ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 136 ใฝ่หอม
ตอนที่ 136 ใฝ่หอม
เมื่อเห็นพวกหนิวโหย่วเต้าถือสัมภาระเดินออกไป ชุยหย่วนก็ทำทีเป็นเดินเตร่ไปมาอยู่ใกล้ๆ โถงรับแขก
หลังจากเห็นเสี่ยวเอ้อพาพวกหนิวโหย่วเต้าเดินไปยังทิศทางที่เป็นเส้นทางลับ ชุยหย่วนถึงได้มั่นใจว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงแล้ว หนิวโหย่วเต้าไม่ได้แยกกันเดินทางกับพวกเฮยหมู่ตาน หากแต่คืนห้องแล้วจากไปพร้อมกัน
ชุยหย่วนลอบคร่ำครวญอยู่ในใจ รีบออกจากโรงเตี๊ยมไป
ไป๋อวี้โหลวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินกวาดตามองร่างของชุยหย่วนที่เดินออกไป รู้สึกคาดหวังตั้งตารอชม ไม่รู้ว่าเซวียนหยวนเต้าจะสามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าของสำนักเซียนสถิตได้หรือไม่
เพียงแต่ยังมีจุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ หากว่าเซวียนหยวนเต้ามีความแค้นกับสำนักเซียนสถิตจริง หากคิดจะหลบหนีให้พ้นจากการไล่ล่าของสำนักเซียนสถิตจริงๆ ล่ะก็ เขาแอบหนีไปคนเดียวก็ได้นี่นา แบบนั้นจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ เหตุใดยังต้องพาพวกเฮยหมู่ตานที่สมคบคิดกับสำนักเซียนสถิตไปด้วยเล่า?
ชุยหย่วนรีบกลับมาที่ร้านค้าของสำนักเซียนสถิตอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าไปในร้าน ก็ตะโกนบอกหวงเอินผิงที่นั่งเฝ้าอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินทันที “ศิษย์พี่ สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงขอรับ”
หวงเอินผิงที่อยู่ด้านหลังโต๊ะเก็บเงินลุกขึ้นยืน ถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ชุยหย่วนเดินไปตรงหน้าโต๊ะ เอ่ยด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “หนิวโหย่วเต้ากับพวกเฮยหมู่ตานคืนห้องพร้อมกัน ไม่ได้แยกกันเดินทาง ตอนนี้ใช้เส้นทางลับออกจากโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ไปด้วยกันแล้ว”
หวงเอินผิงถาม “เหลยจงคังมัวทำอะไรอยู่? เขาไม่ได้ติดต่อมาหาเจ้าก่อนหรือ?”
ชุยหย่วนส่ายหน้า “ไม่เลยขอรับ หากมิใช่เพราะข้าคอยจับตาดูอยู่ ถึงได้เห็นเองกับตา เกรงว่าคงไม่รู้ว่าพวกเขาจากไปแล้ว”
หวงเอินผิงสีหน้ามืดครึ้ม “หรือว่าเหลยจงคังจะหลอกพวกเรา?”
ชุยหย่วนกล่าวว่า “เหมือนจะไม่ใช่นะขอรับ เหลยจงคังน่าจะรู้ผลลัพธ์ของการหลอกลวงพวกเราดี หากเขาหลอกพวกเราจริงๆ หนิวโหย่วเต้าก็น่าจะรู้เรื่อง แล้วก็ต้องแอบหนีไปตั้งแต่แรกแล้วถึงจะถูก เหตุใดต้องทำตัวอ้อมค้อมไปมา เสี่ยงอันตรายรอมาจนถึงตอนนี้ด้วย? อีกทั้งก่อนจากไปเหลยจงคังยังส่งสายตาให้ข้า คล้ายจะจนปัญญาอย่างยิ่งเช่นกัน ดูเหมือนหนิวโหย่วเต้าจะเปลี่ยนใจกะทันหัน ทำให้เขาไม่มีเวลามาแจ้งข่าวพวกเรา”
หวงเอินผิงขมวดคิ้ว “หรือว่าเหลยจงคังจะถูกจับได้แล้ว?”
ชุยหย่วนเอ่ยด้วยความลังเล “ก็ไม่คล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้นนะขอรับ หากเหลยจงคังถูกจับได้จริงๆ เหตุใดหนิวโหย่วเต้ายังพาเขาไปด้วยล่ะขอรับ? แอบปลีกตัวหนีไปก็ได้ เหตุใดยังต้องเก็บตัวปัญหาเอาไว้ข้างกายด้วย?”
เช่นนี้แล้ว เมื่อทั้งสองลองใคร่ครวญดู ก็พบว่าคล้ายจะมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือตัวหนิวโหย่วเต้าตื่นตัวระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง จงใจวางอุบายล่อลวงไว้มากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ร่องรอยการเดินทางถูกเปิดเผย
“เดรัจฉานตัวนี้เจ้าเล่ห์นัก!” หวงเอินผิงเอ่ยอย่างชิงชัง
“แล้วทางอาจารย์อาจะทำอย่างไรดี?” ชุยหย่วนเอ่ยถาม สีหน้าคล้ายยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หวงเอินผิงเองก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเช่นกัน เมื่อหนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้ เรื่องอำเภอซานหูก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกลลวง แท้ที่จริงแล้วอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะไปที่นั่นเลย ส่วนอาจารย์อาที่ออกโรงด้วยตัวเองได้รวบรวมคนของทั้งสามสำนักรีบเดินทางข้ามคืนไปยังอำเภอซานหู นับตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบห้าชั่วยามแล้ว หากจะรอให้ทางนั้นได้รับแจ้งข่าว แล้วค่อยรีบเดินทางกลับมาค้นหาอีกที เช่นนั้นมันมิน่าขันหรอกหรือ ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าหนีไปไหนต่อไหนแล้ว
อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าอาศัยเส้นทางลับของโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์จากไปแล้ว พวกเขามีกันแค่สองคน การจะตามหาหนิวโหย่วเต้าท่ามกลางเทือกเขาที่กว้างใหญ่นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทรเลย ไม่มีทางจะหาพบได้ ต่อให้มีคนมากกว่านี้อีกหลายเท่าก็ยังยากลำบากอย่างมาก
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทางนี้ยังคงต้องรายงานสถานการณ์ให้ทางฝั่งอาจารย์อารับทราบ ให้อาจารย์อาตัดสินใจเอาเองว่าสมควรทำอย่างไร
ทางนี้เขียนจดหมายลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นปล่อยปีกทองออกไป
หลังเร่งจัดการเรื่องเหล่านี้จนเสร็จ หวงเอินผิงก็หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ ถอนใจพลางกล่าวว่า ‘’หากอยากรู้ว่าเจ้าเหลยจงคังมันหลอกพวกเราหรือไม่ เรื่องนั้นไม่ยาก แค่รอดูว่าเขาจะโปรย ‘เหยื่อหอม’ เอาไว้หรือไม่”
ชุยหย่วนเองก็นั่งลงด้านข้างเช่นกัน เรื่องมาถึงขนาดนี้ ทั้งสองหมดปัญญาแล้ว ทำได้เพียงรอคอยการตัดสินใจจากทางฝั่งอาจารย์อา หรือไม่ก็ฝากความหวังไว้กับเหลยจงคัง
…..
ภายในสวนบุปผาของจวนเจ้าเมือง พ่อบ้านใหญ่เซี่ยงหมิงดูไม่คล้ายพ่อบ้าน หากแต่เหมือนคนสวนคนหนึ่งมากกว่า ไป๋อวี้โหลวมักจะเห็นเขาถือกรรไกรคอยตัดเล็มดอกไม้ใบหญ้าในสวนบุปผาด้วยตัวเองเป็นประจำ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ไปแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินคำรายงานของไป๋อวี้โหลว เซี่ยงหมิงพลันหยุดเล็มกิ่ง ค่อยๆ หันมาหาเขา คล้ายค่อนข้างแปลกใจ
ไป๋อวี้โหลวค้อมกายเล็กน้อย เอ่ยว่า “ขอรับ เพิ่งใช้เส้นทางลับเดินทางจากไป เสี่ยวเอ้อยืนยันว่าเห็นกับตาขอรับ”
เซี่ยงหมิงเงียบไป เดิมทีเขาคิดว่าหนิวโหย่วเต้าเข้าใกล้ซาฮ่วนลี่ด้วยมีเจตนาแอบแฝง จึงคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ กล้าพุ่งเป้ามาที่ซาฮ่วนลี่ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำโดยแท้ เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าคนที่ไม่รู้อะไรควรไม่ควรผู้นี้คิดจะเล่นลูกไม้อันใด แต่ผู้ใดจะทราบว่าอีกฝ่ายกลับมิได้มีความคิดจะเข้าหาประจบประแจงเลย เพียงเรียกร้องเงินก้อนหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ก็จากไปแล้ว
“ดูเหมือนข้าจะคิดมากไปเอง” เซี่ยงหมิงบ่นกับตัวเอง
ไป๋อวี้โหลวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ระแวงไว้สักหน่อยย่อมไม่เสียหายขอรับ”
เซี่ยงหมิงเอ่ยถาม “คนผู้นี้เป็นใคร?”
ไป๋อวี้โหลวเอ่ยตอบ “เท่าที่คุยกับเขามา เขาไม่ยอมเผยตัวตนขอรับ แต่เห็นได้ชัดว่าสำนักเซียนสถิตมุ่งร้ายต่อเขา หากว่าท่านพ่อบ้านอยากทราบ ไปสอบถามสำนักเซียนสถิตดูก็น่าจะรู้ขอรับ”
เซี่ยงหมิงปรายตามองเขา “ได้ยินว่าเขามอบของตอบแทนให้เจ้าไม่น้อยเลยอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋อวี้โหลวใจเต้นแรงขึ้นมา ทราบว่าเรื่องแว่วไปถึงหูอีกฝ่ายแล้ว จึงหัวเราะแหะๆ พร้อมตอบไปว่า “ข้าน้อยเพียงเห็นว่าท่านเจ้าเมืองชื่นชอบภาพวาดของเขา กังวลว่าท่านเจ้าเมืองจะเรียกพบเขาอีก จึงเอ่ยเตือนไปเล็กน้อย ผู้ใดจะทราบว่าเขากลับมือเติบนัก จะไม่รับไว้ก็น่าเสียดาย ข้าจึงไม่ได้ปฏิเสธ ท่านพ่อบ้านวางใจเถิดขอรับ ข้าทราบกฎระเบียบดี เมืองไจซิงของพวกเราวางตัวเป็นกลาง ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น ข้าน้อยจะรักษากฎเป็นอย่างดีขอรับ!”
“รู้ก็ดีแล้ว ถ้ายังอยากใช้เงินก็จงอยู่เงียบๆ ไว้ อย่าสอดมือไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง มิเช่นนี้ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อความปลอดภัยไม่ได้” เซี่ยงหมิงเอ่ยเสียงเรียบ หันกลับไปตัดเล็มดอกไม้ใบหญ้าเหล่านั้นต่อ
……
ซ่าซ่าซ่า! เงาร่างมนุษย์ร่างแล้วร่างเล่ากระโจนขึ้นมาจากสายน้ำเชี่ยวกราก ทะยานลงริมฝั่ง เป็นพวกหนิวโหย่วเต้า
พวกหนิวโหย่วยังนับว่าสบายดี มีเพียงหยวนฟางเท่านั้นที่เปียกชุ่มไปทั้งตัว น้ำหยดจากร่างเป็นทาง สภาวะของเขาไม่เพียงพอจะต้านทานแรงกระแทกของกระแสน้ำได้นานนัก
เมื่อยืนยันตำแหน่งของตัวเองจากภูเขาสูงหลายลูกที่อยู่ห่างไกลออกไปเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เลือกทิศทางหนึ่ง พาคนในกลุ่มลัดเลาะตัดผ่านเทือกเขาไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่เดินทาง เหลยจงคังใช้นิ้วคีบเม็ดกลมที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองขึ้นมาไว้ในมือ บีบขี้ผึ้งให้แตก แอบโปรยลงบนพื้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยในขณะที่เดินทางอยู่
ทั้งกลุ่มจากไปไกลแล้ว เม็ดกลมที่หล่นอยู่บนพื้นเกิดความเปลี่ยนแปลงเมื่อต้องลม ผิวของมันค่อยๆ ขรุขระขึ้นทีละนิด เริ่มเกิดการผุกร่อน ก่อนจะส่งกลิ่นหอมเบาบางออกมา
เมื่อตัดผ่านเทือกเขาไป ทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ไกลออกไปมองเห็นลานม้าแห่งหนึ่งอยู่รางๆ
ลานม้าแห่งนี้มิใช่แห่งเดียวกับลานม้าที่หนิวโหย่วเต้าเอาม้าไปฝากเมื่อตอนมาถึง เนื่องจากมีผู้บำเพ็ญเพียรมาจากทั่วทุกสารทิศ จึงมีลานม้าตั้งเอาไว้หลายแห่งรอบเมืองไจซิง
อย่าเห็นว่านี่เป็นเพียงลานม้าธรรมดาเท่านั้น อันที่จริงแล้วรายได้ที่ได้จากลานม้าแต่ละแห่งล้วนไม่ได้น้อยไปกว่าโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์เลย เนื่องจากผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่ขี่ม้าเดินทางมาที่นี่ พอฝากม้าไว้ที่ลานม้าแล้วก็ไม่ได้ย้อนกลับไปทางเดิม ม้าที่ฝากไว้ในลานม้าแทบจะไม่ได้ต่างอะไรกับการยกให้ลานม้าไปเปล่าๆ เลย
หากว่าฝากม้าไว้ที่นี่นานเกินไป ค่าใช้จ่ายในการฝากม้ายังสูงกว่าการไปซื้อม้าใหม่เสียอีก ส่วนใหญ่จึงไม่มีผู้ใดกลับมาไถ่ม้าของตนคืน
ยกตัวอย่างเช่นหนิวโหย่วเต้าในเวลานี้ก็ไม่ได้มีความคิดจะกลับไปรับม้าของตนคืนจากลานม้าตอนขามา หากแต่พาทุกคนมุ่งหน้ามายังลานม้าแห่งนี้แทน
เมื่อมาถึงลานม้า ภายในลานม้ามีม้าถูกปล่อยทิ้งไว้มากมาย ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่มีม้าให้ซื้อ มีหกคนก็ซื้อม้าหกตัว ควบขี่ออกจากลานม้าไป มุ่งตรงไปยังส่วนลึกของทะเลทราย
พวกเฮยหมู่ตานที่อยู่บนหลังม้ามองหน้ากันเป็นพักๆ ตอนแรกบอกว่าจะไม่มาเอาม้าที่ลานม้า จะใช้วิธีเดินเท้าแทน ส่วนตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไรให้มากความอีก เห็นได้ชัดว่าเต้าเหยี่ยปรับเปลี่ยนแผนการอีกแล้ว
ยิ่งพอวิเคราะห์จากทิศทางที่กำลังมุ่งหน้าไป นี่ไม่ใช่เส้นทางที่จะไปยังอำเภอซานหูเลย ไม่ทราบเช่นกันว่าจะใช้ทางอ้อมหรือไม่ หรือว่าเดิมทีอำเภอซานหูก็เป็นแค่ตัวหลอกอยู่แล้ว ก่อนออกเดินทางเน้นย้ำเอาไว้ว่าจะไปที่อำเภอซานหู แต่พอออกเดินทางกลับถูกเต้าเหยี่ยพาอ้อมไปอ้อมมา ทำให้ทุกคนมึนงงอยู่บ้าง
สรุปแล้วในการเดินทางครั้งนี้พวกเฮยหมู่ตานก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าอย่าถาม หากเป็นเรื่องที่สมควรบอกย่อมต้องบอกพวกเจ้า ไม่อย่างนั้นต่อให้ถามไปก็ไม่ได้ตำตอบอะไร
และความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของหนิวโหย่วเต้าที่เอาแต่ปรับเปลี่ยนแผนการครั้งแล้วครั้งเล่ากลับทำให้เหลยจงคังเริ่มไม่สบายใจขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าระมัดระวังเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร หรือเขาจะรู้อะไรเข้าแล้ว?
…..
ภายในร้านค้าของสำนักเซียนสถิต สองศิษย์พี่น้องนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นด้วยความจนปัญญา ทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น ชุยหย่วนกลับไปคืนห้องพักที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์มาแล้ว
ภายในกรงนกกรงหนึ่งที่แขวนอยู่ใต้คานพลันมีเสียงนกร้องดังจิ๊บจิ๊บขึ้นมา สองศิษย์พี่น้องหันกลับไปมองในทันใด มองเห็นวิหคน้อยปีกสีเขียวสามตัวที่อยู่ในกรงกระโดดขึ้นกระโดดลงอยู่ภายในกรงไม่หยุด
วิหคชนิดนี้มีนามว่า ใฝ่หอม!
ทั้งสองหันมาสบตากันในทันใด โพล่งออกมาพร้อมกันว่า “เหลยจงคัง!”
ทั้งคู่ลุกขึ้นมาพร้อมกัน ชุยหย่วนเอ่ยอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ ทำอย่างไรดี? หากรอจนพวกอาจารย์อากลับมา ฤทธิ์ของเหยื่อหอมคงจะสลายไปหมดแล้ว”
หวงเอินผิงเอ่ยเสียงขรึม “จะปล่อยให้เจ้านั่นหนีไปไม่ได้ พวกเราไปตามหาเขากันเถอะ!”
ชุยหย่วนรั้งตัวเขาไว้ “ศิษย์พี่ ต่อให้เหลยจงคังอยู่ฝ่ายพวกเรา แต่ท่าทีของพวกเฮยหมู่ตานทั้งสามกลับไม่แน่ชัด รวมกับทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าเข้าไปอีก เท่ากับพวกเขามีกันห้าคน แค่ส่งคนมาพัวพันถ่วงเวลาเอาไว้สักสองคนก็อาจจะทำให้หนิวโหย่วเต้ามันหนีรอดไปได้แล้ว แล้วพวกเราไปกันแค่สองคนจะจัดการได้หรือ?”
หวงเอินผิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า “ไปหาคนของสำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าร้านกันเถอะ พวกเขาต้องให้ความช่วยเหลือแน่นอน มิเช่นนั้นหากสามสำนักร่วมมือกันแล้วยังจัดการเจ้านั่นไม่ได้ พวกเขาเองก็ต้องขายหน้าเช่นกัน”
ชุยหย่วนยกมือชี้ไปรอบๆ “ถ้าไม่มีคนคอยเฝ้า แล้วของในร้านจะจัดการอย่างไร? ข้าวของในนี้ก็มีมูลค่าไม่น้อยเลยนะศิษย์พี่!”
หวงเอินผิงเอ่ยว่า “เก็บไม่ทันแล้ว แขวนป้ายปิดร้านไว้หน้าประตู ลงกลอนประตูให้ดี ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้ามาหรอก หากว่าเอาแต่นั่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนปล่อยให้สารเลวแซ่หนิวมันหนีรอดไปได้ ทางสำนักจะนึกสงสัยในความสามารถของพวกเรา ถึงเวลานั้นอนาคตของพวกเราจะน่าเป็นห่วง!”
ชุยหย่วนคิดๆ ก็พบว่าจริงดั่งว่า คนนอกไม่ทราบเรื่องราวภายใน แล้วก็ไม่มีทางบุกมาสร้างความวุ่นวายภายในร้านค้าของสำนักแห่งหนึ่งด้วย
ทั้งสองเตรียมการอย่างรวดเร็ว จับนกใฝ่หอมในกรงออกมา แล้วก็นำปีกทองไปด้วยอีกตัว ปิดประตูร้านให้เรียบร้อย พร้อมแขวนป้ายปิดร้านไว้หน้าประตูแล้วจากไป
ทั้งสองมาที่ร้านค้าของสำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาส ผ่านไปสักพัก ร้านค้าทั้งสองร้านก็ทยอยแขวนป้ายปิดร้านเช่นกัน
รวบรวมคนมาได้หกคน ออกจากเมืองไจซิงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาหมู่เขาที่อยู่ด้านนอก ชุยหย่วนก็ปล่อยนกใฝ่หอมออกไป
นกใฝ่หอมบินวนเวียนอยู่ในอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะบินไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งหกคนไล่ตามไปทันที
มนุษย์ที่อยู่บนพื้นมีข้อจำกัดจากสภาพภูมิประเทศ บางครั้งเมื่อไล่ตามมันไปไม่ทัน ชุยหย่วนจะหยิบขลุ่ยไผ่สั้นๆ เลาหนึ่งออกมาเป่าดัง “กรู้ๆ” นกใฝ่หอมจะร่อนลงพื้นรอคอยพวกเขา
เมื่อทั้งกลุ่มตามมาถึง เป่าขลุ่ยสั้นทีหนึ่ง นกก็จะออกบินอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ไม่นานนัก ทั้งกลุ่มก็พบเหยื่อหอมเม็ดแรกที่ถูกทิ้งไว้ นกใฝ่หอมโผลงบนพื้น ใช้จะงอยปากจิกกิน กระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่า คล้ายจะชมชอบกินสิ่งนี้ยิ่งนัก
พวกหวงเอินผิงเห็นว่าตำแหน่งของเหยื่อหอมเม็ดนั้นอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางน้ำ ภายในใจยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น ไล่ตามร่องรอยไปต่อ
……………………………………………………..