ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 14 เคล็ดวิชามหาจักรวาล
ตอนที่ 14 เคล็ดวิชามหาจักรวาล
เขาดูค่อนข้างตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด พลิกคันฉ่องในมือดูอย่างรวดเร็ว
รูปสลักร้อยบุปผาที่นูนเว้าอยู่ด้านหลังคันฉ่องมีชีวิตชีวาสมจริง ยืนยันได้ว่าเป็นคันฉ่องที่ตงกัวเฮ่าหรานมอบให้เขาบานนั้นไม่ผิดแน่ เมื่อครู่หยิบมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่คิดเลยว่าปมปริศนาที่ไม่เคยไขออกจะคลี่คลายภายใต้แสงจันทร์ ที่ผ่านมาเพื่อไขปริศนาคันฉ่องแล้ว อย่าว่าแต่แสงจันทร์เลย กระทั่งใต้แสงอาทิตย์ก็ลองดูแล้ว แช่น้ำเผาไฟยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทว่าไม่พบเงื่อนงำใดๆ เลย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะค้นพบร่องรอยบางอย่างในสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายแบบนี้!
เขายื่นมือวักน้ำเย็นภายในโอ่งน้ำอีกครั้ง ปากยังคงขยับร่ายเอ่ยความ “จันทร์สื่อหยิน ปฐพีโอบอุ้มสรรพสิ่ง วารีก่อหยินกระจ่าง เก้าวังแปดทิศ ทำไมถึงคิดไม่ออกกันนะ…” หลังจากพึมพำอยู่สักพัก หนิวโหย่วเต้าก็ตกอยู่ในสภาวะใจลอยอีกครั้ง นึกถึงเหตุการณ์ในสุสานโบราณก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น เป็นเพราะเขาไขปริศนาผังเก้าวังแปดทิศในภูเขาได้ เขาถึงได้หาทางเข้าสุสานโบราณพบ แล้วก็เป็นเพราะเขาแตะต้องคันฉ่องโบราณในสุสานบานนั้นถึงได้เกิดเรื่องขึ้น
หรือว่าคันฉ่องบานนี้จะเกี่ยวข้องกับคันฉ่องโบราณในสุสานโบราณจริงๆ? หากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ เกรงว่าจุดประสงค์ของผู้ที่วางค่ายกลเก้าวังแปดทิศไว้ในสุสานโบราณคงจะต้องการชี้มาที่คันฉ่องบานนี้เป็นแน่ เพราะคนที่สามารถทำลายค่ายกลได้ก็ย่อมสามารถไขปริศนาบนคันฉ่องโบราณได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าผากตัวเองแรงๆ พลางส่ายหน้าไปมา เนื่องเพราะคันฉ่องในมือเป็นสิ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานมอบให้ ทำให้เขามองข้ามอะไรบางอย่างไป หากไม่เกิดเรื่องขึ้นในสุสานโบราณ คันฉ่องโบราณก็จะถูกนำกลับไปศึกษาค้นคว้าด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ทันทีที่พบเงื่อนงำ เกรงว่าเขาคงจะนึกเชื่อมโยงหาวิธีไขปริศนาคันฉ่องสัมฤทธิ์โบราณได้จากการทำลายค่ายกลในสุสานโบราณไปนานแล้ว
อันว่าเรื่องราวไม่ควรคิดให้ลึกเกินไป ยิ่งคิดยิ่งสับสนงมงาย
พอคลายข้อสงสัยในใจได้ก็กลับมาอยู่กับความเป็นจริง คันฉ่องหันไปทางแสงจันทร์อีกครั้ง จุดแสงเลือนรางเก้าตำแหน่งปรากฏขึ้นบนผิวน้ำที่ไหวกระเพื่อมเล็กน้อยอีกครั้ง
หนิวโหย่วเต้ามือหนึ่งถือคันฉ่อง มือหนึ่งเริ่มนับนิ้วคำนวณ เดินวนรอบโอ่งน้ำอย่างเชื่องช้า ทำการคำนวณหาตำแหน่งของผังภาพหลังบานคันฉ่อง
หลังจากมั่นใจแล้ว เขาก็มองดูองศาที่คันฉ่องหันรับแสงจันทร์ จากนั้นพลิกคันฉ่องในมือ หันด้านหลังคันฉ่องรับแสงจันทร์ นิ้วมือแตะลงบนดอกไม้ที่ปูดนูนแต่ละดอกในผังภาพร้อยบุปผา ปากพึมพำว่า “นภา วารี บรรพต อัศนี ใจกลาง วาตะ อัคคี ปฐพี ชลา!”
หลังจากยืนยันตำแหน่งบุปผาทั้งเก้าดอก เขาก็นั่งยองๆ อยู่ข้างโอ่งน้ำ คันฉ่องคว่ำอยู่บนพื้น ฝ่ามือทั้งสองข้างแยกออก นิ้วโป้งทั้งสองยื่นแตะชิด ก่อนจะประกบรวมเป็นหนึ่ง แตะลงบนบุปผาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดดอกหนึ่ง สี่นิ้วซ้ายขวาต่างกดลงบนบุปผาแต่ละดอก สี่นิ้วซ้ายขวารวมกันเป็นแปด ประกอบกับนิ้วโป้งที่ประกบรวมกันเป็นเก้า นิ้วโป้งทั้งสองที่อยู่ตรงกลางยกแยกออกแทนจุดตาปลาทั้งสองในผังหยินหยางแปดทิศ สิบนิ้วประสานรวมกันเช่นนี้คือสัญลักษณ์มือสื่อถึงผังเก้าวังแปดทิศ เขาทำสัญลักษณ์นี้พลางกดลงบนบุปผาทั้งเก้าดอกในคราวเดียวกัน ออกแรงเต็มที่ กดลงไปพร้อมกัน
มีเสียงดัง ‘กริ๊ก’ แผ่วเบาดังออกมาจากด้านในคันฉ่อง หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้ว เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ต้องออกแรงกดบุปผาเก้าดอกพร้อมกันถึงจะคลายผนึกของคันฉ่องได้ ผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่อาจเปิดได้
เขาคลายมือออก บุปผาที่ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏลวดลายเด่นชัดทั้งเก้าดอกยกตัวขึ้นมา เผยให้เห็นร่องที่อยู่ด้านล่างบุปผา
หนิวโหย่วเต้าถือคันฉ่องไว้ในมือ หันรับแสงจันทร์ส่องน้ำอีกครั้ง จุดแสงเก้าตำแหน่งหายไปแล้ว เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเอ่ยงึมงำ “ใช่แล้ว! หยินเลือนหยางส่อง ดูเหมือนต้องรอเจอพระอาทิตย์วันพรุ่งนี้ต่อ!” เขาเหลียวมองรอบๆ เร่งฝีเท้าเดินเข้าห้องไป ทั้งคืนไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกฝนอะไร คอยเฝ้ารอให้พรุ่งนี้มาเยือน…
……..
วันต่อมาเมื่อโผล่หน้าออกไป ด้านนอกผลัดคนเฝ้าเป็นสวี่อี่เทียนแล้ว คนผู้นี้ดูแคลนที่จะพูดคุยกับหนิวโหย่วเต้าเสมอมา หนิวโหย่วเต้าทักทายเพียงคำหนึ่ง คร้านจะคุยไร้สาระกับเขาให้พาลเสียอารมณ์ รู้ดีว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์ นำสำรับมื้อเช้าที่สวี่อี่เทียนมาส่งให้กลับเข้าเรือน
หนิวโหย่วเต้าหยีตามองแสงอาทิตย์ กลับเข้าไปในโถงดอกท้อหยิบคันฉ่องที่ซ่อนไว้อย่างดี ก่อนจะเดินออกมาอีกครั้งเสาะหาห้องที่หน้าต่างหันรับตะวันแล้วเปิดหน้าต่างออก หันด้านหลังคันฉ่องหาดวงตะวัน ทันใดนั้นรัศมีทองเลือนลางพลันปรากฏขึ้นบนบานคันฉ่องที่เป็นมันวาว แสงสีทองเรียงร้อยปรากฏเป็นตัวอักษรในบานคันฉ่อง ด้านข้างมีอักษรสีทองแถวหนึ่งนำร่องขึ้นมา: เคล็ดวิชามหาจักรวาล!
เพียงแค่ตัวอักษรแถวนี้ก็ทำให้หนิวโหย่วเต้าตื่นตะลึงได้แล้ว เขาเพ่งอ่านตัวอักษรเล็กๆ อย่างละเอียด ไม่นานก็แน่ใจแล้วว่าเป็นเคล็ดวิชาชุดหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
อย่างไรก็ตามถ้ามีแค่หน้านี้เพียงหน้าเดียวก็ไม่มีตัวอักษรมากนัก เขาพลักคันฉ่องมองพินิจลายบุปผาด้านหลังอีกครั้ง เมื่อสามารถไขปริศนาของคันฉ่องนี้ได้ บุปผาที่เหลืออยู่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีก เขาคำนวณดูเล็กน้อย บิดหมุนบุปผาดอกหนึ่งเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงดังกริ๊กจึงหยุด ชูด้านหลังคันฉ่องรับแสงตะวันอีกครั้ง ตัวอักษรบนคันฉ่องเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากอ่านดูแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เป็นไปตามคาด เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
ตลอดทั้งวันเรียกได้ว่าเขากอดคันฉ่องไว้แล้วส่องดูมันอย่างลุ่มหลงงมงาย เพื่อไล่ตามแสงอาทิตย์แล้ว เขาสลับสับเปลี่ยนย้ายห้องไปเรื่อยๆ ในตอนเที่ยงถึงกับปีนขึ้นไปบนคานแล้วเปิดกระเบื้องหลังคาแผ่นหนึ่งออกเพื่อรับแสง
เมื่อแสงตะวันเลือนหายไปจากขอบฟ้าอย่างสมบูรณ์ หนิวโหย่วเต้าที่ขลุกอยู่ในห้องปีกตะวันตกถึงจะปิดหน้าต่างลง กดลายบุปผาด้านหลังคันฉ่องที่ยกนูนขึ้นมาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม เขาดีดนิ้วเคาะคันฉ่องทีหนึ่ง ได้ยินเสียงตันๆ ดุจเป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง ใครจะจินตนาการได้ว่าด้านในคันฉ่องจะซุกซอนกลไกเช่นนี้เอาไว้
ช่วงกลางวันที่ผ่านมา เขาใช้วิธีกลืนพุทราทั้งลูกโดยไม่เคี้ยว[1]อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในคันฉ่องอย่างคร่าวๆ ภายในคันฉ่องเรียกได้ว่ามีทั้งเนื้อหาและภาพประกอบครบถ้วน แน่ชัดแล้วว่าเป็นเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง มิใช่สิ่งที่ ‘เอกะวิถี’ ที่ไม่สมบูรณ์ชุดนั้นจะเทียบเคียงได้เลย
ความจริงการนำเนื้อหามากมายปานนั้นไปซุกซ่อนอยู่ในคันฉ่องบานหนึ่งนั้นไม่ถือว่ามากเกินไป เมื่อค่ายกลเก้าวังแปดทิศในคันฉ่องโยกย้ายสลับตำแหน่ง ภาพภายในคันฉ่องก็จะสามารถสลับสับเปลี่ยนพลิกแพลงไปได้ไม่รู้จบ สามารถซ่อนเนื้อหาเหล่านี้ไว้ได้ทั้งหมด
สิ่งที่ทำให้เขาต้องลูบคันฉ่องทอดพลางทอดถอนใจชื่นชมอย่างแท้จริงก็คือโครงสร้างภายในอันแสนซับซ้อนและประณีตแม่นยำของคันฉ่องบานนี้ กระทั่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในชาติก่อนก็ยากจะรังสรรค์ขึ้นมาได้ เกรงว่ากระทั่งจะลอกเลียนแบบออกมาก็ยังทำได้ยาก วิทยาการด้านงานเหล็กของโลกนี้ช่างยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการของเขานัก!
และเนื่องด้วยเหตุนี้ เขาถึงเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าวิชายุทธ์ทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ด้านในจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่แปลกเลยที่ตงกัวเฮ่าหรานจะบอกว่าเขาแลกชีวิตเพื่อคันฉ่องบานนี้
ปมปริศนาของคันฉ่องคลี่คลายแล้ว เนื้อหาด้านในทำให้หนิวโหย่วเต้าเกิดความคาดหวังอันแรงกล้า
วันเวลาต่อจากนั้น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษา ‘เคล็ดวิชามหาจักรวาล’ หลังเกิดความมั่นใจแล้ว เขาจึงเริ่มฝึกปรืออย่างเป็นทางการ
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งเดือน เขาก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของ ‘เคล็ดวิชามหาจักรวาล’ ชุดนี้ ความก้าวหน้าในการฝึกฝนมิใช่สิ่งที่ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หหัยสูตร’ จะเทียบเคียงได้ เรียกได้ว่าก้าวหน้ารวดเร็วกว่า ‘เอกะวิถี’ ที่เขาฝึกฝนอยู่ไม่น้อย ทันทีที่โคจรกำลังภายใน ปราณแท้เอกะวิถีสายนั้นจะถูกกระตุ้นให้แล่นพล่านไปทั่ว ไม่เหมือนตอนฝึกฝน ‘สวรรค์พิสุทธิ์หหัยสูตร’ ที่ยากจะขยับเขยื้อนปราณแท้เอกะวิถีสายนั้นได้ ทำให้เขามีความมั่นใจในการฝึกฝนต่อไปมากยิ่งขึ้น
เรื่องเดียวที่ทำให้เขานึกเสียใจคือ หากรู้แต่แรกว่าคันฉ่องบานนี้ใช้งานอย่างไร เขาคงรั้งอยู่ที่หมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยว ไม่วิ่งมาถึงที่นี่ให้ถูกผู้อื่นกักบริเวณหรอก
แต่จะว่าไปแล้ว หากรั้งอยู่ในหมู่บ้านเกรงว่าคงต้องกังวลกับการหาเลี้ยงปากท้อง คนที่อยู่ในเส้นทางบำเพ็ญเพียร ทรัพยากรและปัจจัยต่างๆ ไหนเลยจะขาดตกบกพร่องไปได้? เมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ยามนี้ก็ทำได้เพียงปลอบใจตนไปเช่นนี้เท่านั้น
หลายวันต่อมา หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าปราณแท้ในร่างที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันมีกลิ่นอายของจักรวาลฟ้าดินขึ้นมาแล้ว ปรากฏข้อแตกต่างแห่งหยินหยาง ปราณแท้ภายในร่าง สายหนึ่งร้อน สายหนึ่งเย็น
หลังจากนั้นอีกหลายวัน ปราณแท้แห่งเอกะวิถีที่เลื่อนลอยไปมาคล้ายจะถูกหลอมละลายด้วยปราณแท้ร้อนเย็นคู่นั้นจนอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดก็ยื้อเอาไว้ไม่ไหว ขาดสะบั้นแยกตัวออกเป็นสี่กลุ่ม สองกลุ่มแรกเจือแสงทองจางๆ ส่วนสองกลุ่มที่เหลือเจือแสงเงินเล็กน้อย
กลุ่มแสงทองและกลุ่มแสงเงินเกี่ยวกระหวัดพัวพันไม่คลาย กลายเป็นกลุ่มแสงสองคู่ ยามที่ต่างฝ่ายต่างพุ่งไปตามเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตูทั้งสองสาย พวกมันก็ได้พบพานกับปราการที่ตงกัวเฮ่าหรานทิ้งไว้ในร่างอีกครั้ง นั่นคือยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายทั้งสามสิบสามสายที่ยึดโยงเลือดลมอยู่ในจุดลมปราณสามสิบสามตำแหน่งประหนึ่งใยแมงมุม!
เดิมทีมีอยู่สามสิบหกสาย ใช้สังหารสัตว์ประหลาดบนวัดร้างในภูเขาไปหนึ่งสาย ตอนล่องแพแล้วเกือบแข็งตายก็ใช้ไปอีกหนึ่งสาย ตอนต้านรับฝ่ามือที่หมายปลิดชีวิตของถังซู่ซู่ก็ใช้ไปอีกหนึ่งสาย เหลืออยู่สามสิบสามสาย!
ยามปราณแท้เอกะวิถีพุ่งกระแทกใยแมงมุมจะถูกดีดสะท้อนกลับมา หนิวโหย่วเต้าอยากลองทดสอบปฏิกิริยาของปราณแท้มหาจักรวาลดู จึงจงใจเดินลมปราณเข้าปะทะทันที
เป็นเช่นเดียวกับครั้งก่อน ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายทำการสะท้อนกลับอย่างรุนแรงอีกครั้ง แสงทองและแสงเงินที่เกี่ยวกระหวัดกันเป็นคู่ถูกกระแทกออกมา ทว่าไม่ได้ถูกดีดออกไปไกลนัก เนื่องเพราะแสงเงินและแสงทองทั้งสองกลุ่มหมุนวนเป็นวงกลมเพื่อสลายแรงกระแทกส่วนใหญ่ออกไป ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้หนิวโหย่วเต้าคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา เขารีบควบคุมแสงเงินและแสงทองทั้งสองกลุ่มให้พุ่งเข้าไปหายันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย ทว่าครั้งนี้ไม่ได้ฝืนเข้าปะทะตรงๆ อีก หากแต่ให้แสงเงินและแสงทองสองสายแยกตัวออกจากกันหลังเข้าไปใกล้ จากนั้นเริ่มเข้าพัวพันหมุนวนรอบเส้นที่อยู่บนใยแมงมุมสีเลือด ทำเช่นเดียวกับที่หลอมละลายปราณแท้เอกะวิถี อาศัยความร้อนเย็นคนละขั้วของปราณแท้มหาจักรวาลทำการหลอมละลายมัน
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ตรงตำแหน่งที่ถูกหลอมบนใยแมงมุมสีเลือดค่อยๆ มีหมอกโลหิตลอยฟุ้งออกมา นี่มิใช่เลือดของเขา หากแต่เป็นเลือดของตงกัวเฮ่าหรานที่ฝังลงในร่างเขายามประทับยันต์ครานั้น
สิ่งที่ทำให้หนิวโหย่วเต้าทั้งตื่นตะลึงและยินดีคือปราณแท้มหาจักรวาลไม่เพียงแต่จะหลอมละลายเอาเลือดลมแปลกปลอมที่อยู่บนยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายออกไปได้ ทว่าปราณแท้ต่างชนิดที่ผสมรวมอยู่ในนั้นก็ถูกหลอมละลายออกไปทีละน้อยด้วยเช่นกัน หลังจากหลอมละลายแล้วก็ถูกปราณแท้มหาจักรวาลที่โคจรหมุนวนดูดซับผสานเข้าไปในตัว
ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายคือสิ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานใช้สภาวะที่สั่งสมมาชั่วชีวิตประทับถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของเขาก่อนที่จะสิ้นชีพ แต่ปราณแท้ต่างชนิดที่ทรงพลังเช่นนี้กลับถูกปราณแท้มหาจักรวาลหลอมละลายแล้วดูดซับเอาไว้ในตัวได้ เช่นนั้นมิเท่ากับว่าตนสามารถดูดซับสภาวะของตงกัวเฮ่าหรานได้หรอกหรือ?
หลังทำการยืนยันว่าเป็นจริงดังว่า หนิวโหย่วเต้าก็เรียกได้ว่าดีใจจนแทบคลุ้มคลั่ง สำหรับเขาแล้ว สภาวะของตงกัวเฮ่าหรานนั้นคือความแข็งแกร่งระดับใดกันเล่า!
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพอดูดซับปราณแท้ของตงกัวเฮ่าหรานมาแล้ว ระดับสภาวะในการบำเพ็ญเพียรของเขาก็รุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่ารวดเร็วกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรด้วยตัวเองนับพันเท่าก็ว่าได้
จากการสัมผัสและมองดูปราณแท้ที่อยู่ภายใน เมื่อทำการเปรียบเทียบปราณแท้มหาจักรวาลที่เขาฝึกฝนออกมากับยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่เข้ายึดกุมจุดลมปราณต่างๆ แล้ว รูปทรงของพวกมันเรียกได้ว่าแตกต่างกันเหมือนมดปลวกและต้นไม้ใหญ่ หากคิดจะหลอมละลายยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสักตำแหน่งหนึ่ง เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้เขาทราบว่าสภาวะที่แฝงอยู่ภายในยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายทั้งสามสิบสามสายนั้นสูงส่งลึกล้ำเพียงใด
หนิวโหย่วเต้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายที่น่ายินดีเช่นนี้อยู่ ไม่ได้สังเกตเลยว่ารูขุมขนของตัวเองค่อยๆ มีหมอกโลหิตที่เบาบางลอยออกมาอย่างช้าๆ สาเหตุก็มาจากการหลอมละลายโลหิตของตงกัวเฮ่าหรานที่หลงเหลืออยู่ในร่างเขา ทำให้ภายในห้องมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมาจางๆ อีกครั้ง
…….
“ผู้อาวุโส! ได้ยินว่าศิษย์พี่หญิงจะแต่งให้กับหนิวโหย่วเต้าหรือขอรับ?”
ขณะที่ถังซู่ซู่กำลังจุดธูปบูชารูปปั้นบรรพจารย์อยู่ตรงหน้ากระถางธูป ซ่งเหยี่ยนชิงก็พุ่งเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทางที่ดูคล้ายคนคลุ้มคลั่ง เขาพุ่งไปหยุดด้านหลังนางพลางตะโกนถามเสียงดัง
ถังซู่ซู่ที่ปักธูปเสร็จเรียบร้อยหันขวับกลับไปทันที แววตาเจือเจตนาสังหาร จ้องมองซ่งเหยี่ยนชิงที่ร้อนใจจนแทบจะทนไม่ไหวอย่างเยียบเย็น เอ่ยเสียงกร้าวว่า “ยังมีระเบียบอยู่หรือไม่ เจ้าคิดจะทำอันใด คิดว่ากฎสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของข้าจัดการเจ้าไม่ได้เรอะ?”
ซ่งเหยี่ยนชิงสะดุ้งโหยง เสมือนถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งสาดใส่ สีหน้าเดือดดาลร้อนรนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว รีบสงบสติอารมณ์ลง จริงอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กริ่งเกรงอิทธิพลของตระกูลซ่ง แต่ถ้าทำให้คนผู้นี้โมโหขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ นางก็สามารถปลิดชีพตนได้เสมือนบี้มดปลวกตัวหนึ่งเช่นกัน
หลังจากทำความเคารพตามกฎระเบียบ ซ่งเหยี่ยนชิงก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “เป็นความจริงหรือขอรับผู้อาวุโส?”
ถังซู่ซู่ค่อยๆ หมุนตัวกลับมาเอ่ยอย่างเยือกเย็น “จริงแล้วจะทำไม?”
ซ่งเหยี่ยนชิงเผยสีหน้าขุ่นข้องเดือดดาลในทันใด “ผู้อาวุโส ท่านเคยรับปากไว้ บอกว่าจะยกศิษย์พี่หญิงถังให้ข้า เหตุใดจึงกลับคำพูดล่ะขอรับ”
………………………………………………………
[1] เปรียบเปรยถึงคนที่เข้าใจเรื่องราวอย่างไม่ถ่องแท้ ไม่รู้ลึกเห็นจริง ทราบเพียงภาพรวมเท่านั้น