ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 123 ต่อไปก็ติดตามข้าเถอะ
ตอนที่ 123 ต่อไปก็ติดตามข้าเถอะ
พอทางนี้พูดจาไม่รับผิดชอบ
เสียงร้องไห้ตรงมุมห้องก็ยิ่งโหยหวน
หยวนฟางเบะปาก เงินก็คืนเจ้าไปแล้ว เรื่องงานก็ตกลงแล้ว ทำไมยังร้องไห้แบบนี้อีก? ท่าทางไม่เหมือนร้องไห้เพราะดีใจ แต่ก็ดูไม่เหมือนร้องไห้เพราะความคับข้องใจเช่นกัน น้ำตาของความดีใจกับน้ำตาจากความคับข้องใจไหนเลยจะร่ำไห้ดุจใจสลายได้ขนาดนี้
หยวนฟางไม่ค่อยเข้าใจ เขาขยับเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย สตรีนางนี้ไม่ปกติหรือเปล่าขอรับ?”
“ไม่ต้องสนใจนาง กับข้าวเย็นแล้ว รีบกินเถอะ” หนิวโหย่วเต้าส่งสัญญาณให้เล็กน้อย ไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งมากนัก
หยวนฟางมองซ้ายมองขวา จากนั้นนั่งลงไป ทั้งสองถือตะเกียบไว้คนละคู่ ตั้งหน้าตั้งตากินอาหาร
ในความรู้สึกของหยวนฟาง สุราอาหารไม่เลวเลย เพียงแต่การที่มีคนมาร้องไห้อยู่ข้างๆ เช่นนี้ มันให้ความรู้สึกแปลกพิลึกนัก เป็นครั้งแรกที่ต้องกินข้าวพร้อมกับฟังคนร้องไห้ไปด้วย ปกติแล้วมิใช่ว่าต้องกินข้าวเคล้าเสียงดนตรีหรอกหรือ?
ทั้งสองคนไม่สนใจเฮยหมู่ตาน แล้วก็มิได้พูดปลอบโยนอันใดเลย ปล่อยให้นางซุกตัวร้องไห้อยู่ตรงมุมห้องคนเดียว
การร้องไห้ครั้งนี้ ร้องอยู่นานพอสมควร ความรู้สึกขมขื่นที่เก็บกดมาเป็นเวลานานหลายปีถูกระบายออกมา เสียงร่ำไห้ค่อยๆ แผ่วเบาลง ค่อยๆ เลือนหายไป
เฮยหมู่ตานที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ตรงมุมห้องเป็นระยะๆ เช็ดน้ำตาออก ในที่สุดก็ลุกขึ้นมา จ้องมองคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตากินอาหาร ทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห กล่าวโทษตัวเองอยู่ในใจ ทำไมต้องร้องไห้ต่อหน้าพวกเขาด้วยนะ? แต่ความรู้สึกเมื่อครู่ประหลาดนัก นางควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
พอสงบสติอารมณ์ได้ เฮยหมู่ตานจึงเดินเข้าไปหา
ทั้งสองหันมามอง หยวนฟางเบะปาก พบว่าเต้าเหยี่ยกล่าวไว้ไม่ผิดเลย สตรีสร้างขึ้นจากน้ำจริงๆ ด้วย คิดไม่ถึงว่าจะร้องไห้จนเสื้อผ้าเปียกชื้นเป็นวงกว้าง
เฮยหมู่ตานกระอักกระอ่วน แต่พริบตาเดียวก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งลงข้างโต๊ะอย่างสง่าผ่าเผย ตบใบเสร็จที่อยู่ในมือลงไปบนโต๊ะ ดันไปไว้ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า “ความสามารถมีจำกัด หาให้มากกว่านี้ไม่ได้ ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ขออย่าได้รังเกียจ”
หนิวโหย่วเต้าแสดงสีหน้าล้อเลียน เอ่ยด้วยสายตาแปลกๆ “ข้าจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร?”
เฮยหมู่ตานเข้าใจเจตนาของเขา แรกเริ่มเป็นนางเสนอตัวจ่ายให้เอง ต่อมาเจรจาไม่สำเร็จก็ข่มขู่ทวงคืน ตอนนี้ดันกลับมาเสนอให้อีก ไม่ว่าอย่างไรก็น่ากระอักกระอ่วนนัก นางเอ่ยอย่างประดักประเดิดว่า “ครั้งนี้มอบให้ด้วยใจจริง”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ คร้านจะเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาอีก พยักเพยิดหน้าไปทางหยวนฟางแทน
ด้วยเหตุนี้เฮยหมู่ตานจึงวางใบเสร็จไว้ตรงหน้าหยวนฟางอีกครั้ง
หยวนฟางไม่เกรงใจ เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับเงินทอง รับไปอย่างมีความสุข ยิ้มหน้าบาน พบว่าไปๆ มาๆ สุดท้ายก็วนกลับมาเข้ากระเป๋าตนอยู่ดี
เฮยหมู่ตานเสนอตัวรินสุราให้หนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เมื่อผ่านสถานการณ์น่าอึดอัดที่ถูกปั่นหัวอย่างหนักมาได้ ตอนนี้นางกลับรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว ไร้ทุกข์ไร้สุข กระทั่งตัวนางก็ไม่ทราบเช่นกันว่านานแค่ไหนแล้วที่ตนไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้ นางทราบดีว่ามิได้มีสาเหตุมาจากการที่อีกฝ่ายยอมช่วยเหลือตนเองเท่านั้น ต่อให้ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ให้ความช่วยเหลือนาง นางรู้สึกว่าตนก็คงไม่รู้สึกโกรธอยู่ดี ตนคงจะเดินจากไปอย่างสงบ ความรู้สึกเช่นนี้แม้แต่ตัวนางเองก็อธิบายได้ไม่กระจ่างเช่นกัน
สรุปแล้วคือจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้บุรุษที่อยู่ตรงหน้าจะเคยกลั่นแกล้งนาง แต่นางกลับรับรู้ถึงความรู้สึกปลอดภัยบางอย่างจากตัวเขาได้อย่างแปลกประหลาด นางบอกไม่ได้เช่นกันว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน เพียงรู้สึกว่าชายคนนี้ชั่วร้ายยิ่งนัก แต่ถึงจะชั่วร้าย ทว่าเป็นความชั่วร้ายที่ทำให้รู้สึกสบายใจ มีเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
ความหวั่นวิตกที่พัวพันอยู่ในใจเสมือนเงาตามตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพลันสลายหายไปในทันใด
หนิวโหย่วเต้าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเอ่ยถาม “ที่นี่น่าจะมีคนที่อยากก่อตั้งสำนักอยู่ไม่น้อยเลยกระมัง? เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่จับกลุ่มรวบรวมเงินมาก่อตั้งสำนักสักแห่งร่วมกันเล่า?”
เฮยหมู่ตานถอนหายใจ “เคยมีความคิดแบบนี้เช่นกัน แต่คนมากไปภัยที่แฝงเร้นก็มากตาม หลังก่อตั้งสำนักสำเร็จ ผู้ใดจะขึ้นเป็นเจ้าสำนัก? ผู้ใดจะรับหน้าที่ควบคุม? ไม่มีทางเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ไม่นานก็จะเกิดความขัดแย้งภายในขึ้น หากก่อเรื่องอันใดขึ้นภายนอก ทั้งสำนักก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว ทั้งยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในกลุ่มต่างไม่มีใครไว้ใจใคร ไม่นานก็จะเกิดความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ขึ้น จากนั้นในสำนักจะมีการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจโดยไม่เลือกวิธี เข่นฆ่ากันเอง ไม่มีทางที่จะไปแข่งขันกับสำนักอื่นๆ ได้เลย สุดท้ายก็จะถูกสำนักอื่นกำจัดทิ้งได้ง่ายๆ”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ สื่อว่าเข้าใจแล้ว
เฮยหมู่ตานถามด้วยความลังเล “เต้าเหยี่ย ไม่ทราบว่าท่านจะขอให้สำนักไหนมาช่วยแนะนำและให้การรับรองพวกเรา แล้วจะเริ่มเมื่อไรหรือ? พวกเราจะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า… พรรคพวกยังคอยข้าอยู่ด้านนอก ข้าจะได้ให้คำตอบพวกเขาได้”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “การเสาะหาสำนักมาช่วยแนะนำและให้การรับรองสำคัญด้วยหรือ?”
“….”เฮยหมู่ตานตะลึงงัน ไหนเลยจะไม่สำคัญ?
หนิวโหย่วเต้ามองนางพลางกล่าวว่า “วิสัยทัศน์ต้องยาวไกล อย่าเอาแต่จับจ้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ยอมปล่อยวาง”
“……” เฮยหมู่ตานมีสีหน้าฉงน ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ต่อไปก็ติดตามข้าเถอะ เมื่อสมควรจัดการข้าจะจัดการให้”
เมื่อเห็นนางลังเล เขาจึงเอ่ยเสริมว่า “มีปัญหาหรือ?”
เฮยหมู่ตานลังเลเล็กน้อย ต่อมาคล้ายจะตัดสินใจได้แล้ว พยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจ้าค่ะ!”
หนิวโหย่วเต้ายกจอกสุราขึ้นมาอีกครั้ง จิบเข้าไปอึกหนึ่ง “ข้างนอกยังมีพรรคพวกของเจ้าอีกกี่คน? เป็นหญิงหรือชาย?”
เฮยหมู่ตานเอ่ยตอบ “สามคน เป็นบุรุษทั้งสิ้น”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “ไว้ใจได้หรือไม่?”
เฮยหมู่ตันกล่าวตอบ “เรื่องนี้เต้าเหยี่ยวางใจได้เลย ไว้ใจได้แน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่อยู่ด้วยกันมานานหลายปีเช่นนี้”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าจะถามเจ้าเพียงคำเดียว เจ้าคุมพวกเขาอยู่หรือไม่?”
เฮยหมู่ตานตอบด้วยความลังเล “ก็ไม่มีอะไรต้องควบคุม แต่คำพูดของข้ายังคงมีน้ำหนักอยู่”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากมีคนเดียว ข้าสามารถสื่อสารสั่งการเป็นรายบุคคลได้ อย่างเช่นตอนที่คุยกับเจ้าก่อนหน้านี้ แต่หากมีคนมากขึ้น ข้าไม่มีกำลังมากพอจะไปจัดการทีละคนได้ มีคนมากย่อมต้องตั้งกฎเกณฑ์! เจ้าจงฟังไว้ คนที่ไว้ใจไม่ได้ คนที่ทำให้เจ้าคลางแคลง รีบเตะโด่งไปให้พ้นจากข้า ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้า แล้วก็เพื่อประโยชน์ของพวกเขาด้วย มิเช่นนั้นหากวันหน้าเกิดอะไรขึ้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ พอถึงเวลาพวกเขารับไม่ไหว เจ้าก็ต้องลำบากใจเช่นกัน ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่า คนที่ไม่เหมาะสม ถือโอกาสตอนนี้จัดการให้เรียบร้อย ลาจากกันด้วยดีเถอะ เฮยหมู่ตาน ข้าพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น!”
เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้จริงๆ ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรขึ้น มิเช่นนั้นสตรีตัวคนเดียวอย่างข้าคงไม่มีทางอยู่ร่วมกับพวกเขามาได้นานหลายปีเช่นนี้”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตกลง ในเมื่อเจ้าว่ามาเช่นนี้ ข้าเชื่อเจ้า! แต่เจ้าจะต้องรับผิดชอบคำพูดของตน วันหน้าข้าไม่อยากได้ยินคำพูดแปลกประหลาดเหลวไหลอันใด เจ้าต้องคุมคนของตนให้ดี”
เฮยหมู่ตันพบว่าคนผู้นี้มีระเบียบยิ่งนัก แต่นี่กลับทำให้นางมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม นางพยักหน้ารับคำ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“มอบตั๋วแลกทองให้นาง สี่พัน” หนิวโหย่วเต้าชี้สั่งหยวนฟาง สื่อว่ามอบว่าให้เฮยหมู่ตาน
เฮยหมู่ตานและหยวนฟางตกตะลึงไปพร้อมกัน หยวนฟางอิดออดเล็กน้อย แต่สุดท้ายยังคงจัดการตามที่สั่ง ดันตั๋วแลกทองมูลค่าพันเหรียญทองสี่ใบไปไว้ตรงหน้าเฮยหมู่ตาน
เฮยหมู่ตานถามด้วยความฉงน “เต้าเหยี่ย นี่คือ?”
“คนละใบ อย่าให้ทุกคนต้องทนหนาวอยู่ด้านนอกเลย เรียกเข้ามาพักให้หมด” หนิวโหย่วเต้าโบกมือ ให้นางไปจัดการทันที
ในมุมมองของเขา ถ้าอยากซื้อใจคน จะอาศัยแค่ฝีปากไม่ได้ ต้องแสดงอำนาจให้ประจักษ์ด้วย กำลังทรัพย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจเช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่ควรใช้ก็ต้องใช้
เฮยหมู่ตานส่ายหน้าปฏิเสธ “เต้าเหยี่ย ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ถึงแม้พวกเราจะไม่มีเงินมากมายอะไร แต่ถ้าพักแค่ไม่กี่วัน พวกเราก็ยังพอจ่ายไหวอยู่”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเผด็จการว่า “ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ ข้าให้เจ้าทำอย่างไร เจ้าก็ไปจัดการตามนั้น”
เฮยหมู่ตานจึงทำได้เพียงยื่นมือออกไปหยิบตั๋วแลกทองแล้วลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เจ้าค่ะ ข้าจะจัดการให้พวกเขาเข้ามา” กล่าวจบก็รีบหันหลังก้าวจากไป
ขณะที่เปิดประตู ภายในหัวพลันคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเกือบจะตอบรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายไปแล้ว แอบรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่อยากให้ต่อไปตัวเองต้องมานั่งหวั่นใจเพราะเรื่องนี้ จึงหันหลังกลับไปเอ่ยหยอกล้อในทันใด “เต้าเหยี่ย หากท่านต้องการให้ข้าหลับนอนกับท่านสักคืนจริงๆ วันนี้ข้าจะยอมทุ่มสุดตัว อีกเดี๋ยวข้าค่อยมาหาท่านดีไหมเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้ากลอกตาใส่ทีหนึ่ง “ข้าชมชอบสีขาว ไม่สนใจสีดำ ไปซะ!”
เฮยหมู่ตานหัวเราะคิกคัก เปิดประตูออกไป
ทันทีที่นางออกไป หยวนฟางก็เริ่มกล่าวงึมงำ คำนวณตัวเลขขึ้นมา “รับมาหนึ่งพันแปดร้อย จ่ายออกไปสี่พัน ขาดทุนสองพันสองร้อย เต้าเหยี่ย จะเอาสตรีเช่นนี้ไปทำประโยชน์อันใดได้ขอรับ อีกอย่างท่านก็ไม่ได้คิดจะหลับนอนกับนางด้วย” เห็นได้ชัดว่าเขายังคงปวดใจกับจำนวนเงินที่เสียไป
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักกลุ่มหนึ่ง สตรีตัวคนเดียวสามารถคุมบุรุษทั้งกลุ่มได้ นับว่าสตรีนางนี้มีความสามารถอยู่บ้าง หากมิใช่สตรี ข้าคงคร้านจะสนใจนาง เรื่องบางอย่างสตรีจัดการได้สะดวกกว่าบุรุษ ข้างกายข้าจำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยช่วยงาน สตรีนางนี้ใช้การได้!”
เฮยหมู่ตานเดินผ่านประตูออกไปด้วยฝีเท้าเบาหวิวว่องไว สบายใจผ่อนคลายไปทั้งร่าง รู้สึกว่ารูขุมขนทั้งหมดในร่างกำลังสูดหายใจอย่างอิสระผ่อนคลาย ปลอดโปร่งทั้งกายใจอย่างแท้จริง อดไม่ได้ที่จะกางสองแขนออกอย่างมีความสุข ราวกับวิหคกางปีกโผบิน
ทันทีที่นางออกมาจากโรงเตี๊ยม พรรคพวกอีกสามคนที่เฝ้ารออยู่ก็ล้อมวงเข้ามาหาทันที
มีคนหนึ่งสังเกตเห็นความผิดปกติ “ลูกพี่ ท่านร้องไห้มาหรือ?”
เฮยหมู่ตานหัวเราะฮ่าๆ “น้ำตาแห่งความสุขน่ะ”
ทั้งสามคนสบตากันทันทีด้วยความแปลกใจ ล้วนฟังความหมายแฝงในวาจานี้ออก น่าจะเจรจาสำเร็จแล้ว
เฮยหมู่ตานกวักมือ พาทั้งสามคนไปยังที่ลับตาคนอีกครั้ง เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตอนนี้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องก่อตั้งสำนักแล้ว”
“ห๊า!” ทั้งสามตกตะลึง มีคนหนึ่งถามขึ้นมา “ลูกพี่ หมายความว่าอย่างไร?”
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ข้าพูดชัดเจนแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องก่อตั้งสำนักแล้ว ข้าเตรียมจะติดตามเขาไป ส่วนพวกเจ้าผู้ใดอยากไปด้วยก็ตามมา หากไม่อยากไปด้วยข้าก็ไม่บังคับฝืนใจ คนที่ยินดีไปให้เอาของมีค่าในตัวออกมาให้คนที่ไม่ยินดีไป พวกเราจากกันด้วยดี ไม่มีใครบังคับฝืนใจใคร”
มีคนหนึ่งถามทันที “ลูกพี่ คนผู้นี้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่มากเลยหรือ?” ความหมายในวาจาชัดเจนยิ่ง หากไม่เป็นเช่นนี้ ท่านจะยอมตกลงไปกับอีกฝ่ายได้อย่างไร
เฮยหมู่ตานส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยังไม่ทราบภูมิหลังอันใด พูดไปพวกเจ้าก็คงไม่เชื่อ จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่รู้แม้กระทั่งฐานะตัวตนของเขาเลยด้วยซ้ำ” กล่าวจบก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นึกสงสัยว่าตนบ้าไปแล้วใช่หรือเปล่า ถูกอีกฝ่ายหลอกล่อชักจูงด้วยคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค คิดไม่ถึงว่าตนกลับตกลงติดตามอีกฝ่ายไปง่ายๆ ตนยังใช่เฮยหมู่ตานคนเดิมอยู่หรือไม่?
แต่นางกลับรู้สึกว่าความโง่เขลาครั้งนี้ช่างปลอดโปร่งโล่งใจยิ่งนัก ไม่เคยปลอดโปร่งโล่งใจเช่นนี้มาก่อนเลย ต่อให้คราวนี้จะถูกหลอกลวงพลาดท่าก็นับว่าตนเป็นคนเลือกเอง แล้วก็เต็มใจยอมรับผลที่จะตามมา
“นี่…นี่…”
ทั้งสามคนรู้สึกว่าวันนี้นางบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ วันนี้แสดงพฤติกรรมบ้าบอออกมาอย่างต่อเนื่อง มาไถเงินพวกเขาไปเสนอจ่ายค่าเช่าครึ่งปีให้อีกฝ่าย ซ้ำยังช่วยจัดเตรียมสุราอาหารชั้นดีให้ด้วย ตอนนี้แม้กระทั่งปณิธานที่ทุกคนมานะยืนหยัดกันมานานหลายปีก็ยังละทิ้งได้ กระทั่งอีกฝ่ายเป็นใครก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังตัดสินใจไปกับเขาเสียได้
มีคนหนึ่งถามหยั่งเชิงว่า “ข้าว่านะลูกพี่ คงไม่ใช่ว่าท่านถูกใจเขาเข้าแล้วกระมัง?”
เฮยหมู่ตานร้องด่าทันที “หุบปากพล่อยๆ ของเจ้าซะ! อย่าพูดเหลวไหล จะไปหรือจะอยู่ตอบมาเร็วๆ ถ้าพวกเจ้าไม่มีใครไป ข้าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็อยู่กันต่อไป ข้าจะไปกับเขาคนเดียว!”
……………………………………………………………………..