ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 128 ทำลายผนึก
ตอนที่ 128 ทำลายผนึก
เหลยจงคังพยักหน้ารับเงียบๆ
หวงเอินผิงจะรักษาคำพูดช่วยเรื่องให้การแนะนำและรับรองสำนักหรือไม่ เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ถ้าได้ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี สิ่งสำคัญคือเขาไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต้าจะช่วยอะไรพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจจะชักนำเอาหายนะที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตมาให้ทุกคนด้วย
เมื่อดูจากท่าทีของพวกเฮยหมู่ตานแล้ว เขาเองก็กังวลถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังบอกออกไปเช่นกัน มีโอกาสที่พวกเฮยหมู่ตานจะหลงงมงายไม่ลืมหูลืมตา หากเรื่องนี้รั่วไหลไปถึงหูหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา เกรงว่าสำนักเซียนสถิตคงไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่
ตอนนี้ดูแล้ว วิธีที่ปลอดภัยที่สุดยังคงเป็นการเล่นตามน้ำไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงแม้การอธิบายหลังจบเรื่องจะค่อนข้างลำบาก แต่คาดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจได้ว่าเขาหวังดีต่อทุกคน อย่างมากก็คงโกรธเขาสักพักแล้วก็ผ่านไป
เมื่อเห็นเขาตอบตกลง หวงเอินผิงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้?”
เหลยจงคังพยักหน้าอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
เมื่อเห็นเขาไม่พูดไม่จา หวงเอินผิงจึงเดินเข้าไปตรงหน้าเขา พูดเน้นย้ำทีละคำว่า “คนที่ต้องการจัดการเขาไม่ได้มีแค่สำนักเซียนสถิตของข้าเท่านั้น หากแต่ยังมีราชสำนักแคว้นเยี่ยนด้วย เจ้าพิจารณาเอาเองเถอะว่าพวกเจ้าจะรับมือไหวหรือไม่? หนิวโหย่วเต้าเป็นเพียงสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง แต่ละวันไม่รู้จะมีชีวิตอยู่รอดไปถึงตอนเย็นหรือไม่ แล้วก็หลอกได้แค่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างพวกเจ้าเท่านั้น ติดตามเขาไปจะมีผลลัพธ์อย่างไร เชื่อว่าคงไม่ต้องให้ข้าพูดมากอีก เจ้าอย่าได้คิดจะรับปากข้าส่งเดชเด็ดขาด!”
เหลยจงคังรีบประสานมือเอ่ยด้วยท่าทีหนักแน่น “หวงเหยี่ยโปรดวางใจ ข้าทราบดีว่าควรทำอย่างไร”
“ดี! จะติดต่อสำนักเซียนสถิตได้ที่ไหน คิดว่าข้าคงไม่ต้องชี้ทางเจ้านะ” หวงเอินผิงตบไหล่เขา จากนั้นรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่นานนัก เกรงว่าจะมีคนมาเห็นเข้า
ภายในห้องเหลือเพียงเหลยจงคังที่ถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม
……
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
มีเสียงทุบตีหนักหน่วงแว่วออกมาจากในห้องอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไห่หรูเยวี่ยที่เข้ามาในเรือนพร้อมผู้ติดตามอีกหลายคนตะลึงไปชั่วขณะ
ลูกน้องที่อยู่ข้างกายซ้ายขวารีบวิ่งไปหน้าประตูห้องโถงใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่ทันที ผลักประตูเข้าไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาเห็นหยวนกังที่อยู่ในห้องสวมเพียงกางเกงตัวในตัวเดียว ร่างกายเปลือยเปล่า มีเชือกห้อยลงมาจากบนขื่อ ผูกท่อนซุงท่อนหนึ่งเอาไว้ เว่ยตัวคอยผลักท่อนซุงเข้ากระแทกร่างของหยวนกังอย่างรุนแรง
เดิมทีไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนี้เลย แต่เนื่องจากทางจวนผู้ว่าการกลัวว่าทางนี้จะหลบหนี จึงผนึกพลังของเว่ยตัวเอาไว้ ทำให้เว่ยตัวใช้พลังไม่ได้ มิเช่นนั้นเขามีไม้แค่ท่อนเดียวก็สามารถช่วยหยวนกังฝึกวรยุทธ์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรวุ่นวายขนาดนี้
เมื่อประตูเปิดออก ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องก็หยุดความเคลื่อนไหว มองออกไปด้านนอกประตู
ไห่หรูเยวี่ยที่ยืนอยู่ในลานด้านนอกก็มองเห็นภาพภายในห้องเช่นกัน ทันทีที่เห็นก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
หยวนกังรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ทั้งยังมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่คล้ายแฝงไว้ด้วยพลังที่พร้อมปะทุออกมาทุกเมื่อ ลายเส้นกล้ามเนื้อทั่วร่างทำให้ตัวเขาดูเหมือนรูปปั้นหินอย่างไรอย่างนั้น
สำหรับสตรีคนหนึ่งที่เคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว เรือนร่างเช่นนี้ช่างทรงพลังและรุนแรงยิ่งนัก
ไห่หรูเยวี่ยไม่เคยพบบุรุษที่มีรูปร่างเช่นนี้มาก่อน ตอนออกตรวจค่ายทหาร นางเคยเห็นทหารร่างบึกบึนเปลือยกายท่อนบนมาบ้าง แต่นั่นก็แค่บึกบึนเท่านั้น ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากลับน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก นางไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายของบุรุษจะเติบโตมาเป็นเช่นนี้ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายเปล่าๆ จะรับการโจมตีจากท่อนซุงขนาดใหญ่ได้ ร่างกายของคนผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว!
เมื่อเห็นว่าหยวนกังที่อยู่ในห้องไม่สวมอาภรณ์ ด้วยคำนึงถึงว่าไห่หรูเยวี่ยเป็นสตรีนางหนึ่ง ลูกน้องทั้งสองที่เปิดประตูอยู่จึงรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงปิดประตูไปก็ไม่มีประโยชน์ บางสิ่งบางอย่างขอเพียงได้เห็นเพียงแวบเดียวก็สลักลึกตรึงตรา เรือนร่างของหยวนกังเรียกได้ว่าสลักลึกอยู่ในสมองของไห่หรูเยวี่ยแล้ว
ไห่หรูเยวี่ยค่อยๆ หันมองออกไปทางอื่น สูดหายใจเข้าอย่างช้าๆ จากนั้นหายใจออกอย่างช้าๆ คิดจะสลัดเงาร่างเขาออกไปจากสมอง
นางออกมาทำธุระและเดินทางผ่านด้านนอกเรือนสุคนธาพอดี คิดขึ้นมาได้ว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่ จึงถือโอกาสแวะมาดูหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นฉากนี้เข้า
ผ่านไปสักพัก ประตูห้องโถงเปิดออกอีกครั้ง หยวนกังที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินออกมาพร้อมเว่ยตัว
หยวนกังเดินเข้ามาหาไห่หรูเยวี่ย ไม่ได้ทำความเคารพ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คิดจะกักตัวพวกเราไปจนถึงเมื่อไรกัน?”
ไห่หรูเยวี่ยหันมามองเขา ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าน่าจะรู้ดีว่านี่มิใช่ความต้องการของข้า…ใช่แล้ว ถือโอกาสมาบอกข่าวดีเรื่องหนึ่งกับเจ้า ฝั่งซางเฉาจงโจมตีได้ไม่เลวเลย คาดว่าใช้เวลาอีกไม่นานก็น่าจะยึดทั้งจังหวัดชิงซานได้แล้ว!”
ไม่ทราบเช่นกันว่าหยวนกังได้ฟังเข้าหูบ้างหรือไม่ เขาถามขึ้นมาอีกว่า “มีข่าวของเต้าเหยี่ยหรือไม่?”
ไห่หรูเยวี่ยตอบ “ตอนนี้ยังไม่มี!”
หยวนกังกล่าวว่า “ข้าไม่อยากสร้างความบาดหมาง ปล่อยพวกเราไปเถอะ ถึงเกิดเรื่องท่านก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ”
ไห่หรูเยวี่ยหันหลังเดินหนี เอ่ยทิ้งท้ายอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่งว่า “น้องชายท่านนี้ดูดุดันนัก ควบคุมพลังอันแกร่งกร้าวของเขาเอาไว้หน่อยจะดีกว่า จะได้ไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรขึ้น”
ทันทีที่นางเอ่ยเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งก็ก้าวออกมาทันที ลงมือสกัดจุดบนร่างหยวนกังอย่างต่อเนื่อง ลงผนึกควบคุมอีกประเภทเอาไว้
หยวนกังยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นไม่ต่อต้านขัดขืน ด้วยรู้ดีว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ จนกระทั่งเห็นว่าคนกลุ่มนั้นจากไปแล้ว ถึงค่อยๆ หันหลังกลับ ขณะที่หันหลังกลับ ร่างกายซวนเซเล็กน้อย เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ รู้สึกอ่อนแรง ทั้งร่างไม่สามารถเค้นแรงออกมาได้เลย
เว่ยตัวทราบว่าเขาถูกคนสกัดจุดผนึกพลังเข้าแล้ว จึงรีบยื่นมือเข้าช่วยประคองทันที พยุงเขาเข้าไปในโถงรับแขก
พอเข้ามาในห้อง หยวนกังรู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวก ดันเว่ยตัวออกไปอย่างยากลำบาก เอ่ยเสียงอ่อนแรงว่า “ปิดประตู!”
เว่ยตัวรีบไปปิดประตูให้ เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง เขามองเห็นหยวนกังดึงทึ้งอาภรณ์บนร่างออก กลับมาเปลือยท่อนบนอีกครั้ง
หยวนกังแยกขาทั้งสองข้างออก ค่อยๆ ย่อตัวทำท่านั่งม้า ร่างส่ายโงนเงน ท่าทางเหมือนจะล้มได้ทุกเมื่อ สองมือกำเป็นหมัดค่อยๆ ดึงเข้าหาเอว สายตามองตรงไปด้านหน้า ปล่อยลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นสูดหายใจเข้าไปลึกๆ อีกครั้ง สลับกันไปเช่นนี้
จากนั้นดวงตาของเว่ยตัวค่อยๆ เบิกกว้าง พบว่าเสียงสูดหายใจของหยวนกังดังขึ้นเรื่อยๆ ดังฟืดฟาดเสมือนเครื่องสูบลม
ลักษณะเช่นนี้เขาเคยเห็นมาแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็คือลมหายใจที่สูดเข้าออกจากจมูกของหยวนกังเจือหมอกขาวเลือนรางเอาไว้ด้วย ด้วยสภาพอากาศและอุณหภูมิเช่นนี้ เหตุใดถึงหายใจออกมาเป็นไอได้?
ไอขาวจางๆ ถูกพ่นออกมาจากจมูก จากนั้นถูกสูดกลับเข้าไปทางปาก วนเวียนเป็นวงจรกลับไปกลับมา
บริเวณหน้าท้องของหยวนกังค่อยๆ พองตัวขึ้นมาทีละน้อย ขยายใหญ่ขึ้นช้าๆ เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ตรงหน้าท้องตามจังหวะหายใจของเขา
ลมหายใจยิ่งทอดยาวขึ้นเรื่อยๆ ก้อนกลมๆ ที่ขยับขึ้นลงอยู่ตรงหน้าท้องก็เคลื่อนไหวช้าขึ้นทุกขณะเช่นกัน ราวกับถูกอะไรบางอย่างหน่วงรั้งเอาไว้
สายตาของเว่ยตัวพลันจ้องมองไปที่ร่างของหยวนกังอีกครั้ง สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มองเห็นผื่นแดงปรากฏขึ้นบนร่างของหยวนกังทีละจุดๆ แรกเริ่มผื่นแดงมีขนาดเท่าปลายนิ้ว จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และแดงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีบางสิ่งอุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ผื่นแดงเหล่านั้นเริ่มจับตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานนักเว่ยตัวก็ตระหนักได้ว่าตำแหน่งที่มีผื่นสีแดงเหล่านั้นล้วนเป็นจุดลมปราณในร่างกายมนุษย์ทั้งสิ้น แล้วก็เป็นตำแหน่งที่หยวนกังถูกสกัดจุดเอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย
ตำแหน่งที่ผื่นสีแดงมารวมตัวกันค่อยๆ ปูดนูนขึ้นมาเป็นก้อน กลายเป็นสีแดงปลั่ง
เกิดเสียงดัง โพละ! ก้อนเลือดที่ปูดนูนขึ้นมาก้อนหนึ่งพลันยุบตัวลง สีแดงตรงตำแหน่งที่ผื่นสีแดงมารวมตัวกันก็หดหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมุดหายเข้าไปในรูขุมขนอย่างไรอย่างนั้น
โพละ! โพละ! โพละ!
เกิดเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก้อนเลือดบนผิวกายหยวนกังยุบตัวลงไปทีละจุดๆ สีแดงที่มารวมตัวกันกลายเป็นเหมือนบุปผาที่โรยราลงไปดอกแล้วดอกเล่า เหี่ยวเฉาและสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งผื่นสีแดงทั้งหมดบนผิวกายเลือนหายไปหมดแล้ว หยวนกังสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ไอขาวจางๆ ที่หายใจออกมาถูกสูดกลับเข้าไปในท้องทั้งหมดในคราวเดียว
ฟู่ว! สองหมัดของหยวนกังที่แนบอยู่ข้างลำตัวชกออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด เกิดเสียงลมหวีดหวิว เส้นเลือดบนท่อนแขนทั้งสองข้างปูดโปนขึ้นมา มีไอหมอกจางๆ กระจายออกมา
เว่ยตัวตื่นตะลึง คนผู้นี้ฝึกฝนวิชาเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายอันใดกันแน่ อาศัยกายเนื้อคลายผนึกที่ผู้บำเพ็ญเพียรผนึกเอาไว้บนร่างกายได้อย่างนั้นเหรอ?
พลังของสองหมัดที่ชกออกมานี้บ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ไหนเลยจะยังมีท่าทางทรงตัวไม่มั่นคงเช่นก่อนหน้านี้อยู่อีก เขาคลายผนึกได้แล้ว!
หยวนกังลุกขึ้นยืน ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ มองดูสองหมัดที่กำแน่นของตน รับรู้ได้ว่าเรี่ยวแรงกลับคืนมาแล้ว
ไม่ใช่แค่เรี่ยวแรงฟื้นคืนมาเท่านั้น แต่เขารู้สึกว่าปราณเสริมแกร่งของตนคล้ายจะพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยด้วย!
สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
เมื่อครู่เขาเพียงรู้สึกว่าหลังจากถูกผนึก เขาหายใจไม่สะดวก เลือดลมติดขัด อึดอัดอย่างยิ่ง ต้องการะบายออก จึงลองฝึกตามเคล็ดกำหนดลมหายใจเสริมพลังของตนดู กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะคลายผนึกบนร่างได้
เขารับรู้ได้รางๆ ว่าการที่ร่างกายได้รับการกระตุ้นเล็กน้อยคล้ายจะมิได้เป็นผลเสียอันใดต่อการฝึกฝนปราณเสริมแกร่ง อันที่จริงกลับดูเหมือนจะมีประโยชน์เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่มีใครเคยบอกเขาไว้เลยว่าควรควบคุมระดับการกระตุ้นนี้อย่างไร
เว่ยตัวเองก็จ้องมองสองมือของตนเช่นกัน มีสีหน้าพูดไม่ออก ตนเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐาน แต่กลับไม่สามารถคลายผนึกบนร่างตัวเองได้ ยังสู้ผู้ฝึกยุทธิ์ที่ฝึกวิชาเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหน?
หยวนกังหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอีกครั้ง หันไปถามว่า “พวกเขาเคยบอกไว้ใช่ไหมว่าหากต้องการสิ่งได้ให้บอกได้เลย?”
“ใช่!” เว่ยตัวพยักหน้ารับ “แต่…แต่ว่า เงื่อนไขแรกคือ…คือ…พวกเราต้องอยู่…อยู่ที่นี่…อย่างว่าง่าย…ส่วนเรื่องอื่น…จะกินดื่ม…หา…ความสำราญ…ล…ล้วน…เติม…เติมเต็มให้พวก…เรา…ได้ทั้งสิ้น” พูดจบก็ส่ายหัวไปมา
หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าอยากซื้ออะไรมาเล่นนิดหน่อย ไปหากระดาษกับพู่กันมา ข้าจะเขียนรายการของให้พวกเขาซื้อ…”
….
หนิวโหย่วเต้ายืนยกมือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง ทอดมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาลุ่มลึก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หยวนฟางอุ้มกระดานวาดภาพ ถือแท่งถ่านไว้ กำลังวาดกาน้ำชาใบหนึ่งอยู่ ภาพที่วาดบิดเบี้ยวปานถูกสุนัขแทะอย่างไรอย่างนั้น
เฮยหมู่ตานเองก็ปูกระดาษไว้บนโต๊ะ กำลังใช้แท่งถ่านวาดภาพอยู่เช่นกัน พอเห็นสิ่งที่ตนวาดออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเป็นระยะๆ
สาเหตุที่จู่ๆ ทั้งสองก็มีอารมณ์ศิลป์ขึ้นมา เป็นเพราะหยวนฟางถามหนิวโหย่วเต้าว่าสอนเขาบ้างได้หรือไม่ หนิวโหย่วเต้าย่อมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ชี้ไปที่กาน้ำชาใบหนึ่ง ให้เขาเริ่มหัดจากการวาดของง่ายๆ ก่อน เอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า ทักษะเกิดจากการฝึกฝน!
พอหยวนฟางเริ่มวาด เฮยหมู่ตานก็อดใจไม่อยู่ อยากลองด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงปรากฏภาพเหตุการณ์นี้ขึ้นมา
ก๊อกๆ! เสียงเคาะประตูดังขึ้น
หนิวโหย่วเต้าตะโกนว่า “เข้ามา!”
ใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา หยวนฟางและเฮยหมู่ตานหันไปมอง ต่างตะลึงกันไปเล็กน้อย นึกว่าจะเป็นเสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมหรือไม่ก็พวกต้วนหู่ ใครจะรู้ว่าคนที่เปิดประตูเข้ามากลับเป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยม
เถ้าแก่ยิ้มแย้มแจ่มใส ในมือถือกระบอกภาพม้วนหนึ่งไว้ ทันทีที่เห็นกิจกรรมในห้อง ก็รีบเดินเข้าไปมองภาพวาดของหยวนฟางและเฮยหมู่ตาน พบว่าน่าอนาถเหลือทน เขารีบหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แขกทุกท่านล้วนยุ่งกันอยู่กระมัง!”
เฮยหมู่ตานถามด้วยความสงสัย “เถ้าแก่ ท่านมาได้อย่างไร?”
เมื่อหนิวโหย่วเต้าที่หันหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่างได้ยิน รอยยิ้มขี้เล่นพลันปรากฏขึ้นตรงมุมปาก
เถ้าแก่ชูกระบอกภาพในมือ มองไปทางหนิวโหย่วเต้า เอ่ยกลั้วหัวเราะ “คุณชายเซวียนหยวนให้เสี่ยวเอ้อนำภาพไปตีกรอบ[1]มิใช่หรือขอรับ ภาพบรรจุใส่กรอบเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อล้วนมีงานยุ่งกันหมด ข้าจึงนำมาส่งให้แทน”
ในเวลานี้เอง หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “รบกวนเถ้าแก่แล้วจริงๆ ค่าตีกรอบจดรวมไปในบัญชีเลย เดี๋ยวค่อยชำระรวมกับรายการอื่นๆ ตอนคืนห้องพัก”
…………………………………………………………….
[1] การใส่กรอบภาพในยุคโบราณของจีน ไม่ได้ใส่กรอบไม้สี่เหลี่ยมเหมือนในปัจจุบัน แต่เป็นการนำภาพไปติดไว้บนผืนผ้าแนวยาว บรรจุใส่กลักที่สามารถกางและม้วนเก็บได้ ป้องกันไม่ให้ภาพเสียหาย