร้าสานที่สะพายไว้บนบ่าลง หยิบอาวุธและสัมภาระที่บรรจุไว้ในตะกร้าออกมา ทั้งสองต่างสวมชุดชาวนาอยู่ กำลังเร่งผลัดเปลี่ยนอาภรณ์
ไม่ไกลนักมีคนจูงม้าสองตัวคอยท่าอยู่ ทั้งสองเก็บข้าวของเดินเข้าไปหา หลังจากยืนยันตัวตนกับคนจูงม้าแล้ว ทั้งคู่ก็ปีนขึ้นหลังม้า กระตุกบังเหียนพุ่งทะยานออกจากป่า
ส่วนเรื่องความร่วมมือระหว่างซางเฉาจงและไห่หรูเยวี่ย กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังทั้งสองฝ่ายล้วนตอบตกตกลงแล้ว คนของสำนักหยกสวรรค์และวังสวรรค์หมื่นวิมานนัดหมายพบปะกันแล้ว เมื่อเรื่องทางนี้ได้ข้อสรุป หนิวโหย่วก็ออกเดินทางทันที เตรียมไปจัดการเรื่องที่รับปากไห่หรูเยวี่ยไว้
พอเดินทางมาถึงเนินแห่งหนึ่ง ทั้งสองก็หยุดม้าตามๆ กัน บังคับม้าหันกลับไปมองมหานครอันใหญ่โตที่อยู่ไกลออกไปแห่งนั้น
“เต้าเหยี่ย ท่านจะช่วยขอผลตะวันชาดมาให้สตรีนางนั้นจริงๆ หรือขอรับ?” หยวนฟางลองถามดู
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วพลางย้อนถาม “เจ้าหมี ในสายตาเจ้า ข้าเป็นคนที่ไม่รักษาคำพูดหรือ?”
“ไม่ๆ ไม่ขอรับ เต้าเหยี่ย ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หยวนฟางสะบัดหน้าไปมา ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าไม่จำเป็นเลย ในเมื่อเจรจาเรื่องทุกอย่างกับนางสำเร็จแล้ว จะหาหรือไม่หาผลตะวันชาดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป อีกอย่าง ของที่แม้แต่ตัวนางยังเอามาไม่ได้ เกรงว่าพวกเราก็คงยากจะทำได้เช่นกัน” ความหมายในวาจาคือไฉนต้องไปให้เสียเวลาด้วย
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จะเอามาได้หรือไม่ได้มันก็เรื่องหนึ่ง ไปหรือไม่ไปเอามันก็อีกเรื่องหนึ่ง ทันทีที่เกิดศึกขึ้นในจังหวัดชิงซาน ท่านอ๋องดูเหมือนจะมีโอกาสได้ชัยสูงยิ่ง แต่ทุกเรื่องล้วนมีตัวแปรเสมอ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรผู้ใดจะรับประกันได้ เรื่องการศึกข้าไม่สันทัด แต่ในเมื่อพวกเจ้าติดตามข้าแล้ว ข้าก็ต้องรับผิดชอบพวกเจ้า ข้าต้องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้พวกเจ้า”
หยวนฟางลองคิดๆ ดู จึงเข้าใจความหมายของเขา เต้าเหยี่ยเตรียมมณฑลจินโจวไว้เป็นทางหนีทีไล่ จากนั้นพลันเอ่ยถามด้วยความตระหนกว่า “เต้าเหยี่ยขอรับ ถ้าจังหวัดชิงซานเกิดศึกขึ้น สมณะในวัดของข้าจะมีอันตรายหรือไม่ขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าบอกแล้วไง พวกเจ้าติดตามข้า ข้าจะรับผิดชอบดูแล เจ้าวางใจเถอะ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงพวกเขาอยู่ในคฤหาสน์บนเขา ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่ เจ้าลืมเส้นทางลับใต้คฤหาสน์ไปแล้วหรือ? จะมีคนจัดการพาพวกเขาอพยพออกมา”
“โอ้!” หยวนฟางโล่งอก และจากการที่หนิวโหย่วเต้าเตรียมมณฑลจินโจวไว้เป็นทางหนีทีไล่ก็ทำให้สังเกตเห็นถึงบางอย่างแล้ว เต้าเหยี่ยมิได้คิดจะปักหลักอยู่กับซางเฉาจงเพียงฝ่ายเดียว เขาจึงลองถามหยั่งเชิงดูอีกประโยคหนึ่ง “เต้าเหยี่ยขอรับ อันที่จริงพวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย มิสู้หลบหนีกันดีกว่า ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใดทั้งสิ้น มีอิสระเสรี”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากหรือ? ถ้าหากเจ้าสามารถปล่อยวางจากเรื่องที่จะสร้างวัดผุๆ อะไรนั่นได้จริง อะไรอะไรมันก็คุยกันง่าย หากทำไม่สำเร็จพวกเราก็แค่หนีไปซ่อนตัวซะ…ในใจเจ้าลิงมีปณิธานอันแรงกล้าอยู่ มักจะพูดอะไรเกี่ยวกับการทำสิ่งที่มีความหมายอยู่เสมอ มีแต่ต้องทำให้เขาไม่ได้พบเจอผู้คน มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะก่อเรื่องขึ้นอีก ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเข้าไปมีส่วนพัวพันกับเรื่องของคนอื่นอยู่ดี แต่จะให้ข้ากีดกันไม่ให้เขาได้พบปะผู้คนไปตลอดมันก็ทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ด้วยนิสัยของเขา ไม่มีทางที่เขาจะอยู่อย่างสันโดษไปตลอดได้ แล้วก็ยังมีปีศาจหมีอย่างเจ้าด้วย เป็นปีศาจดีๆ ไม่ชอบ เอาแต่อยากจะเป็นเจ้าอาวาสบ้าบออันใดนั่น ต้องการฟื้นฟูวัดหนานซานอะไรนั่นให้ได้ สนุกนักหรือ?”
หยวนฟางตอบเสียงอ่อน “ไม่เกี่ยวกับสนุกหรือไม่เลยขอรับ ก่อนเจ้าอาวาสจะมรณภาพ ข้ารับปากเขาไว้แล้ว”
หนิวโหย่วเต้าแค่นเสียงใส่ “ก็ใช่น่ะสิ เจ้าต้องการฟื้นฟูวัดหนานซาน แต่ถ้าสร้างวัดขึ้นมาแล้ว อาศัยเพียงกำลังของพวกเจ้า คิดหรือว่าจะอยู่รอดในโลกอันวุ่นวายนี้ได้? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเจ้าสร้างวัดใหญ่โตขึ้นมาจริงๆ อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ต้องปิดตัวลงแล้ว! พวกเจ้าแต่ละคน หากไม่มีอำนาจสนับสนุนเบื้องหลัง ก็คงจะเซ่อซ่ากันหมด คงจะรนหาที่ตายกันหมด! พวกเจ้าแต่ละคนล้วนทำตัวเองทั้งนั้น ต่างยึดมั่นในความเชื่อของตน แล้วข้าจะทำอย่างไรได้? สุดท้ายก็ต้องมีสักคนที่ต้องแบกรับภาระไว้ใช่ไหมล่ะ?”
หยวนฟางคล้ายจะตระหนักได้แล้ว “เต้าเหยี่ย เช่นนั้นพวกเราไปพึ่งพิงกลุ่มอิทธิพลสักแห่งที่มีอำนาจแข็งแกร่งไม่ดีกว่าหรือขอรับ?”
“ไปสวามิภักดิ์กลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งสักกลุ่มแล้วจะสบายใจหายห่วงได้เลยอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าจะมีผู้ใดอยากชุบเลี้ยงคนไร้ประโยชน์ไว้ล่ะ? ปลูกแตงก็ต้องได้แตง ปลูกถั่วก็ต้องได้ถั่ว…คุยเรื่องพวกนี้กับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ จะให้เจ้าสึกก็ไม่ได้อีก เจ้าคอยติดตามข้าอยู่อย่างนี้นี่แหละ! เจ้าเองก็ยังไม่เคยพบเห็นโลกกว้างมาก่อน ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการออกไปเปิดโลกแล้วกัน ไป!” หนิวโหย่วเต้าบังคับม้าหันหลังกับ สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้า ควบม้าออกไป
หยวนฟางรีบบังคับม้าไล่ตามไป
หลังจากทั้งสองเดินทางไปตามเส้นทางหลวงได้สักระยะก็หักเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นเล็กๆ ใช้เส้นทางเล็กที่ทำการกำหนดเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ตอนนี้พวกเขายังไม่กล้าใช้เส้นทางหลวงเพียงอย่างเดียว ด้วยกังวลว่าศัตรูจะดักรออยู่ระหว่างทาง เตรียมอ้อมไปให้สุดทางก่อนแล้วค่อยเข้าสู่เส้นทางหลวงอีกครั้ง
เป้าหมายคือภูเขาหิมะทางตอนเหนือในเขตแคว้นหาน หอหิมะเหมันต์!
ภายในป่าบนภูเขาอีกแห่งหนึ่ง ม้าสองตัวกำลังเล็มหญ้าอย่างสบายใจ
ห่างออกไปไม่ไกล หยวนกังเปลือยร่างกายท่อนบน กระดูกสันหลังเรียงเส้นคล้ายมังกร ยืนค้อมกายอยู่ตรงนั้น
เว่ยตัวถือท่อนไม้ไว้ กระหน่ำทุบตีรอบตัวหยวนกังอย่างคลุ้มคลั่งดังผัวะๆๆ
หลังเสร็จสิ้นการฝึก หยวนกังกระโดดลงไปล้างตัวในสระน้ำที่อยู่ด้านข้าง
ในการเดินทางครั้งนี้ ม้าไม่สามารถวิ่งโดยไม่หยุดได้ จำเป็นต้องหยุดพักบ้าง หยวนกังจะใช้เวลาในช่วงนี้ฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามทุกวัน
ทั้งสองเข้าเขตมณฑลจินโจวแล้ว เข้าใกล้ตัวเมืองมณฑลจินโจวไปเรื่อยๆ
……
ม่านราตรีเข้าปกคลุม จังหวัดกว่างอี้ ภายในจวนผู้ว่าการจังหวัด
พ่อบ้านโซ่วเหนียนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งให้ด้วยสองมือ “นายท่าน ทางสำนักหยกสวรรค์ส่งข่าวมาขอรับ”
เฟิ่งหลิงปอที่ทำงานอยู่บนโต๊ะเงยหน้าขึ้นพร้อมวางพู่กันลง รับมาเปิดอ่านทันที คิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน จ้องมองเนื้อหาในจดหมายอย่างเงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เผิงอวี้หลานยกน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา เห็นว่าสีหน้าของเฟิ่งหลิงปอผิดปกติ จึงวางถ้วยลงพลางเอ่ยถามว่า “เป็นอะไรไป?
เฟิ่งหลิงมือยื่นจดหมายให้นาง ให้นางอ่านเอาเอง
เผิงอวี้หลานงุนงงเล็กน้อย หลังจากรับมาอ่านดู ก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ให้พวกเราจัดเตรียมไพร่พลห้าหมื่นนายให้ซางเฉาจงภายในครึ่งเดือนอย่างนั้นหรือ? พื้นที่เล็กๆ อย่างอำเภอชางหลูจะเอาไพร่พลมากมายขนาดนั้นไปทำไม? ซ้ำยังต้องรวบรวมเสบียงอาหารตลอดจนอาหารม้ามากมายขนาดนี้ให้เขาด้วยหรือ? ทางจังหวัดชิงซานจะปล่อยให้ทหารม้ามากมายขนาดนี้ผ่านแดนไปได้อย่างไร?”
จากนั้นก็หันกลับไปถามโซ่วเหนียนต่อ “ทางรั่วหนานไม่ได้ส่งข่าวมาเลยหรือ? ทางอำเภอชางหลูมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่?”
โซ่วเหนียนส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “ไม่มีขอรับ นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของหนิวโหย่วเต้าก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดแล้วขอรับ”
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยเสียงขรึม “หรือนี่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าก่อขึ้นในมณฑลจินโจว?”
เผิงอวี้หลานอ่านจดหมายลับอีกครั้ง “ไม่ต้องเดาแล้ว ข้าจะส่งจดหมายไปถามท่านพ่อโดยตรงว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่” ท่านพ่อของนางก็คือเผิงโย่วไจ้เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักหยกสวรรค์
…..
กำแพงเมืองสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน มาถึงมหานครจินโจวแล้ว
กำแพงเมืองสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่หยวนกังเคยเห็นหลังจากข้ามภพมา เมื่อมาถึงประตูเมืองก็ลงจากม้าพร้อมกับเว่ยตัว หลังจากผ่านการตรวจสอบ ก็จูงม้าเดินตามกันเข้าเมืองไป
เวลานี้ยังไม่มีเวลาไปนั่งสนใจเรื่องความเจริญรุ่งเรืองภายในเมือง ตลอดทางพวกเขาไม่ได้กินอะไรให้อิ่มท้องเลย ทั้งสองจึงหาร้านแผงลอยข้างทางเติมท้องให้อิ่ม
พอผูกม้าไว้ เพิ่งนั่งลงในเพิงร้าน พลันมีเสียงอึกทึกแว่วมาจากถนนด้านหลัง ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งผ่านทางมา ด้านหน้ามีคนควบม้าคอยเปิดทางให้
ผู้คนที่สัญจรบนถนนพากันหลบทางให้ ทันใดนั้นคู่สามีภรรยาเจ้าของแผงลอยพลันตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ตะโกนขึ้นว่า “ยายหนู!”
ลูกสาวตัวน้อยของทั้งสองถือวอโถว[1]ลูกหนึ่งวิ่งออกไปไกล อยู่กลางถนนพอดี ไม่รู้ว่าควรจะเดินหน้าหรือถอยหลัง คล้ายค่อนข้างตระหนกตกใจ ส่วนม้าที่รับหน้าที่เปิดทางก็พุ่งเข้ามา
หยวนกังพลันกระโจนออกไป พุ่งเข้าไปหาในทันใด เหวี่ยงแขนออกไปอุ้มเด็กน้อยออกมา
คนที่ควบม้าอยู่คล้ายจะตกใจเช่นกัน รีบดึงบังเหียนหยุดม้าทันที ม้าที่ถูกรั้งบังเหียนส่งเสียงร้องพลางยกขาหน้าขึ้น จากนั้นเหวี่ยงแส้ใส่หยวนกังที่หันหลังเดินออกไป ตะคอกด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวนิดๆ “ยังไม่หลบทางไปอีก!”
หยวนกังพลิกมือคว้าแส้ที่ฟาดเข้ามาพลางออกแรงกระชาก
แส้ในมือคนที่อยู่บนหลังม้าหลุดจากมือไปทันที ลอยไปตกบนหลังคาเรือนที่อยู่ด้านข้าง
หยวนกังไม่ปริปากเลยสักคำ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันหลังสืบเท้าเดินต่อ เดินไปทางร้านแผงลอยร้านนั้น
สามีภรรยาเจ้าของร้านวิ่งเข้ามารับด้วยความตื่นตระหนก
ทว่าคนที่อยู่บนหลังม้ากลับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ควบม้าตรงเข้ามา พุ่งเข้าใส่หยวนกัง
คู่สามีภรรยาที่รับตัวแม่หนูไปตกตะลึง มองเห็นม้าศึกพุ่งเข้ามา ฝ่ายภรรยากรีดร้องด้วยความตกใจ
เว่ยตัวลุกขึ้นมาทันที ทว่ากลับมองเห็นหยวนกังหมุนตัวกลับไป จากนั้นบิดร่างกาย ง้างแขน เหวี่ยงหมัดชกออกไป ผัวะ! หมัดทรงพลังชกลงบนหน้าอาชาที่พุ่งเข้ามาอย่างเต็มแรง
“ฮี้!” ม้าศึกร้องโหยหวน ทั้งคนทั้งม้าพลิกล้มลงไปด้านข้าง กระแทกลงบนถนน
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าชาวบ้านที่อยู่สองฟากถนนแตกตื่นตกใจ สำหรับคนทั่วไปแล้ว การล้มม้าศึกตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาด้วยหมัดเดียวเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
อย่าว่าแต่คนอื่นแล้ว แม้แต่เว่ยตัวก็แอบตกใจในพละกำลังของหยวนกังเช่นกัน กระดูกของคนผู้นี้ช่างแข็งยิ่งนัก!
ไห่หรูเยวี่ยที่นั่งอยู่ในรถม้ามองเหตุการณ์บนท้องถนนผ่านผ้าม่านที่กั้นไว้
พลันมีผู้บำเพ็ญเพียรปรากฏตัวขึ้นสองด้านของรถม้า ไห่หรูเยวี่ยที่อยู่ในรถม้าเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ช่างเถอะ”
คนที่อยู่นอกรถม้าถ่ายทอดคำสั่งออกไปทันที
ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่เพิ่งร่อนลงตรงหน้าหยวนกังมองหยวนกังอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง พร้อมกับมองเว่ยตัวที่ปราดเข้ามาอยู่ข้างกายหยวนกัง ก่อนจะหันหลังเหินกายกลับไป
ขบวนม้าเดินทางต่อ ส่วนแม่หนูน้อยตกใจจนร้องไห้จ้า
หยวนกังก้มลงหยิบวอโถวที่หล่นบนพื้นขึ้นมา เป่าฝุ่นที่อยู่บนนั้น บิบางส่วนที่สกปรกออก ยัดกลับเข้ามือเด็กน้อย ลูบหัวเด็กน้อย เด็กน้อยกัดเข้าปากทันที มองเขาทั้งน้ำตา หยุดร้องไห้ในทันใด
ส่วนรถม้าที่เคลื่อนผ่านไป หยวนกังที่ยืนนิ่งอย่างทระนงไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ
ทว่าไห่หรูเยวี่ยที่อยู่ในรถม้ากลับเห็นเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ถึงขนาดหน้าหันมองดูผ่านหน้าต่างด้านข้าง กระทั่งพ้นระยะสายตาแล้วถึงได้เลิกมอง
……………………………………………………….
[1] เป็นขนมปังนึ่งชนิดหนึ่งของจีน ทำจากแป้งข้าวโพด บางครั้งก็ผสมธัญพืชต่างๆ เข้าไปด้วย นิยมทำเป็นรูปทรงคล้ายรังนก