ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 135 เปลี่ยนใจอีกแล้วหรือ
ตอนที่ 135 เปลี่ยนใจอีกแล้วหรือ?
เสี่ยวเอ้อก้มหยิบสุราไหหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้ออีกคนที่อยู่ในห้องโถงเข้ามา สั่งให้อีกฝ่ายนำสุราไปส่งตามห้องพักที่ระบุ
ไป๋อวี้โหลวหันหลังกลับ ค่อยๆ เดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ยืนอยู่บนบันไดด้านนอกโรงเตี๊ยม สองมือไพล่หลังเงยหน้ามองท้องนภากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จิตใจว้าวุ่น
คนของฝ่ายเซวียนหยวนเต้าและคนของสำนักเซียนสถิตลักลอบพบปะกันหลายครั้ง ตัวเซวียนหยวนเต้าเองก็เริ่มดำเนินการอย่างเงียบๆ แล้วเช่นกัน แม้แต่ผู้สังเกตการณ์อย่างเขาก็ถูกลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ท้องนภาที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวรวมถึงโรงเตี๊ยมในค่ำคืนนี้คล้ายจะดูแปลกไปเล็กน้อย เซวียนหยวนเต้าคนนั้นบอกว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทาง หวังว่าคืนนี้อย่าได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นจะดีที่สุด
ท้องนภายามราตรีเต็มไปด้วยหมู่ดาวส่องสกาว แสงโคมในเมืองโบราณส่องสลัวงดงาม เขาสูงยามราตรีหนาวเหน็บ
ภายใต้ความเงียบสงบในค่ำคืนนี้ ภายในใจเขากลับคล้ายว่ามีคลื่นลมปั่นป่วน
……
“อำเภอซานหูหรือ?”
ภายในร้านค้าของสำนักเซียนสถิต พอได้ฟังรายงานของชุยหย่วน เถ้าแก่เกาซู่ชงก็ขมวดคิ้วพึมพำ หันไปเอ่ยกับหวงเอินผิงที่อยู่ข้างๆ ว่า “เอาแผนที่มาดูหน่อย”
หวงเอินผิงเข้าไปด้านใน ไม่นานนักก็หยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมา กางลงบนโต๊ะเก็บเงิน ผีเสื้อจันทราสามตัวเกาะนิ่งอยู่บนเชือกที่อยู่ด้านบน ให้ความสว่างกับพื้นที่ด้านล่างได้โดยไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียงเพิ่ม
ทั้งสามคนยืนล้อมแผนที่ค้นหากันอยู่ครู่หนึ่ง ชุยหย่วนชี้ไปที่ที่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตรงนี้ขอรับ อาจารย์อา อำเภอซานหูอยู่ตรงนี้”
สายตาของทั้งสามรวมกันอยู่ที่จุดเดียวกัน หวงเอินผิงลูบคางพลางเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “นัดพบกันที่นี่….เจ้านี่เดินทางมาจากมณฑลจินโจวมาที่เมืองไจซิง ตอนนี้จะเดินทางไปที่อำเภอซานหูอีก นี่คิดจะไปที่ไหนกัน?”
เกาซู่ชงขยับแผนที่เล็กน้อย พลางมองไปทางตามเส้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ คล้ายจะเข้าใจอะขึ้นมา นิ้วจิ้มลงไปที่อำเภอซานหู “ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ เว้นแต่เขาจะเดินทางตัดเป็นเส้นทางตรง หรือไม่ก็ใช้เส้นทางอ้อม มิเช่นนั้นไม่ว่าจะย้อนกลับไปที่มณฑลจินโจวหรือว่าอำเภอชางหลู ก็เลี่ยงอำเภอซานหูไม่พ้นอยู่ดี หากขี่ม้าเดินทางกลับจำเป็นต้องผ่านที่นี่ทั้งสิ้น”
ทั้งสองมองเส้นทางที่เขากล่าวถึง กระจ่างขึ้นมาในทันใด ชุยหย่วนเอ่ยว่า “ทำทีเหมือนมาออกมาเที่ยวเล่นซื้อของที่เมืองไจซิง สุดท้ายก็วนกลับไปหาพวกซางเฉาจงอยู่ดี”
หวงเอินผิงแค่นหัวเราะพลางกล่าว “ที่ซางเฉาจงบอกว่าตัดสัมพันธ์กับเขาแล้ว คนมีปัญญาล้วนมองออกกันทั้งสิ้น ไม่พ้นเพียงปัดความรับผิดชอบแต่ฉากหน้าเท่านั้น เลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ครหา การที่เขายังติดต่อกับซางเฉาจงอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย” เขาเงยหน้ามองเกาซู่ชง เอ่ยว่า “อาจารย์อา จะปล่อยให้เขาหนีกลับไปอยู่กับทางซางเฉาจงไม่ได้นะขอรับ มิเช่นนั้นหากได้รับการคุ้มครองจากสำนักหยกสวรรค์ คิดจะลงมืออีกก็คงยากแล้วขอรับ”
อันที่จริงคนของสำนักเซียนสถิตล้วนทราบแก่ใจดี ที่บอกว่าพวกหลิวจื่ออวี๋สิ้นชีพด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต้า ความจริงแล้วคนที่ลงมือสังหารจริงๆ คือพวกไป๋เหยาแห่งสำนักหยกสวรรค์ ทว่าสำนักเซียนสถิตไม่อาจล่วงเกินสำนักหยกสวรรค์ได้ จึงทำได้เพียงหาทางคิดบัญชีกับตัวการเบื้องหลังอย่างหนิวโหย่วเต้า ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นคำสั่งจากทางตระกูลซ่งด้วย
ชุยหย่วนเอ่ยว่า “ปัญหาสำคัญในตอนนี้คือเขาต้องการให้พวกเฮยหมู่ตานล่วงหน้าไปก่อน สายสืบที่พวกเราจัดวางไว้ข้างกายเขาก็ไม่รู้รายละเอียดการเดินทางของเขาเช่นกัน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาจะออกเดินทางไปเมื่อไรกันแน่ อาจจะแอบหนีไปในคืนนี้ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น…” เขาชี้ไปที่อำเภอซานหู “มีแต่ต้องไปดักรอเขาอยู่ที่นี่แล้ว”
เกาซู่ชงจ้องมองแผนที่ ถอนใจพลางเอ่ยว่า “ไปก็ไป ถึงอย่างไรก็ปล่อยให้เขาหนีไปอีกไม่ได้ หากว่าเขาอยู่กับเจ้าปีศาจหมีตัวนั้นแค่สองคนแล้วยังปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้อีก ทางสำนักคงจนปัญญาจะแก้ตัวกับตระกูลซ่งได้ พวกเราเองก็ไม่มีหน้าไปแก้ตัวกับทางสำนักด้วยเช่นกัน”
เขาชี้ไปที่ศิษย์หลานทั้งสอง “พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งเฝ้าอยู่ที่ร้าน คอยดูแลเรื่องการติดต่อระหว่างภายในและภายนอกไว้ ส่วนอีกคนให้กลับไปจับตามองที่โรงเตี๊ยมต่อ หากเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดก็ให้รีบมารายงานทันที ข้าจะพาอีกสี่คนที่เหลือเดินทางไปยังอำเภอซานหูด้วยตัวเอง ครั้งนี้จะต้องจัดการเจ้าเดรัจฉานตัวนี้ให้ได้”
หวงเอินผิงรีบเอ่ยว่า “ลำพังหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียว ไหนเลยจะปล่อยให้อาจารย์อาลำบากไปจัดการด้วยตัวเองได้ ให้ข้าไปจัดการแทนก็ได้ขอรับ”
เกาซู่ชงส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับลำบากหรือไม่ลำบากอันใดทั้งนั้น ถ้าปล่อยให้เขาหนีไปได้อีก คนที่ต้องขายหน้าคงไม่พ้นสำนักเซียนสถิต หากมิใช่เพราะอยู่ห่างไกลจากสำนักเกินไป จึงส่งคนมาช่วยไม่ทันการ มิเช่นนั้นข้าต้องขอให้ทางสำนักส่งคนมาช่วยเสริมกำลังแน่นอน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น ดังนั้นครั้งนี้ข้าไม่เพียงแต่ต้องออกโรงด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ข้ายังต้องไปเชิญคนของสำนักคีรีพิลาสและสำนักเมฆาล่องให้ลงมือร่วมกันด้วย ครั้งนี้ต้องวางกับดักที่อำเภอซานหูให้ครอบคลุม จับเขาให้ได้ในคราวเดียว จะปล่อยให้ผิดพลาดไม่ได้”
ทั้งสองสบตากัน สำนักคีรีพิลาสและสำนักเมฆาล่องก็นับเป็นกลุ่มอิทธิพลของทางฝ่ายตระกูลซ่งเช่นเดียวกัน ปกติแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสามสำนักไม่นับว่าดีนัก เรียกได้ว่ามีความขัดแย้งระหว่างกัน แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว คาดว่าสำนักคีรีพิลาสและสำนักเมฆาล่องคงไม่กล้าอิดออดในเรื่องนี้เป็นแน่ มาตรว่าซ่งจิ่วหมิงจะออกจากราชการแล้ว แต่ก็มีข่าวว่าเจ้ากรมโยธาถงมั่วยังคงเรียกหาเขาอยู่เป็นประจำ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าซ่งจิ่วหมิงอาจจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ทุกเมื่อ จึงไม่มีใครกล้าดูแคลน
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้อาจารย์อาถึงกับต้องเชิญคนจากสองสำนักนี้มาช่วยเหลือ นี่จะให้ค่าเจ้าเดรัจฉานตัวนี้มากเกินไปหรือเปล่า ทั้งสองรู้สึกเหมือนกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
แต่ในเมื่อเกาซู่ชงพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งสองก็ทำได้เพียงจัดการไปตามคำสั่ง
เกาซู่ชงเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่ง สั่งให้คนไปเอาปีกทองตัวหนึ่งมา ส่งข่าวรายงานสถานการณ์แก่ทางสำนักเซียนสถิตอีกครั้ง
จากนั้นเกาซู่ชงก็พาศิษย์อีกสี่คนไป ออกเดินทางในเวลากลางคืน ก็เหมือนที่ชุยหย่วนว่าไว้ ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะจากไปตอนไหน เป็นไปได้ว่าอาจจะแอบหนีไปในคืนนี้ พวกเขาต้องล่วงหน้าไปเตรียมการที่อำเภอซานหูก่อน
ทั้งห้าคนพกปีกทองติดตัวไปด้วยคนละสองตัว ออกไปทางหลังร้านอย่างเงียบๆ จากนั้นตรงไปที่ร้านค้าของสำนักคีรีพิลาสและสำนักเมฆาล่อง ไม่นานก็รวบรวมคนได้ราวสิบถึงยี่สิบคนแล้วออกจากเมืองไจซิงไป
…..
หนิวโหย่วเต้ายังคงนั่งเช็ดกระบี่เล่มนั้นอยู่ข้างตะเกียง
หยวนฟางไม่เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังทำอะไรอยู่ กระบี่เล่มเดียวเช็ดถูซ้ำไปซ้ำมานานขนาดนี้ รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าสงบนิ่งจนดูแปลกไปบ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหนิวโหย่วเต้าในสภาพแบบนี้
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หยวนฟางลุกออกไปดู
“นายท่าน สุราของท่านมาแล้วขอรับ”
“สุรา? พวกเราไม่ได้สั่งสุรานี่นา!”
หนิวโหย่วเต้าที่เช็ดถูกระบี่อยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าสั่งเอง”
ด้วยเหตุนี้เสียงพูดคุยตรงหน้าประตูจึงหยุดลง เสียงปิดประตูแว่วมา หยวนฟางถือสุราไหหนึ่งเดินเข้ามา วางลงข้างๆ หนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เต้าเหยี่ยอยากดื่มสุราหรือขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบนิ่งๆ “ให้เจ้าดื่มไง”
“ฮ่าๆ เต้าเหยี่ย อย่าล่อข้าเล่นสิขอรับ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา ปกติส่วนใหญ่ก็แค่แสร้งทำไปเพื่อปกปิดฐานะเท่านั้น”
“ปีศาจอย่างเจ้าช่างน่าเบื่อจริงๆ สุราไม่ดื่ม เนื้อไม่กิน ถ้าไม่ดื่มก็วางไว้ตรงนี้นี่แหละ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ ในเวลานี้สายตาที่จับจ้องอยู่บนกระบี่จึงจะเลื่อนไปยังไหสุรา ดวงตาฉายแววเยียบเย็นแวบหนึ่ง
กระบี่ในมือส่องประกาย เลื่อนกลับเข้าฝักดังฟึ่บ เขาโยนกระบี่ไว้ด้านข้าง สะบัดแขนเสื้อส่งลมปราณสายหนึ่งออกไปดับตะเกียง เอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืดว่า “รีบนอนเถอะ”
เมื่อครู่ยังคุยเล่นอยู่เลย จู่ๆ ก็ตกอยู่ในความมืด หยวนฟางพูดอะไรไม่ออก
ช่วงเวลาที่เขาติดตามคลุกคลีกับหนิวโหย่วเต้ายังคงน้อยเกินไป
…..
เช้าวันต่อมา ทั้งกลุ่มมากินอาหารเช้าร่วมกันในโรงเตี๊ยม จากนั้นก็แยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน
ผ่านไปสักพัก พวกเฮยหมู่ตานที่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วได้มาหาหนิวโหย่วเต้า เคาะประตูห้องแล้วเข้าไปด้านใน เพื่อบอกลาก่อนออกเดินทาง
“เต้าเหยี่ย พวกเราขอล่วงหน้าไปก่อน จะไปรอท่านที่อำเภอซานหูนะเจ้าคะ” พวกเฮยหมู่ตานประสานมือกล่าวอำลาพร้อมกัน
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนหันหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่างหันกลับมาอย่างช้าๆ ค้ำกระบี่ไว้ตรงหน้า เอ่ยกับหยวนฟางว่า “เก็บของ พวกเราก็จะคืนห้องเช่นกัน ไปด้วยกันเถอะ”
“…..” พวกเฮยหมู่ตานมึนงง เมื่อครู่ตอนที่กินอาหารเช้าด้วยกันยังไม่มีทีท่าว่าจะไปเลย เหตุใดตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนใจแล้วเล่า?
เปลี่ยนใจอีกแล้วหรือ? หยวนฟางเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “เต้าเหยี่ยขอรับ พวกเรามิใช่ว่าจะอยู่ต่ออีกสองสามวันหรือขอรับ?” เขาถามเรื่องที่คนอื่นๆ ก็สงสัยออกไป
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้ามาคิดๆ ดูแล้ว ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนั้น แค่ไปจากที่นี่อย่างลับๆ ก็พอ น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อันใด ทุกคนไปด้วยกัน ระหว่างทางจะได้คอยดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา เหลยจงคังเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย เช่นนั้นพวกเรายังต้องไปที่อำเภอซานหูหรือไม่ขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องไปรวมตัวแล้ว แต่ยังคงต้องเดินทางผ่านอำเภอซานหูอยู่” เขาโบกมือสื่อให้หยวนฟางเร่งเก็บข้าวของ
หยวนฟางตอบรับ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้ต้องเก็บมากนัก แค่ผูกห่อสัมภาระให้ดี สะพายไว้บนร่าง ก็นับว่าจัดการเสร็จเรียบร้อย
ทุกคนออกจากห้องพักแล้วลงไปด้านล่าง ตรงไปคืนห้องที่โถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม
ชุยหย่วนที่นั่งจิบชาอ้อยอิ่งอยู่ในสวนสังเกตเห็นพวกเขา ดื่มชาเป็นเพียงการเสแสร้ง จับตามองต่างหากถึงจะเป็นภารกิจจริง เมื่อเห็นว่าหยวนฟางเองก็สะพายสัมภาระไว้เช่นกัน เขาพลันตกตะลึงไปทันที
สายตามองไปทางเหลยจงคังอย่างรวดเร็ว เหลยจงคังสื่อสารกับเขาผ่านทางสายตา เนื่องจากรอบข้างมีคนอยู่ เขาจึงไม่สะดวกจะส่งข่าวอันใดอย่างเปิดเผยเช่นกัน ทำได้เพียงส่งสายตาที่ไม่ทราบเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความนัยหรือไม่ไปให้
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ หยวนฟางย่อมนำใบเสร็จหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองใบนั้นออกมา นอนไม่ครบก็ต้องเอาคืนสิ สำหรับคนขี้งกอย่างเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่เอาเงินจำนวนนี้
ไป๋อวี้โหลวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินลุกขึ้นยืน ไม่ได้ลงมือจัดการเอง หากแต่ส่งสัญญาณให้เสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านข้างมาจัดการ
หลังจากสรุปค่าใช้จ่ายเรียบร้อย เสี่ยวเอ้อก็เอ่ยถามว่า “จะใช้เส้นทางปกติหรือว่าเส้นทางลับขอรับ?”
เฮยหมู่ตานเอ่ยตอบ “เส้นทางลับ!”
เสี่ยวเอ้อรีบกวักมือเรียกคนมานำทางแขกทันที
ไป๋อวี้โหลวประสานมือกล่าวว่า “ลูกค้าทุกท่านเดินทางระวังด้วย!” เขาสบตากับหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จากสีหน้าของทั้งสองคน
เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งนำทางพวกเขาออกไปทางโถงด้านข้าง เข้าไปในทางเดินเส้นหนึ่งที่ถูกปิดสนิทไว้ สุดท้ายอ้อมเข้าไปในไหล่เขาแห่งหนึ่ง จากนั้นเดินตามบันไดลงไปเบื้องล่าง
หลังเดินกันมาไกลสักระยะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลซ่าๆ แว่วมารางๆ
เมื่อเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ทุกคนก็มาโผล่ที่ปากถ้ำที่อยู่ใต้เชิงผาแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าคือสายน้ำเชี่ยวกราก เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายพอดี น้ำไหลกระเซ็นเกิดเป็นไอน้ำ ได้ยินว่าบริเวณโดยรอบมีคนของเมืองไจซิงคอยเฝ้าอยู่ ป้องกันไม่ให้มีคนแอบเล็ดลอดเข้าไปในเมืองไจซิงผ่านทางนี้ อย่างน้อยๆ ที่ปากทางออกแห่งนี้ ทุกคนก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินด้านข้าง
หลังจากเสี่ยวเอ้อแจ้งกับทางผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นเรียบร้อย ทุกคนก็ได้ออกเดินทางอย่างเป็นทางการ
หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่ปลายน้ำ สื่อว่าให้เดินทางไปยังปลายน้ำ ทุกคนพยักหน้ารับ โคจรพลังในร่าง กระโจนลงสู่สายน้ำเชี่ยวกรากพร้อมกัน หายลับไปในสายน้ำ
ทันทีที่ตกลงไปในน้ำ ร่างของทุกคนเสมือนถูกห่อหุ้มไว้ในฟองอากาศ ไหลไปตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่นี้ไป พวกเขาไม่ถือว่าอยู่ในการคุ้มครองของโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์แล้ว ต่อให้เกิดเรื่องอันใดขึ้น โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์จะไม่รับผิดชอบ
เพียงแต่ตามปกติแล้ว มีโอกาสน้อยนักที่จะเกิดเรื่องขึ้นระหว่างเดินทางไปตามแม่น้ำสายนี้
กระแสน้ำของเส้นทางน้ำในหุบเขาสายนี้เชี่ยวกรากเป็นอย่างยิ่ง หากซ่อนตัวอยู่ในกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากสายนี้และต้องฝืนต้านกระแสน้ำไปด้วยเป็นเวลานาน มีน้อยคนนักที่จะทนรับไหว เมื่ออยู่ในน้ำจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะไกล อีกทั้งเส้นทางน้ำสายนี้ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรเดินทางเข้าๆ ออกๆ เป็นจำนวนมาก การเที่ยวดักซุ่มโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย เว้นแต่จะทราบเวลาออกจากโรงเตี๊ยมที่แน่ชัด แบบนั้นยังพอมีโอกาสดักซุ่มโจมตีสำเร็จ ประกอบกับจากต้นน้ำถึงปลายน้ำสายน้ำแยกย่อยออกไปอีกหลายสาย หากไม่ทราบแน่ชัดว่าใช้เส้นทางไหนก็จะยิ่งทำให้ซุ่มโจมตีได้ยากขึ้น
สายน้ำแยกย่อยน้อยใหญ่ของเส้นทางน้ำสายนี้ก็ยาวเช่นกัน ยากจะรู้ได้ว่าคนขึ้นจากน้ำตรงไหน ทันทีที่ขึ้นฝั่ง ก็จะสามารถอาศัยร่องน้ำที่ตัดสลับซับซ้อนอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในเทือกเขาหลบหนีไปได้อย่างสะดวกสบาย ยากจะถูกพบตัวได้จริงๆ
ดังนั้นหากไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน อีกทั้งไม่มีกำลังคนจำนวนมากที่จะกระจายกำลังค้นหาล่ะก็ เช่นนั้นมันก็เป็นไปได้ยากที่จะจับตัวใครที่นี่ได้ ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เมืองไจซิงกลายเป็นศูนย์รวมการค้าของผู้บำเพ็ญเพียรจากที่ต่างๆ
……………………………………………………………..