ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 145 คนผู้นี้ประสาทหรือเปล่า
ตอนที่ 145 คนผู้นี้ประสาทหรือเปล่า?
หลังมองทั้งสองจากไป เหลยจงคังยกมือขึ้นล้วงตั๋วแลกทองที่เฮยหมู่ตานเพิ่งจะยัดใส่เสื้อของตนก่อนหน้านี้ออกมา ค่อยๆ เอามาคลี่กางอยู่ในมือ เงียบงันและเศร้าสร้อย
ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงมองไปที่เขา เข้าใจความรู้สึกของเขา ทั้งสองเดินเข้าไปหา แสดงตั๋วแลกทองที่อยู่ในมือ ความหมายคือทุกคนล้วนได้รับเหมือนกัน
เมื่อได้เห็นเงินมากมายขนาดนี้ ทั้งสามต่างรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ในอดีตที่ผ่านมาต้องทนรับความอัปยศอดสูเพื่อเงินหนึ่งแสนเหรียญทอง ตอนนี้หากรวมเงินที่อยู่ในมือของเฮยหมู่ตานเข้าไปด้วย พวกเขาก็จะมีเงินสองแสนเหรียญทองอยู่ในมือ เพียงพอที่จะเปิดสำนักแล้ว นี่เพิ่งจะทำงานได้กี่วันเอง เช่นนี้แล้วยังจะมีผู้ใดคิดเรื่องเปิดสำนักอีก?
แต่ละคนล้วนหมดความสนใจเรื่องก่อตั้งสำนักไปแล้ว เมื่อก่อนเฝ้าปรารถนาถึงเพียงนั้น ตอนนี้กลับพบว่าความคิดในอดีตช่างโง่เขลายิ่งนัก!
ก่อตั้งสำนักไปเพื่ออะไร? มิใช่เพื่อสิ่งเหล่านี้หรอกหรือ
แล้วอีกอย่าง ต่อให้ตอนนี้พวกเขาอยากก่อตั้งสำนักก็คงไม่กล้าทำแล้ว ผู้คนในเมืองไจซิงมิใช่คนตาบอด พวกเขาแบกห่อสัมภาระน้อยใหญ่เดินไปทั่วเมืองไจซิง ขอเพียงทั้งสามสำนักสละเวลาตั้งใจตรวจสอบดู ทั้งสามสำนักก็จะรู้ว่าพวกเขาทำเรื่องงามหน้าอันใดไว้ ถ้ายอมปล่อยพวกเขาไปก็แปลกแล้ว หากวันนี้พวกเขาก่อตั้งสำนัก พรุ่งนี้อาจจะถูกล้มล้างสำนักก็เป็นได้ นับว่าขึ้นเรือโจรแล้วจริงๆ!
……
เงาร่างมนุษย์สองร่างวูบไหวอยู่ท่ามกลางป่าเขา ตัดผ่านเส้นทางหลวง เหินทะยานสู่ยอดเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เบื้องหน้าคือพื้นที่เขาสูงชันที่มีไอหมอกลอยล่องปกคลุม ไม่สามารถขี่ม้าได้ ทำได้เพียงเดินเท้า ประเด็นสำคัญคือทั้งคู่ไม่รู้จักสภาพแวดล้อมภายในเขาข้ามเมฆาแห่งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งสองเหินทะยานตามกันมาหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง โผร่อนไปตามยอดเขา
ยังไม่ทันเหินทะยานไปได้ไกลนัก ในเมฆหมอกที่อยู่เบื้องหน้าพลันมีจุดสีดำสองจุดส่งเสียงหวีดร้องพร้อมพุ่งเข้ามา หินงอกสองแท่งพุ่งเข้าใส่คนทั้งสอง
ทั้งสองที่ตามกันมาหนึ่งหน้าหนึ่งหลังเบี่ยงตัวออกด้านข้าง หลบหลีกหินงอก ก่อนจะร่อนลงบนเนินเขาที่อยู่เบื้องล่าง
“มนุษย์หน้าไหนบังอาจบุกรุกเขาข้ามเมฆา!” มีเสียงตะโกนดุร้ายแว่วออกมาจากในเมฆหมอก
ทั้งสองคนใช้เนตรทิพย์ มองเห็นว่าในเมฆหมอกที่กำลังปั่นป่วนมีไอปีศาจสีเทาฟุ้งตลบอบอวลปะปนอยู่
เงาร่างสองสายพุ่งออกมาจากในเมฆหมอก ร่อนลงตรงหน้ามนุษย์ทั้งสอง ยืนถือทวนยาว ตัวหนึ่งยังมีขนหนาสีดำอยู่บนหลังมือ ส่วนอีกตัวยังมีเกล็ดอยู่บนใบหน้า มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าสภาวะยังอ่อนด้อย เป็นปีศาจน้อยที่ยังแปลงร่างได้ไม่สมบูรณ์
สองปีศาจจ้องมองอย่างดุร้าย ถือทวนยาวตั้งท่าระแวดระวังมนุษย์ทั้งสอง ปีศาจตัวที่มีเกล็ดตะคอกใส่ “หากอยากมีชีวิตรอดก็รีบออกไปจากเขาข้ามเมฆาซะ!”
ทั้งสองคนก็ไม่กล้าก่อความวุ่นวายขึ้นในเขาข้ามเมฆาเพียงเพราะปีศาจน้อยสองตนที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน เฮยหมู่ตานประสานมือกล่าวว่า “ข้าน้อยคือเฮยหมู่ตาน เป็นสหายของหูเสี่ยวเซี่ยวแห่งเขาข้ามเมฆา ครานี้มาเยี่ยมเยือนเขา หวังว่าท่านทั้งสองจะช่วยไปแจ้งเขาให้ด้วย”
สองปีศาจสบตากัน ต่างส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นปีศาจที่มีเกล็ดโบกมือพลางกล่าวว่า “หูเสี่ยวเซี่ยวอันใดไม่เห็นเคยได้ยิน รีบออกไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”
เฮยหมู่ตานกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบกระซิบอธิบายกับหนิวโหย่วเต้าว่า “หูเสี่ยวเซี่ยวเป็นคนของเขาข้ามเมฆาจริงๆ นะเจ้าคะ บางทีอาจเป็นเพราะเขาข้ามเมฆามีปีศาจอยู่มากเกินไป พวกเขาจึงไม่เคยได้ยิน…”
หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นมา สื่อว่าไม่จำเป็นต้องอธิบาย พอจะเข้าใจได้ หากเป็นคนมีชื่อเสียงอันใดในเขาข้ามเมฆาจริงๆ ปีศาจสองตนนี้คงไม่เอ่ยคำว่า ‘ไม่เห็นเคยได้ยิน’ ออกมาให้เป็นการล่วงเกินหูเสี่ยวเซี่ยวผู้นั้นแน่ เขาจึงเอ่ยกับสองปีศาจด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเพียงปีศาจน้อยเท่านั้น ทั้งสองท่านไม่เคยได้ยินก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่อวิ๋นฮวนน่าจะคุ้นหูอยู่กระมัง?”
สองปีศาจตะลึงงัน ปีศาจที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในเขาข้ามเมฆาไหนเลยจะไม่เคยได้ยินชื่ออวิ๋นฮวน ผู้เป็นเจ้าแห่งข้ามเมฆาคืออวิ๋นจี ผู้คนต่างเรียกขานว่าท่านเจ้าเขา ส่วนอวิ๋นฮวนบุตรชายของอวิ๋นจีคือผู้ดูแลคนปัจจุบันของเขาข้ามเมฆา หากลูกน้องระดับล่างไม่รู้ว่าผู้ดูแลเขาข้ามเมฆาคือใครก็แปลกแล้ว
ปีศาจขนดำถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้าเป็นใคร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่เร่ร่อนไปทั่ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของท่านผู้ดูแลอวิ๋นมานานแล้ว ครานี้เดินทางผ่านเขาข้ามเมฆาจึงตั้งใจมาคารวะ นี่เป็นขวัญพบหน้าเล็กน้อยที่อยากจะมอบให้ท่านผู้ดูแลอวิ๋น หวังว่าท่านทั้งสองจะช่วยเป็นตัวแทนไปแจ้งท่านผู้ดูแลให้สักหน่อย!” เขาหยิบตั๋วแลกทองสิบใบออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เฮยหมู่ตานที่อยู่ด้านข้าง สื่อว่าให้นำไปมอบให้อีกฝ่าย
เฮยหมู่ตานพูดไม่ออก พบว่าคนผู้นี้ใจใหญ่จริงๆ ไปที่ไหนก็ทำตัวใจกว้างไปหมด นางรับตั๋วแลกทองมา ก้าวเข้าไปหาสองปีศาจที่ตั้งท่าระแวดระวังพลางส่งมอบให้
สองปีศาจรับตั๋วแลกทองไป ตรวจดูเล็กน้อย มูลค่าหนึ่งแสนเหรียญทอง! จึงอดมองหน้ากันไม่ได้ ยังไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ!
ปีศาจขนดำตรวจสอบดูทีละใบ จากนั้นส่งให้ปีศาจมีเกล็ด “เจ้าลองดูสิว่าใช่ของจริงหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังยิ้มอะไร
ปีศาจมีเกล็ดรับไปตรวจสอบทีละใบอีกครั้ง จากนั้นหันไปกระซิบข้างหูปีศาจขนดำว่า “น่าจะมิใช่ของปลอม”
ปีศาจขนดำรวบตั๋วแลกเงินไว้ในมือทันที น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นไม่น้อย รวบทวนประสานหมัดเอ่ยถาม “ขอบังอาจถามนามอันสูงส่งของทั้งสองท่าน?”
“เซวียนหยวนเต้า!”
“เฮยหมู่ตาน!”
“จดจำไว้แล้ว ทั้งสองท่านโปรดรอสักครู่ ให้ข้าเข้าไปรายงานก่อน!” ปีศาจขนดำกล่าวอย่างสุภาพ กล่าวจบก็เร่งเหินทะยานจากไป
ส่วนปีศาจมีเกล็ดถึงแม้จะยังจับตามองมนุษย์ทั้งสองอยู่ แต่ท่าทีก็ดูเคารพนอบน้อมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยก็ไม่ทำหน้าตาถมึงทึงอีก
คนที่ควักเงินจำนวนมากออกมาเป็นของขวัญพบหน้าได้ ไหนเลยจะเห็นปีศาจน้อยอย่างเขาอยู่ในสายตา คาดว่าแขกผู้มาเยือนคงมิใช่มนุษย์ธรรมดา สายตาของเขายังพอมีแววอยู่
ท่าทางที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้เฮยหมู่ตานลอบทอดถอนใจ พบว่าเต้าเหยี่ยผู้นี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาและหยาบกระด้างอยู่บ้าง คร้านจะคุยไร้สาระกับสองปีศาจน้อย ทันทีที่พบหน้าก็ใช้เงินฟาดใส่อีกฝ่าย แต่ก็นับว่ารวบรัดมีประสิทธิภาพจริงๆ สยบปีศาจน้อยที่มีท่าทีเย่อหยิ่งจองหองได้ชะงัดนัก!
หนิวโหย่วเต้ากลับไม่สนใจอะไร ค้ำกระบี่ไว้เบื้องหน้า เอาแต่มองไปทางนั้นทีมองไปทางนี้ที ราวกับกำลังชื่นชมทิวทัศน์ของเขาข้ามเมฆาแห่งนี้อยู่
เฮยหมู่ตานอดมองกระบี่ในมือเขาไม่ได้ สังเกตเห็นนิสัยแปลกๆของหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน ยามที่กระบี่อยู่ในมือเต้าเหยี่ยผู้นี้ ดูไม่ต่างไปจากไม้เท้าเท่าไรนัก
รอคอยอยู่สักพัก บุรุษร่างผอมเพรียวคนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเมฆหมอก มีปีศาจขนดำตามหลังมา
“ข้าน้อยคือโหวฉิงเทียน” พอมาถึงบุรุษร่างผอมก็ประสานมือเอ่ยแนะนำตัว “ไม่ทราบว่าแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านมาจากที่ใดหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่รอนแรมไปทั่วหล้าเท่านั้น”
“ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างนั้นหรือ?” โหวฉิงเทียนหัวเราะฮ่าๆ ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักควักเงินออกมาทีเดียวแสนเหรียญทอง จะเป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดความจริง เขาก็ไม่ถามให้มากความอีก “ทั้งสองท่านต้องการพบผู้ดูแลของพวกเราหรือขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”
โหวฉิงเทียนถาม “มีธุระใดหรือขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “เลื่อมใสในชื่อเสียงจึงมาเยี่ยมเยือน!”
โหวฉิงเทียนตอบ “โอ้” คำหนึ่งโดยไม่มีท่าทีปฏิเสธ แล้วก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่กลับประสานมือกล่าวว่า “ลำบากแขกทั้งสองท่านที่ต้องคอยนาน เชิญตามข้าน้อยมาขอรับ!”
ทั้งสองเหินทะยานตามหลังเขาไป เหินขึ้นๆ ลงๆ ไปท่ามกลางยอดเขาที่มีเมฆหมอกลอยวน
แต่เฮยหมู่ตานกลับสังเกตเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าได้โปรยเหยื่อหอมของเหลยจงคังไว้ระหว่างทางอย่างเงียบๆ
บนยอดเขาสูงชันดำมืดที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมแห่งหนึ่ง กลางไหล่เขามีลานเรียบที่ถูกขุดถางขึ้น ทั้งสองลอยลงบนลานเรียบแห่งนี้ตามอีกฝ่าย
บนหน้าผามีโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง ปากทางเข้างามสง่า สลักลวดลายไว้ดั่งประตูวัง
เมื่อทั้งสามลอยลงบนพื้น ทั้งสองด้านพลันมีคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นมาทันที ล้อมคนทั้งสามไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม
เฮยหมู่ตานรู้สึกตกใจ หนิวโหย่วเต้ากวาดมองด้วยสายตาเย็นชา
โหวฉิงเทียนหันมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขออภัยทั้งสองท่านด้วย มักจะมีคนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำบุกเข้ามาก่อกวนอยู่เนืองๆ ดังนั้นภายในภูเขาจึงมีกฎเกณฑ์ของภูเขาอยู่เช่นกัน เกรงว่าทั้งสองท่านคงต้องทนลำบากเสียหน่อย ทางเราจำเป็นต้องควบคุมพลังของทั้งสองท่านเอาไว้ชั่วคราว!”
เฮยหมู่ตานมองไปทางหนิวโหย่วเต้า เห็นหนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับอย่างใจเย็น “ไม่มีปัญหา!” กล่าวพร้อมโยนกระบี่ในมือออกไป
โหวฉิงเทียนรับเอาไว้ จากนั้นหมุนตัวไปรับกระบี่ที่เฮยหมู่ตานโยนออกมาตามหนิวโหย่วเต้า โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย มีคนก้าวเข้ามาลงผนึกบนร่างมนุษย์ทั้งสองทันที
โหวฉิงเทียนส่งกระบี่ทั้งสองเล่มให้คนที่อยู่ข้างกาย จากนั้นผายมือเชิญ “เชิญทั้งสองท่านด้านใน!”
ทั้งสามเข้าไปในโพรงถ้ำ ทางเดินด้านในมืดสนิท โหวฉิงเทียนปล่อยผีเสื้อจันทราออกมาให้ความสว่าง
พวกเขาเดินมาถึงบันไดที่ทอดตัวเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไป เดินขึ้นไปจนกระทั่งสุดทาง มาโผล่อยู่ในตำหนักแห่งหนึ่ง
พื้นที่กว้างขวาง แต่กลับมีกลิ่นสาบโชยปะทะจมูกเป็นระยะ เป็นกลิ่นที่มาจากงูเหลือมยักษ์จำนวนมากที่นอนขดตัวแลบลิ้นฟ่อๆ อยู่ภายในโพรงถ้ำ ทันทีที่มีคนมาถึง งูเหลือมยักษ์แต่ละตัวพากันหันมามอง
ผีเสื้อจันทราหลายตัวเกาะอยู่บนผนังถ้ำ ให้ความสว่างภายในถ้ำ ทว่ากลับทำให้บรรยากาศภายในถ้ำดูน่าขนลุกขนพองยิ่งกว่าเดิม
โหวฉิงเทียนขอให้ทั้งสองรอสักครู่ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังตำหนักด้านหลัง
ไม่นานนัก โหวฉิงเทียนเร่งฝีเท้าเดินออกมาอีกครั้ง ยืนหลบอยู่ด้านหนึ่งของขั้นบันไดที่อยู่ด้านล่างบัลลังก์ในตำหนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีเสียงเสียดสีดังฟืดๆ มาจากทางตำหนักด้านหลัง งูดำที่มีดวงตาสีเขียวส่องประกายแวววาวตัวหนึ่งเลื้อยออกมา ลำตัวหนาเหมือนถังน้ำ ยาวสามจั้งกว่า เลื้อยตรงไปยังบัลลังก์ที่ตั้งอยู่เหนือขั้นบันได
ทันทีที่งูดำเลื้อยขึ้นไปตามขั้นบันได ส่วนหัวของมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นศีรษะมนุษย์ ศีรษะค่อยๆ บิดหมุน บริเวณใต้ศีรษะลงมาเกิดการเปลี่ยนแปลงตามอย่างรวดเร็ว ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็กลายเป็นบุรุษร่างกายกำยำที่สวมชุดสีดำผู้หนึ่ง บริเวณเอวมีสายคาดเอวหนังสีดำ บนข้อมือมีปลอกข้อมือหนังสีดำ แผ่นหลังแผ่กว้าง เอวหนาสมส่วน สืบเท้าก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ
ปีศาจงูแปลงกาย! หนิวโหย่วเต้าลอบอุทานอยู่ในใจ วันนี้ได้เปิดโลกอีกครั้งแล้ว!
บุรุษร่างกำยำหมุนตัวนั่งลงบนบัลลังก์ศิลา บุคลิกท่าทางดูทรงอำนาจ สายตาจ้องมองดูคนที่อยู่เบื้องล่าง
โหวฉิงเทียนเอ่ยแนะนำ “ทั้งสองท่าน ท่านผู้นี้ก็คือท่านผู้ดูแลแห่งเขาข้ามเมฆาของพวกเรา”
หนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานประสานมือคำนับทันที “คารวะท่านผู้ดูแลอวิ๋น”
บนใบหน้าของอวิ๋นฮวนมีรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นมา เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาพบแซ่อวิ๋นด้วยมีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องชี้แนะนั้นมิบังอาจ ข้าน้อยท่องไปทั่วหล้า คบค้าสหายไปทั่วสารทิศ บังเอิญผ่านทางมา ชื่นชมชื่อเสียงของท่านผู้ดูแลมานานแล้ว จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยือนผูกมิตรเป็นการเฉพาะ!”
อวิ๋นฮวนมีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม แฝงความอึมครึมน่าหวาดกลัวเอาไว้หลายส่วน เอ่ยถามว่า “เพียงแค่นี้?”
เขาหยิบตั๋วแลกทองสิบใบออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นเงินที่หนิวโหย่วเต้ามอบให้ก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีดูแคลนเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะพูดจาตามมารยาทกับตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงพยักหน้าตอบรับไปทันที “เพียงแค่นี้! วันนี้ได้ชมบารมีท่านผู้ดูแล ช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก ข้าน้อยบังเกิดความเลื่อมใสจากใจจริง รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง อยากอาจเอื้อมสานสัมพันธ์ ต้องการผูกสมัครเป็นพี่น้องต่างแซ่กับท่านผู้ดูแล ไม่ทราบว่าท่านผู้ดูแลจะยินดีหรือไม่?” ว่าแล้วก็ประสานหมัดคำนับ
“…..” โหวฉิงเทียนตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นี้ประสาทหรือเปล่า เจ้าเป็นใคร ทำอะไรของเจ้า กระทั่งความเป็นมาของเจ้าก็ยังไม่รู้เลย จู่ๆ มาพูดแค่ไม่กี่คำก็คิดจะสาบานเป็นพี่น้องกับท่านผู้ดูแลของพวกเราแล้วอย่างนั้นหรือ? ช่างกล้าพูดออกมาได้เนอะ!
“……” เฮยหมู่ตานค่อยๆ หันไปมองหนิวโหย่วเต้า ตกตะลึงตาค้าง
“……” อวิ๋นฮวนที่นั่งอยู่ด้านบนก็ผงะไปเล็กน้อย เขาเพิ่งจะเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก สายตาที่จ้องมองหนิวโหย่วเต้าวูบไหวไปมาไม่นิ่ง คล้ายกำลังใคร่ครวญว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หนิวโหย่วเต้าลดมือที่ประสานกันลง ล้วงตั๋วแลกเงินอีกสิบใบออกมาจากในแขนเสื้อ ประคองส่งให้ด้วยสองมือ “บังเอิญผ่านมาที่นี่ จึงไม่ทันได้เตรียมของขวัญอันใดมาด้วย แต่ได้พบหน้ากันวันนี้ ภายในใจรู้สึกชื่นชมบารมีของท่านผู้ดูแลอวิ๋นจากใจจริง จนปัญญาที่ไร้ซึ่งของมีค่าติดตัวมาด้วย คิดไปคิดมา บนตัวมีเพียงของนอกกายเล็กน้อยเช่นนี้ที่พอจะแสดงถึงน้ำใจได้ หวังว่าท่านผู้ดูแลอวิ๋นจะไม่รังเกียจ วันนี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง รอให้ถึงวันหน้า ในอนาคตหากกลับมาอีกครั้ง จะต้องมอบของขวัญเพื่อแทนคำขอโทษในวันนี้อย่างแน่นอน!”
……………………………………………….