ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 152 รับแล้วไม่คืนนับว่าเสียมารยาท
ตอนที่ 152 รับแล้วไม่คืนนับว่าเสียมารยาท
เขาหันไปสอบถามพวกต้วนหู่ “ระหว่างทางราบรื่นดีไหม?”
“ราบรื่นดีขอรับ!” ทั้งสามพยักหน้า ต่างหยิบเอาแผนที่ที่พกติดตัวออกมา จุดพักม้าระหว่างทางที่ทำตรวจสอบมาล้วนทำเครื่องหมายระบุตำแหน่งไว้
หนิวโหย่วเต้าให้ทั้งสามคนเอาพิกัดบนแผนที่ทั้งสามฉบับมารวมไว้ในแผนที่ฉบับเดียว พลางสอบถามสถานการณ์อย่างละเอียด
สามวันมานี้ทั้งสามคนตรวจสอบจุดพักม้าไปเจ็ดสิบกว่าแห่ง จุดพักม้าที่มีคนเลี้ยงม้าหน้าใหม่เพิ่มเข้ามาในช่วงนี้มีเพียงสิบกว่าแห่งเท่านั้น
แม้นจะเป็นเช่นนี้ มันก็ยังทำให้หนิวโหย่วเต้ารู้สึกสนใจอย่างมากอยู่ดี ในช่วงนี้มิได้มีเพียงจ้าวต้าคนนั้นที่เข้ามาแฝงตัวในจุดพักม้า เพียงแค่จุดพักม้าบนถนนสามสายนี้ก็มีคนเลี้ยงม้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมาสิบกว่าคนแล้ว!
ดูเผินๆ คล้ายจะไม่เยอะ แต่สำหรับหนิวโหย่วเต้าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว นี่กลับเพียงพอที่จะกระตุ้นความระแวดระวังของเขาขึ้นมา!
หนิวโหย่วเต้าหยิบแท่งถ่านขึ้นมาทำสัญลักษณ์ที่ดูสะดุดตาลงไปในตำแหน่งของจุดพักม้าสิบกว่าแห่งนั้น จ้องมองพลางพิจารณาอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าเสริมกำลังคนเข้ามาที่จุดพักม้าเพื่อตามหาตัวเขา หรือตั้งใจวางกำลังคนเป็นพิเศษเพราะเขากันแน่? สองกรณีนี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก ต่างกันที่ความหนาแน่นและจำนวนของกำลังคนที่ใช้
แรกเริ่มยังมองไม่ออกถึงเส้นสนกลในอันใด พิกัดของจุดพักม้าเหล่านั้นมิได้ตั้งอยู่ในบริเวณทางแยกเหมือนอย่างจุดพักม้าที่จ้าวต้าอยู่ไปเสียทั้งหมด!
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ค่อยๆ มองเห็นร่องรอยอะไรบางอย่าง เขาใช้แท่งถ่านวงรอบบริเวณที่ทั้งสามคนตรวจสอบแล้ว จากนั้นถือแท่งถ่านในแนวนอนแล้วปาดลงไปบนแผนที่ ถมพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในวง เหลือไว้เพียงพื้นที่ที่เป็นเส้นทางเล็กแคบ
เมื่อกำจัดสิ่งยุ่งเหยิงที่รบกวนสายตาออกไป มีเพียงเส้นทางที่ดูเด่นชัดปรากฏขึ้นมา รูปการณ์พลันดูชัดเจนขึ้นมาทันที
กระทั่งคนอื่นก็ค่อยๆ มองร่องรอยบางอย่างออกแล้วเช่นกัน เฮยหมู่ตานยื่นมือชี้ลงไปบนแผนที่ “ตำแหน่งที่พวกเขาเลือกวางตัวสายลับเอาไว้เหล่านี้ดูมีความพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง เต้าเหยี่ย ท่านดูสิเจ้าคะ จุดที่ดูกระจัดกระจายพวกนี้ ไม่ว่าถนนในละแวกใกล้เคียงจะตัดไขว้กันไปมาอย่างไร ขอเพียงมุ่งหน้าเข้ามาในเขตพื้นที่นี้ เช่นนั้นก็จะต้องผ่านจุดพักม้าแห่งใดแห่งหนึ่งในบรรดาจุดพักม้าเหล่านี้แน่นอน ส่วนจุดอื่นๆ ก็มีสภาพคล้ายกัน แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องวางกำลังคนไว้ในจุดพักม้าทุกแห่งแล้ว ประหยัดกำลังคนไปได้มากทีเดียวเจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย เขาเองก็มองออกแล้วเช่นกัน เช่นนี้ก็มิใช่การเพิ่มกำลังคนเข้าสู่จุดพักม้า หากแต่เป็นการจัดกำลังคนโดยพุ่งเป้ามาที่เขาโดยเฉพาะ
นี่นับว่าสอดคล้องกับข้อสงสัยของเขา เพราะถ้าหากจุดพักม้าทุกแห่งล้วนมีการจัดวางกำลังคนเอาไว้ เช่นนั้นแคว้นเยี่ยนจะต้องส่งคนแทรกซึมเข้ามาจัดการเรื่องนี้มากมายเท่าไรกัน คงไม่มีทางให้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของแคว้นเยี่ยนละทิ้งงานสำคัญอื่นๆ เพื่อมาจัดการเขาเพียงคนเดียวกระมัง
หยวนฟางกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ง่ายแล้วขอรับ ขอเพียงพวกเราวิเคราะห์แยกแยะจุดพักม้าที่อาจจะมีสายสืบประจำการอยู่ออกมาได้ เราก็จะสามารถอ้อมไปได้ ไม่จำเป็นต้องเดินๆ หยุดๆ แล้วอ้อมจุดพักม้าทุกแห่งเลยขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ความคิดนี้ทำจริงไม่ได้ อย่างแรกคือพวกเราไม่คุ้นเคยกับถนนหนทาง ไม่รู้ตำแหน่งของจุดพักม้าบนเส้นทางแต่ละสาย ต้องเข้าไปใกล้ก่อนถึงจะพบจุดพักม้า เจ้าดูสิว่าบนถนนเส้นนี้มีจุดพักม้าสามแห่ง…” เขาชี้ไปยังถนนที่ค่อนข้างยาวเส้นหนึ่ง “หากมิใช่เพราะตรวจสอบมาแล้วถึงได้รู้ว่าจุดพักม้าที่อยู่ทางซ้ายมือมีสายสืบอยู่ เจ้าจะเดาออกหรือว่าจุดพักม้าไหนที่มีสายสืบอยู่? ยังมีอีก ตลอดทางมานี้ มีจุดพักม้าหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณเชิงสะพานริมแม่น้ำ คนสามารถเหยียบคลื่นข้ามแม่น้ำได้ แต่ม้าจะทำอย่างไร? จะให้อ้อมเป็นระยะทางยาวไกลเหรอ? ไม่เหนื่อยเหรอ? หากจะทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นก็ไม่ต้องขี่ม้าแล้ว มิสู้เดินเท้าเหินทะยานไปเองดีกว่า”
หยวนฟางเกาคอ หัวเราะแหะๆ อยากบอกข้าไม่ทันได้คิดอะไรละเอียดรอบคอบขนาดนั้น
แต่พวกเฮยหมู่ตานกลับค่อนข้างสงสัย ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหนกันแน่ เอาแต่ปฏิเสธการเดินเท้าเหินทะยาน มัววุ่นวายกับจุดพักม้าพวกนี้ไปทำไมกัน นี่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเตรียมตัวเดินทางไกลอยู่ นี่เขาจะเดินทางไกลแค่ไหนกัน แล้วจะไปที่ไหนกันแน่?
“ยังมีอีกกรณีหนึ่ง ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่าในแต่ละที่จะเป็นไปตามที่พวกเราวิเคราะห์กันหมด ผู้ใดจะกล้ารับประกันได้ว่าจะไม่มีการจัดวางกำลังคนไว้มากกว่าหนึ่งคน”
เฮยหมู่ตานเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างเรียบเฉย “รับแล้วไม่คืนถือว่าเสียมารยาท หากไม่รู้ก็แล้วไป แต่ในเมื่อรู้แล้ว เช่นนั้นก็กำจัดสายสืบพวกนี้ทิ้งให้หมด”
ต้วนหู่ถามเอ่ยด้วยความสงสัย “เต้าเหยี่ย อาศัยพวกเราแค่ไม่กี่คน หากคิดจะจัดการเรื่องนี้เกรงว่าคงทำไม่ได้หรือเปล่าขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “แค่พวกเราย่อมทำไม่ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับองค์กรเช่นนี้ เดิมทีมันก็มิใช่กลุ่มอิทธิพลที่พวกเราและสำนักทั่วๆ ไปจะต่อกรได้อยู่แล้ว กำลังทรัพย์และกำลังคนที่พวกเขาสามารถเรียกใช้งานได้มีมากมายจนพวกเราไม่อาจจินตนาการได้ แค่สำนักเซียนสถิต สำนักคีรีพิลาสและสำนักเมฆาล่องส่งคนมาไม่กี่คนก็บีบให้พวกเราต้องหนีหัวซุกหัวซุนได้แล้ว สำนักบำเพ็ญเพียรที่กลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังอีกฝ่ายสามารถเรียกใช้งานได้มิได้มีแค่เพียงสามสำนักนี้เท่านั้น อีกทั้งยอดฝีมือที่ส่งมาได้ก็ไม่ได้มีแค่เพียงไม่กี่คนนี้เท่านั้น หากพวกเราฝืนโผล่ออกไปจัดการตรงๆ นั่นแหละคือการรนหาที่ตาย! แล้วก็จะไม่ได้เบาะแสอันใดเลย อย่างมากก็แค่เข้าไปแตะเครือข่ายนี้จนแหวกหญ้าให้งูตื่น จัดการได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น”
เฮยหมู่ตานถาม “เช่นนั้นจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”
“ให้คนที่มีกำลังถ่วงคานกันได้ไปจัดการแล้วกัน” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงพลางเอ่ยว่า “คงต้องลำบากพวกเจ้าสองคนอีกรอบแล้ว”
ทั้งสองตอบรับ “เต้าเหยี่ยโปรดสั่งการมาได้เลย”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พวกเจ้าจงออกเดินไปยังเมืองหลวงแคว้นจ้าวทันที เร่งเดินทางห้ามหยุดพัก เดินทางไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ไปหาคนห้าคน จูเก่อสวินราชทูตแคว้นหาน ถูไหวอวี้ราชทูตแคว้นซ่ง ฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้น สุยไพ่ราชทูตแคว้นเว่ยและจั่วอันเหนียนราชทูตแคว้นฉี หลังจากพบห้าคนนี้แล้ว ไม่ต้องพูดอย่างอื่นให้มากความ เล่าเรื่องสายลับของแคว้นเยี่ยนที่ถูกวางตัวไว้ตามจุดพักม้าซะ แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าเป้าหมายที่ถูกจับตามองคือใคร เดี๋ยวพวกเขาจะเกิดความระแวงระวังขึ้นมาเอง แล้วเดี๋ยวพวกเขาจะรีบแจ้งไปทางราชสำนักของแต่ละแคว้นให้ดำเนินการตรวจสอบโดยเร็วเอง!”
เดิมทีเขาเพียงแค่กังวลถึงทางฝั่งแคว้นหานเท่านั้น เนื่องจากเป้าหมายในการเดินทางของเขาอยู่ที่แคว้นหาน แต่หากเจาะจงไปยังแคว้นหานเพียงอย่างเดียวล่ะก็ แบบนั้นจะทำให้เกิดความน่าสงสัยจนเปิดเผยร่องรอยการเดินทางของเขาได้ ดังนั้นไม่ต้องสนใจแล้วว่าแคว้นอื่นจะมีหรือไม่ จัดการไปทีเดียวเลย จะได้อำพรางเป้าหมายที่แท้จริง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าแคว้นเยี่ยนจะวางกำลังเช่นนี้ไว้ในแคว้นอื่นหรือไม่ เขาไม่รู้ แต่อย่างน้อยทันทีที่แคว้นอื่นมีความเคลื่อนไหว ไม่ว่ามันจะช่วยขู่ขวัญภัยอันตรายที่อาจจะแฝงอยู่จนถอยหนีให้เขาได้หรือไม่ อย่างน้อยๆ มันก็ยังแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้สายสืบที่อาจจะแฝงตัวอยู่ตามเส้นทางตกใจจนหดหัวซ่อนตัวกันไปหมดได้ ทำให้เขาเดินทางอย่างสะดวกราบรื่น ไม่ต้องคอยกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไป
มิเช่นนั้นเมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เพียงแค่ปัญหายุ่งยากเรื่องนี้ก็ทำให้กำหนดการเดินทางของเขาต้องล้าช้าไปหลายวัน ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน เป็นเพราะอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของอีกฝ่ายยิ่งใหญ่เกินไปจริงๆ ต่อให้เขามั่นใจในตัวเองแค่ไหนก็ไม่มีทางผยองจนถึงขั้นที่คิดว่าไม้ซีกอย่างตนจะสามารถงัดไม้ซุงได้
พวกเฮยหมู่ตานประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาล้วนไม่ทราบเลยว่าราชทูตของแต่ละแคว้นเป็นใครบ้าง เนื่องจากมิได้เป็นสิ่งที่พวกให้ความสนใจในชีวิตประจำวัน แต่กลับพบว่าหนิวโหย่วเต้าทราบเป็นอย่างดี เอ่ยชื่อของแต่ละคนออกมาได้อย่างลื่นไหล เห็นทีคนที่เคยคลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนางนี่มีความรู้ที่ต่างไปจากพวกตนเองจริงๆ
อู๋ซานเหลี่ยงค่อนข้างเป็นกังวล เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยขอรับ ด้วยฐานะของพวกเราสองคน เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมพบหน้าพวกเรา กลัวว่ากระทั่งประตูเรือนของอีกฝ่ายคงจะผ่านเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำขอรับ”
ต้วนหู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย ความกังวลนี้มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่ละคนที่เอ่ยมานี้ล้วนมิใช่คนธรรมดา มียอดฝีมืออารักขาอยู่ข้างกาย ไม่ว่าจะในทางลับหรือทางแจ้งก็ล้วนแต่ยากจะเข้าใกล้ได้ คนเหล่านั้นเองก็ไม่มีทางพบหน้าใครส่งเดชด้วยเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ตอนที่ไปหา ให้พวกเจ้าเอ่ยชื่อข้าไปก็พอ บอกว่าหนิวโหย่วเต้าให้พวกเจ้ามาถ่ายทอดข้อความ เดี๋ยวพวกเขาจะยอมเจอพวกเจ้าเอง”
พวกเฮยหมู่ตานสบตากันแวบหนึ่ง นี่ท่านมีหน้ามีตาขนาดนี้เชียวหรือ?
อันที่จริงก็มิใช่เรื่องความมีหน้ามีตาอันใดเลย ล้วนเคยพบหน้าค่าตากันมาแล้ว ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในมณฑลจินโจวคืนนั้น ทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์ ในใจหนิวโหย่วเต้าทราบดี หากไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เรื่อง แต่การไปพบแล้วบอกว่ามีเรื่องจะแจ้ง พวกเขาจะต้องสนใจใคร่รู้ขึ้นมาอย่างแน่นอน
เฮยหมู่ตานเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย แล้วจะให้พวกเขากลับมารวมตัวกับพวกเราอย่างไรเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้าชี้ลงบนแผนที่ เคาะไปที่ตำแหน่งหนึ่ง “อำเภอเป่ยซาน หลังจากพวกเจ้าทั้งสองออกจากเมืองหลวง ให้มุ่งหน้าไปที่นี่ ไปรอพวกเราในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในตัวอำเภอ”
“ขอรับ!” ทั้งสองพยักหน้าตอบรับ
หนิวโหย่วเต้าหันไปเรียกหากระดาษกับพู่กันอีกครั้ง เขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยตัวอักษรที่ทุกคนล้วนอ่านไม่ออกต่อหน้าคนทั้งกลุ่ม จากนั้นยื่นส่งให้หยวนฟาง “เดี๋ยวเจ้าปลอมตัวซะ แล้วรีบเดินทางไปยังเมืองไจซิงเดี๋ยวนี้ ไปที่ร้านค้าของวังสวรรค์หมื่นวิมาน ไปหาเถ้าแก่ผู้ดูแลร้าน แจ้งนามของข้าแล้วให้พวกเขาเอาจดหมายฉบับนี้ไปส่งยังจวนผู้ว่าการมณฑลจินโจว จากนั้นเจ้าไม่ต้องกลับมาแล้ว กลับไปหาพวกท่านอ๋องแล้วรอข้าอยู่ที่นั่นเลย”
พวกเฮยหมู่ตานมองหน้ากันเงียบๆ เดี๋ยวก็วังสวรรค์หมื่นวิมาน เดี๋ยวก็จวนผู้ว่าการมณฑลจินโจว เดี๋ยวก็ท่านอ๋อง ดูเหมือนภูมิหลังจะไม่ธรรมดาทีเดียวนะเนี่ย มิน่าแค่แจ้งชื่อก็สามารถเข้าพบราชทูตของทั้งห้าแคว้นได้แล้ว
เพียงแต่ทั้งสี่คนยังค่อยไม่เข้าใจเท่าไร วังสวรรค์หมื่นวิมานเป็นสำนักใหญ่ระดับต้นๆ ของแคว้นจ้าว ในเมื่อมีสายสัมพันธ์ถึงระดับนี้แล้ว เหตุใดถึงยังถูกสามสำนักนั้นตามล่าอีก?
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เผยออกมาจากคำพูดเหล่านี้ได้กระตุ้นขวัญและกำลังใจของพวกเฮยหมู่ตานขึ้นมาอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยความหวัง ขอเพียงตามติดเต้าเหยี่ยผู้นี้เอาไว้ให้ดี ด้วยภูมิหลังที่เพิ่งจะเผยออกมาจากวาจาเมื่อครู่นี้ย่อมต้องกลายเป็นภูมิหลังของพวกเขาด้วยเช่นกัน
นี่ดีกว่าการไปก่อตั้งสำนักอันใดนั่นมากนัก สำนักเล็กๆ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเหล่านั้นคิดอยากจะเข้ามาคลุกคลีกับภูมิหลังเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยาก จะถูกกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ กีดกันเอาได้
ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะจับพลัดจับผลูพบเส้นทางลัดสายหนึ่งเข้าโดยบังเอิญแล้ว ภายในใจลอบรู้สึกยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงเหลยจงคังที่คอตกเล็กน้อย ค่อนข้างละอายใจ สายตาของตนคับแคบ มีตาแต่ไร้แวว นึกเสียใจว่าไม่ควรดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อเฮยหมู่ตานเลย!
แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้เขาได้ถูกสำนักเซียนสถิตหมายหัวแล้ว ด้วยสถานการณ์ของเขาในเวลานี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นเดียวกัน
และสำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว เขาเองก็จงใจเปิดเผยภูมิหลังเหล่านี้ออกมาต่อหน้าคนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าจะให้พวกเขาออกไปทำงาน การให้พวกเขาได้มองเห็นความหวังและเข้าใจอะไรบางอย่างจะทำให้พวกเขาทุ่มเทกำลังและจิตใจทำงานอย่างเต็มที่ได้ แล้วก็จะทำให้ไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นง่ายๆ ด้วย!
หยวนฟางตะลึงไปเล็กน้อย “เต้าเหยี่ย เดี๋ยวข้าตรงกลับมาหาท่านดีกว่าขอรับ”
นับวันเขาจะยิ่งมั่นใจในความสามารถของหนิวโหย่วเต้ามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่คิดว่าการติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าจะมีอันตรายอันใดเกิดขึ้นได้ ออกเดินทางครานี้นับว่าได้เปิดโลกแล้ว จึงอยากจะคอยติดตามหนิวโหย่วเต้าเพื่อเปิดหูเปิดตาต่อไป
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ลืมหนังสือที่ข้าให้เจ้าอ่านในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์เล่มนั้นไปแล้วหรือ? ข้าไม่มีทางรั้งอยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้า หลังแยกย้ายกันไป ระหว่างเดินทางติดต่อกันลำบาก ยากจะรวมตัวกันได้ในระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าในแถบนี้มีการจัดวางกำลังคนไว้มากแค่ไหน ให้เจ้าวิ่งไปวิ่งมาคนเดียวข้าไม่วางใจ ยังมีอีก เอาเงินที่อยู่กับเจ้าออกมา ข้าต้องใช้ระหว่างเดินทาง”
เมื่อนึกถึง ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ เล่มนั้น หยวนฟางพลันรู้สึกใจสั่นขึ้นมา พยักหน้ารัวๆ “ขอรับ! แต่ข้าจะส่งข่าวกลับมาให้ท่านได้อย่างไรขอรับ?”
แต่พอได้ยินว่าอีกฝ่ายจะใช้เงิน เขาก็โอดครวญขึ้นมาในใจอีกครั้ง เมื่อคิดถึงวิธีการใช้เงินของคนผู้นี้ขึ้นมา เขาก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก เป็นคนที่ผลาญเงินโดยแท้!
แต่เขาเองก็ว่าอะไรไม่ได้ ล้วงตั๋วแลกทองส่งให้อย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก
“ข้าเขียนเอาไว้ในจดหมายแล้วว่าต้องทำอะไรอย่างไร เจ้าไม่ต้องกังวล” หนิวโหย่วเต้านับตั๋วแลกทองออกมาแปดสิบใบ ยื่นส่งให้เฮยหมู่ตานเก็บไว้ ส่วนที่เหลือมอบให้หยวนฟางพกติดตัวไป เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็โบกมือสั่งว่า “เอาล่ะ ไปจัดการตามที่ข้าบอกซะ เติมท้องให้อิ่มแล้วออกเดินทางทันที!”
“รับทราบ!” ทั้งห้าคนรับคำสั่ง
…………………………………………………………….