ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 124 คิดจะทำอะไร
ตอนที่ 124 คิดจะทำอะไร
ทั้งสามมองหน้ากัน สุดท้ายยังคงคิดว่าเฮยหมู่ตานน่าจะไม่หลอกพวกเขาแน่
ด้วยความไว้วางใจในตัวเฮยหมู่ตาน ทั้งสามคนทยอยให้คำตอบด้วยความลังเล ล้วนตกลงอยู่ต่อทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดจากไป
พวกพ้องอยู่กันครบทุกคน เฮยหมู่ตานมีความสุขยิ่ง หยิบตั๋วแลกทองสี่ใบออกมา แบ่งกันไปคนละใบ
ทั้งสามคนรับไปมองแวบหนึ่ง ย่อมแปลกใจเป็นธรรมดา “ลูกพี่ หมายความว่าอย่างไร?”
“เขาให้มา ไม่ต้องการให้พวกเราทนหนาวเฝ้าอยู่ด้านนอกอีก ให้เข้าไปพักข้างในทั้งหมด” เฮยหมู่ตานหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยต่อว่า “เห็นหรือยังล่ะ ต่อไปพวกเราก็จะเป็นคนที่เข้านอกออกในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ได้แล้วเช่นกัน”
พวกเขาเทียบมูลค่าตั๋วแลกทองของกันและกันดู พบว่าได้รับหนึ่งพันเหรียญทองเหมือนกันหมด
“ฮ้า!” มีคนร้องออกมาด้วยความยินดี “ใจกว้างจริงๆ เลย! ลูกพี่ ท่านนี่ร้ายนักนะ เมื่อครู่ทดสอบพวกเราอยู่กระมัง!”
เฮยหมู่ตานเลิกคิ้วพลางกล่าวว่า “ทดสอบบ้าบออันใด หลายปีมานี้ ข้าเป็นคนแบบไหนพวกเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?มิใช่ว่าข้าจงใจมาทดสอบพวกเจ้า แต่เป็นกฎที่เขาตั้งขึ้นมา ที่เขาว่ามาก็ถูกต้องแล้ว หากใจไม่ตรงกันก็อย่าลงเรือลำเดียวกันเลย จะได้ไม่ต้องอึดอัดคับข้องใจกัน”
นางกวาดตามองทั้งสาม “มีคำพูดไม่น่าฟังบางอย่างที่ข้าต้องกล่าวไว้ก่อน การรับเงินนี้ไว้หมายความว่าอย่างไรข้าคงไม่ต้องพูดมากอีก คนเขาไม่มีทางมอบผลประโยชน์ให้เปล่าๆ แล้วก็ไม่มีผู้ใดอยากชุบเลี้ยงคนเกียจคร้านด้วย ใต้หล้านี้มีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักมากมาย ตัวเลือกของเขาไม่ได้มีเพียงพวกเรา เขาก็มีกฎระเบียบของเขาอยู่ ในเมื่อติดตามเขาแล้ว เรื่องราวในภายหน้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเราอีก สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ สิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด ทุกคนต้องมีไหวพริบให้มากขึ้น”
“อีกฝ่ายพูดจาเผื่อทางถอย ไม่ยอมเปิดเผยภูมิหลัง เขาเป็นใครมาจากไหนข้าไม่รู้จริงๆ นี่เป็นความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาล้วนๆ ทุกคนอยู่ด้วยกันมานานหลายปี ข้าเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องหลอกลวงพวกเจ้า เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างไม่ใช่คนโง่ ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายหลักเหตุผลอะไรให้มากความอีก หากตอนนี้นึกเสียใจขึ้นมาก็ยังถอนตัวทัน ทุกคนพิจารณาให้ถี่ถ้วนเถอะ คนที่ไม่ยินยอม ให้ถือว่าเป็นความผิดของข้า หากมีโอกาสจะชดเชยให้อีก เงินในมือของทุกคนข้าจะยกให้คนคนนั้นทั้งหมด ภารกิจที่ทำสำเร็จแล้วสามสิบรายการนั่นก็จะมอบให้ด้วย หากยอมรับเงื่อนไขได้ก็อยู่ ยอมรับไม่ได้ก็ไป ระหว่างพวกเราพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ทั้งสามคนนับว่ามองออกแล้ว วันนี้ลูกพี่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจริงๆ
ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น เพราะไว้วางใจนาง พวกเขายังคงตัดสินใจไปกับนาง
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เฮยหมู่ตานมีความสุขยิ่งนัก เหตุผลก็ง่ายมาก หากมีคนไม่ยินยอม นางจะรู้สึกผิดในใจ ทุกคนยืนหยัดฝ่าฟันกันมานานหลายปี การล้มเลิกความตั้งใจของนางย่อมต้องถือเป็นการทำให้คนที่ถอนตัวไปเสียเวลา
แต่ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน เฮยหมู่ตานจึงโบกมือตะโกนอย่างร่าเริงว่า “ทำตามที่เขาสั่ง เข้าไปพักด้านในกัน ไป!”
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ด้วยกัน พอเสี่ยวเอ้อเห็นพวกเขาก็เข้ามาขวางไว้ทันที ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยถามเฮยหมู่ตาน “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เฮยหมู่ตานกล่าวด้วยความมั่นใจ “พวกเขาก็จะเช่าห้องพักเหมือนกัน ไม่ได้หรือ?”
นางไม่สนใจเสี่ยวเอ้อ พาพวกพ้องเดินตรงไปที่โต๊ะเก็บเงิน จ่ายเงินเช่าห้องอีกสองห้อง ซ้ำนางยังขอเปลี่ยนห้อง ขอย้ายไปอยู่ติดกับหนิวโหย่วเต้า
หลังจากตามเสี่ยวเอ้อไปดูห้องพักแล้ว เฮยหมู่ตานก็พาคนทั้งสามไปคารวะหนิวโหย่วเต้า
นางเคาะประตู พอเห็นหยวนฟางเปิดประตูออกมา เฮยหมู่ตานยิ้มแล้วกล่าวว่า “จะพาพวกเขามาแนะนำตัวกับเต้าเหยี่ยสักหน่อย”
หยวนฟางกลับเข้าไปสอบถามเล็กน้อย หลังจากได้รับคำตอบ ก็เดินกลับมาแจ้งที่ประตู “เต้าเหยี่ยบอกว่าดึกแล้ว วันนี้ไม่พบแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงไม่ยอมพบ เห็นๆ อยู่ว่ากำลังยืนว่างๆ ชมทิวทัศน์ยามราตรีอยู่ริมหน้าต่าง เงินก็จ่ายไปแล้ว พบหน้าทำความรู้จักกันสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องสมควร ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย
เฮยหมู่ตานยังพอว่า แต่เพียงแค่คำตอบนี้ประโยคเดียวกลับทำให้อีกสามคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น
เฮยหมู่ตานได้แต่ยอมรามือ เมื่อหันกลับเห็นสวนพฤกษศาสตร์ที่เงียบสงบงดงาม ดวงตาพลันเปล่งประกาย ชี้ออกไปพลางเอ่ยว่า “ไปสั่งอาหารมา พวกเราจะไปดื่มชาที่นั่น!”
ทั้งกลุ่มพลันตื่นเต้นขึ้นมา ทว่ามิใช่เพราะที่นี่ดีเลิศกว่าสถานที่งดงามพิเศษแห่งอื่น แต่เป็นเพราะปกติแล้วโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่เคยอนุญาตให้พวกเขาเข้ามา พวกเขาจึงมีความปรารถนาอยากจะเข้ามาสัมผัสดูบ้าง
…….
วันต่อมา พอหยวนฟางเปิดประตูออกมา ก็มองเห็นพวกเฮยหมู่ตานที่มารอคอยอยู่ด้านนอกนานแล้ว
หนิวโหย่วเต้าตามหลังออกมา เฮยหมู่ตานยิ้มสดใสเอ่ยทักทาย “เต้าเหยี่ย อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ”
จากนั้นก็เรียกทั้งสามคนเข้ามา “สามคนนี้คือพวกพ้องที่อยู่กับข้ามาหลายปี เหลยจงคัง อู๋ซานเหลี่ยง ต้วนหู่ ท่านนี้คือเต้าเหยี่ย ท่านนี้คือพี่จิน”
“เต้าเหยี่ย พี่จิน” ใบหน้าคนทั้งสามฉาบรอยยิ้มระแวดระวังไว้ ประสานมือคำนับพร้อมกัน
หนิวโหย่วเต้าพิจารณาทั้งสามเล็กน้อย เฮยหมู่ตานผิวคล้ำ ทว่าสามคนนี้กลับดูค่อนข้างสมบุกสมบัน เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนแล้ว กลับเป็นเฮยหมู่ตานที่ดูอ่อนเยาว์กว่า คิดไม่ถึงเลยว่าทุกคนจะยกให้เฮยหมู่ตานเป็นผู้นำ นี่ทำให้หนิวโหย่วเต้าต้องมองเฮยหมู่ตานใหม่อีกครั้ง
“ต่อไปก็ล้วนเป็นคนกันเองแล้ว” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ นี่นับว่าทักทายกันแล้ว จากนั้นหันหลังเดินออกไป
เขาไม่คิดจะสนิทสนมกับทุกคนไปเสียหมด ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มวัดหนานซาน เขาก็เจาะจงไปที่หยวนฟางเท่านั้น ส่วนสมณะรูปอื่นๆ แทบจะไม่มีการพูดคุยอะไรกันเลย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาเวลาและความคิดไปสิ้นเปลืองกับทุกคนด้วย ส่วนคนกลุ่มนี้ เขาก็เจาะจงไปที่เฮยหมู่ตานเท่านั้น
หยวนฟางปล่อยให้เฮยหมู่ตานไปติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ส่วนเขาก้าวไปอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้า แทรกตัวคั่นคนแปลกหน้าทั้งสามเอาไว้
พฤติกรรมของหยวนกังยามที่ติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า เขาไม่ได้เรียนรู้ซึมซับจนถึงแก่นแท้ แต่ก็เลียนแบบเปลือกนอกมาได้บ้าง พอจะวาดกระบวยตามน้ำเต้า[1] ได้อยู่
ทั้งสามจึงทำได้เพียงติดตามอยู่ด้านหลังสุด เฮยหมู่ตานเหลียวมองแวบหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าเดินวนรอบโรงเตี๊ยมอยู่พักหนึ่ง มองเห็นสิ่งปลูกสร้างรูปทรงคล้ายปราสาทตั้งตระหง่านโผล่พ้นออกมาจากภูเขาที่ด้านหลังสวนพฤกษศาสตร์ “ที่นั่นคือที่ไหน? ไปดูกัน”
เฮยหมู่ตานเหงื่อตก เดาว่าหนิวโหย่วเต้าเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงรีบเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “เต้าเหยี่ย ด้านหน้าเป็นโรงเตี๊ยม ส่วนด้านหลังเป็นสถานที่พำนักของเจ้าเมืองซาฮ่วนลี่ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ผู้ใดฝ่าฝืน สังหารไม่มีเว้น!”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ ใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ บันทึกเรื่องราวในโลกบำเพ็ญเพียรไว้ ถึงแม้จะไม่ได้ลงรายละเอียดทุกอย่างไว้ แต่ก็มีส่วนที่กล่าวถึงซาฮ่วนลี่คนนี้อยู่ เจ้าเมืองไจซิง หลานสาวของหลัวชิวที่เป็นหนึ่งในเก้ายอดฝีมือระดับจิตทารกของโลกนี้
“ไปขอเข้าพบก็ไม่ได้หรือ?” หนิวโหย่วเต้าถามอีกครั้ง
“ในเมืองมีคนไม่น้อยที่หวังจะตกถังข้าวสาร หากใครๆ ก็เข้าพบได้ เช่นนั้นคงได้พบกันไม่หวาดไม่ไหว เกรงว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปก็คงถูกลูกน้องระดับล่างขวางไว้แล้ว” เฮยหมู่ตานส่ายหน้า แต่ก็เหลือบมองหนิวโหย่วเต้าแวบหนึ่ง ดวงตาส่องประกาย ลองหยั่งเชิงไปประโยคหนึ่งว่า “แต่แน่นอน หากภูมิหลังของเต้าเหยี่ยมีน้ำหนักพอ รายงานขึ้นไปแล้ว เจ้าเมืองอาจจะอยากพบก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า สื่อว่าเข้าใจแล้ว เอ่ยไปว่า “ข้าไหนเลยจะมีภูมิหลังอันใด ใช่แล้ว เจ้าเคยพบนางหรือไม่?”
เฮยหมู่ตานตอบว่า “เคยพบอยู่หลายครั้งเจ้าค่ะ โดยทั่วไปแล้วนางจะออกมาเดินเล่นในเมืองบ้างเป็นครั้งคราว แต่ระบุเวลาที่แน่นอนไม่ได้”
หนิวโหย่วเต้าถาม “หน้าตาของซาฮ่วนลี่เป็นอย่างไร ด้านความงามเล่า ออกเรือนหรือยัง?”
เฮยหมู่ตานเหงื่อตกอีกครั้ง สถานที่เช่นนี้เหมาะสมจะคุยประเด็นนี้เสียที่ไหน? นางกระซิบตอบ “รูปโฉมธรรมดา ความงามทั่วๆ ไป แต่ด้วยศักดิ์ฐานะของนาง ต่อให้รูปโฉมธรรมดาแค่ไหน บุคลิกก็ยังเหนือว่าคนทั่วไปอยู่ดี ไม่เคยได้ยินว่าออกเรือนแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “นางมีงานอดิเรกใดบ้าง?”
เฮยหมู่ตานถูกเขาถามจนกระวนกระวาย รีบกดเสียงต่ำเอ่ยเตือนว่า “เต้าเหยี่ย หากท่านถามเรื่องพวกนี้ พวกเราเปลี่ยนที่คุยกันดีหรือไม่? หากมีใครได้ยินเข้า จะนึกว่าพวกเรากำลังวางแผนชั่วร้าย จะเดือดร้อนเอาได้นะเจ้าคะ”
“เบาเสียงหน่อยก็พอ” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะ หันหลังกลับ ในเมื่อเข้าไปไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดันทุรัง
เฮยหมู่ตานติดตามอยู่ด้านข้าง พยายามกดเสียงให้เบาเป็นอย่างมาก “ไม่ทราบว่ามีงานอดิเรกใดบ้าง แต่คนที่ไม่ต้องทุกข์ร้อนเรื่องการกินอยู่ ไม่ขาดแคลนทรัพยากรบำเพ็ญเพียร ยังจะมีงานอดิเรกอะไรได้ น่าจะไม่พ้นสิ่งที่เรียกกันว่ารสนิยมชั้นสูงอะไรพวกนั้น คงจะไม่ถึงกับเอาการฝึกบำเพ็ญเพียรที่น่าเบื่อหน่ายมาเป็นงานอดิเรกกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าสื่อว่ารับทราบ ถามอีกว่า “นิสัยเป็นอย่างไร?”
เฮยหมู่ตานกล่าวตอบ “นิสัยเป็นอย่างไรข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ดูอัธยาศัยดียิ่งนัก ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นในเมือง เวลาถูกคนทักทายไต่ถามระหว่างทางก็ไม่ได้วางท่าอะไร”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “ทราบหรือไม่ว่าปกตินางไปมาหาสู่กับผู้ใดบ่อยๆ?”
เฮยหมู่ตานผงะไปเล็กน้อย สอบถามเจาะจงถึงซาฮ่วนลี่เช่นนี้ คิดจะทำอะไร? แม้ในใจจะนึกสงสัย แต่ก็ยังกระซิบตอบไปว่า “เรื่องนี้ก็ไม่ทราบเช่นกัน ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างพวกเราไหนเลยจะรู้ได้ว่าปกตินางไปมาหาสู่กับผู้ใดบ่อยๆ แต่ได้ยินว่าเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่เป็นประมุขหอหิมะเหมันต์คือสหายรักของนาง เสวี่ยลั่วเอ๋อร์มาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ข้าเคยเห็นซาฮ่วนลี่และเสวี่ยลั่วเอ๋อร์เดินเล่นในเมืองด้วยกันสองสามครั้ง ข่าวลือน่าจะไม่ผิดแน่”
“ประมุขหอหิมะเหมันต์หรือ?” หนิวโหย่วเต้าพึมพำ แววตามีเลศนัยเล็กน้อย การสนทนาหยุดลงเพียงเท่านี้ ไม่ได้ถามอะไรต่อ
เมื่อทั้งกลุ่มเดินผ่านห้องโถงโรงเตี๊ยม เถ้าแก่และเหล่าเสี่ยวเอ้อต่างให้ความสนใจ ทว่ามิใช่ตัวหนิวโหย่วเต้าที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขา แต่ให้ความสนใจกับพวกเฮยหมู่ตานที่ติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า
พอเห็นทั้งกลุ่มเดินพ้นประตูไป เถ้าแก่ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “คนหนุ่มอายุน้อยคล้อยตามง่าย ดูเหมือนจะหลงกลเจ้าพวกนี้เข้าแล้วจริงๆ”
เสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเขาเถอะขอรับ เราเตือนไปแล้ว แต่ไม่เป็นผล เกิดเรื่องขึ้นมาก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”
ทางนี้เพิ่งเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมมา คนที่กระจายตัวกันอยู่ด้านนอกพากันรวมตัวเข้ามาทันที สายตาที่มองหนิวโหย่วเต้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ทันทีที่หนิวโหย่วเต้าเห็น เขาก็พอจะเข้าใจแล้ว คงมีเป้าหมายเดียวกับพวกเฮยหมู่ตาน เขาหยุดฝีเท้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่สนใจธุระของพวกเจ้า ไสหัวไปซะ! หากผู้ใดมาพล่ามอีก ข้าจะสังหารทิ้ง!”
ประกาศกร้าวอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ไม่เปิดช่องให้เจรจาใดๆ ทั้งสิ้น
กลุ่มคนที่ตีวงเข้ามาเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน เนื่องจากไม่กระจ่างว่าหนิวโหย่วเต้าเป็นใครมาจากไหน จึงพากันถอยหลังหลบทางให้
พวกเฮยหมู่ตานที่ติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าคล้ายจะยืดอกขึ้นมาได้ไม่น้อยเลย รู้สึกว่าตนคล้ายจะต่างไปจากคนเหล่านี้แล้ว
คนเหล่านั้นมองตามไป ใครบางคนทอดถอนใจด้วยความเสียดาย “ดูเหมือนเฮยหมู่ตานจะคว้าไปเสียแล้ว!”
“รู้อย่างนี้พวกเราเข้าไปตั้งแต่เมื่อคืนเสียก็ดี”
“เจ้าเข้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เฮยหมู่ตานนับว่ามีความงามอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเมื่อคืนอาจจะอยู่ร่วมห้องกับเขาก็เป็นได้ อาศัยรูปโฉมยั่วยวน…”
คำพูดเหยียดหยามแดกดันเฮยหมู่ตานพรั่งพรูออกมา แต่ที่มากกว่านั้นคือความอิจฉาและริษยา
รอบเมืองโบราณมีเศษซากปรักหักพังที่ผ่านการชะล้างจากกาลเวลา มองออกว่าเดิมทีล้วนเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นจากศิลาก้อนใหญ่ เห็นได้ชัดว่าร้านค้าภายในเมืองถูกสร้างขึ้นจากเศษซากเดิมที่เหลืออยู่ ส่วนใหญ่สร้างจากไม้และหิน
มีคนมากมายเดินเตร่อยู่ในเมือง มีหลายคนที่มองไปทางนั้นทีทางนี้ที คล้ายจะตามหาเป้าหมายอะไรอยู่ บางครั้งมองเห็นคนสุมหัวกระซิบกระซาบกันเป็นครั้งคราว
เฮยหมู่ตานอธิบายว่าคนที่มองไปทางนั้นทีทางนี้ทีเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ในตัวอาจจะมีของบางอย่าง ทว่าไม่อยากขายให้ร้านค้าในราคาต่ำ จึงคิดจะตามหาผู้ซื้อที่เหมาะสม
…………………………………………………………
[1] หมายถึงลอกเลียนแบบตามต้นฉบับ แม้จะไม่เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พอจะมีเค้าโครงอยู่