ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 153 มีที่พึ่งจึงไม่กริ่งเกรง
ตอนที่ 153 มีที่พึ่งจึงไม่กริ่งเกรง
ระหว่างที่แต่ละคนเตรียมตัวกัน หนิวโหย่วเต้ากวักมือเรียกเฮยหมู่ตาน จากนั้นชี้ไปที่เรือนผมของตน เอ่ยว่า “ข้าก็ต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์เพื่อเลี่ยงหูตาคนเช่นกัน ช่วยเกล้าผมให้ข้าที” จากนั้นเดินไปนั่งลงบนก้อนหินที่อยู่ด้านข้างก้อนหนึ่ง
เฮยหมู่ตานพยายามกลั้นหัวเราะ ควานหาหวีของตน ก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังของเขา ขณะกำลังช่วยหวีผมให้เขาอยู่ นางก็เอ่ยหยอกล้อขึ้นมาว่า “เต้าเหยี่ย พวกเราทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกันเช่นนี้ ท่านไม่กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดบ้างหรือเจ้าคะ?”
“เข้าใจผิด?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเยาะ “เจ้าเที่ยวไปพูดว่าข้าถ้ำมองเจ้าอาบน้ำ ยังมีเรื่องอะไรให้เข้าใจผิดไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
เฮยหมู่ตานหัวเราะ “คิกๆ” ออกมา หัวเราะปานช่อผกาสั่นไหว น้ำเสียงสดใสดั่งกระดิ่งเงิน ทำให้คนอื่นๆ หันมามองด้วยสายตาแปลกพิกล จะไม่ให้นึกสงสัยว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องไม่ชอบมาพากลก็คงเป็นไปได้ยาก
หนิวโหย่วเต้าหลับตาลง นึกถึงสตรีอัปลักษณ์ที่มักจะเกล้าผมให้ตนเป็นประจำผู้นั้นขึ้นมา นั่นเป็นความละเอียดใส่ใจโดยแท้จริง เส้นผมแต่ละเส้นล้วนสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความใส่ใจ สัมผัสมือดีกว่าสตรีนางนี้มากนัก
….
ณ จังหวัดชิงซาน
ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ กระโจมทหารตั้งเรียงราย รั้วหนามสกัดม้าวางชิดติดกัน ธงศึกโบกสะบัด ตัวอักษร ‘ซาง’ ที่อยู่บนธงพลิ้วไหวลู่ลม
ตรงช่องแคบระหว่างภูเขาที่ถูกปิดกั้นมีการตั้งแนวป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา กองทหารรักษาการณ์ที่อยู่บนกำแพงด่านจับตามองทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ใบหน้าของทหารลาดตระเวนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ทัพใหญ่จากมณฑลจินโจวของแคว้นจ้าวเคลื่อนพลมาประชิดชายแดน มณฑลหนานโจวแห่งแคว้นเยี่ยนระดมกำลังทหารเข้าป้องกัน ซางเฉาจงฉวยโอกาสเคลื่อนพล บุกโจมตีทั้งจังหวัดชิงซานในคราวเดียว ยามนี้กองทหารส่วนใหญ่ที่พ่ายศึกยังคงปักหลักรักษาด่านเอาไว้อย่างเหนียวแน่น หากด่านนี้ถูกตีแตก ข้าศึกก็จะกรีฑาทัพเข้าไปโดยสะดวก แล้วก็จะกลายเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อโจวโส่วเสียนที่เป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว
การกระทำของซางเฉาจงกระตุ้นให้เจ้าศักดินาที่คิดแข็งข้อกับราชสำนักในเขตต่างๆ เกิดความคิดที่จะเอาเยี่ยงอย่าง ทั่วทั้งแคว้นเยี่ยนอาจตกอยู่ในเพลิงสงครามได้ทุกเมื่อ ปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน ราชสำนักจึงรีบส่งคนมาเจรจาอย่างเร่งด่วน
หลังเจรจากันอยู่หลายครั้ง ซางเฉาจงถึงหยุดโจมตีชั่วคราว ในความเป็นจริงเขาต้องอาศัยไพร่พลที่หยิบยืมมาจากจังหวัดกว่างอี้ มาตรว่าสู้กันต่อไปก็ไม่สามารถยึดครองได้
ไกลออกไป ทหารม้ากองหนึ่งวิ่งห้อตะบึงเข้ามา ธงประดับอักษร ‘เฟิ่ง’ โบกสะบัด เฟิ่งรั่วหนานในชุดเกราะถือทวนเงินควบอาชาขาว วิ่งนำอยู่เบื้องหน้า ด้านหลังมีผู้บำเพ็ญเพียรสะพายกระบี่สิบกว่าคนติดตามมา ปิดท้ายด้วยทหารม้านับพัน
เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นมาจากบนหอสังเกตการณ์ ประตูค่ายเปิดออก รั้วหนามสกัดม้าถูกย้ายไปไว้สองข้างทาง คนกลุ่มหนึ่งก้าวอาดๆ ออกมาจากกระโจมบัญชาการอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าคือซางเฉาจง ซางซูชิงที่สวมชุดเกราะเดินตามติดอยู่เบื้องหลังพี่ชาย บนใบหน้าไม่ได้สวมหมวกม่านแพร ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจในเรื่องนี้
เฟิ่งรั่วหนานควบม้าพุ่งเข้ามาในค่ายทหาร จากนั้นรีบรั้งบังเหียน กองทหารม้าที่ติดตามอยู่ด้านหลังแยกตัวไปซ้ายขวา
นางกระโดดลงจากหลังม้า โยนทวนในมือให้ลูกน้อง สาวเท้าอาดๆ เข้าไปหาซางเฉาจงที่ออกมารอรับ เมื่อมาถึงตรงหน้าก็ดึงเอาป้ายคำสั่งที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประคองป้ายคำสั่งพร้อมเอ่ยว่า “ภารกิจสำเร็จลุล่วง ทหารที่คิดต่อต้านในอำเภอซื่ออันถูกกวาดล้างหมดแล้ว จึงมารายงานผลต่อท่านผู้บัญชาการ!”
ซางเฉาจงรับป้ายคำสั่งไป ยื่นส่งต่อให้หลานรั่วถิงที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นยื่นสองมือไปประคองเฟิ่งรั่วหนานขึ้นมา มองดูสตรีที่ใบหน้าร่างกายมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นธุลีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เอ่ยด้วยความทอดถอนใจว่า “ลำบากฮูหยินแล้ว!”
ขั้นตอนตามธรรมเนียมเสร็จสิ้นลงแล้ว การทำตัวเยี่ยงสามีภรรยาเช่นนี้ต่อหน้าไพร่พลมากมายทำให้เฟิงรั่วหนานรู้สึกอึดอัด ค่อนข้างกระอักกระอ่วน จึงสะบัดตัวเล็กน้อย หมายจะสลัดตัวให้พ้นจากการประคองของซางเฉาจง เอ่ยว่า “หากท่านผู้บัญชาการไม่มีคำสั่งอื่นใดแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน”
ซางเฉาจงยิ้มเจื่อน ลดสองมือลงอย่างประดักประเดิดเล็กน้อย
หลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยว่า “ท่านหญิง พาพระชายาไปพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงก้าวออกมา คารวะแล้วเอ่ยว่า “ลำบากพี่สะใภ้แล้ว ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
ทันทีที่เห็นซางซูชิง เฟิ่งรั่วหนานก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที เป็นฝ่ายยื่นมือไปจับจูงนาง เดินยิ้มแย้มพูดคุยออกไปกับซางซูชิง
อันที่จริงหน้าตาอัปลักษณ์ก็มีข้อดีของหน้าตาอัปลักษณ์ คนอัปลักษณ์มักจะมีโชค นี่ไม่ใช่คำพูดไร้เหตุผล อย่างน้อยก็ไม่ทำให้สตรีอื่นรู้สึกอิจฉาได้ง่าย
อย่างน้อยเฟิ่งรั่วหนานก็ดีต่อซางซูชิงมาโดยตลอด บางครายังเอาอกเอาใจซางซูชิงเป็นพิเศษด้วย แสดงออกอยู่เสมอว่าไม่ใส่ใจเรื่องความงามและความอัปลักษณ์ ด้วยเกรงว่าจะเผลอไปทำร้ายจิตใจนางเข้า
ยิ่งได้ใกล้ชิดกับซางซูชิงมากเท่าไร เฟิ่งรั่วหนานก็ยิ่งสงสารนางมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก ความสามารถ นิสัยใจคอและรูปร่าง ทุกอย่างล้วนเรียกได้ว่าเป็นคุณสมบัติของสตรีสูงศักดิ์ แต่กลับต้องมาพังพินาศลงเพราะใบหน้านี้ สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย!
ทุกครั้งที่เห็นซางซูชิง นางมักจะรู้สึกว่าอันที่จริงสวรรค์ยังคงปราณีนางอยู่
ทางนี้เพิ่งพักผ่อนได้ไม่นานนัก ทางช่องเขาก็มีความเคลื่อนไหวขึ้นมา
ประตูด่านเปิดออก ส่งเสียงที่ฟังดูหนักอึ้ง รั้วหนามสกัดม้าด้านนอกถูกทหารย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว ทหารม้าสิบกว่านายควบม้าทะยานออกไป วิ่งห้อไปตามเส้นทางบนภูเขาที่ขรุขระ มุ่งหน้าไปยังกองทัพที่ตั้งค่ายอยู่บนทุ่งกว้าง
ผู้นำขบวนสวมผ้าคลุมกันลมสีดำ ไหวสะบัดตามแรงลม จอนผมสองข้างมีสีขาวแซมประปราย ใบหน้าขาวผ่อง แววตาคร่ำเคร่ง เป็นก่าเหมี่ยวสุ่ย
เขามิได้เป็นเพียงขันทีคนสนิทข้างกายองค์ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผู้ดูแลราชรถภายในวัง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนที่เมืองหลวงแคว้นเยี่ยนส่งมาเจรจาในครั้งนี้ด้วย
ทั้งคณะควบม้ามาถึงประตูค่ายทหาร หลังได้รับอนุญาต ทั้งหมดถึงจะลงจากม้าแล้วเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ผ่านเข้าประตูค่ายไป พวกเขาก็ถูกคนผนึกเส้นลมปราณ พร้อมทั้งสกัดจุดเอาไว้ จากนั้นถึงจะปล่อยให้เดินเข้าไปต่อ มีคนนำทางตรงไปยังกระโจมบัญชาการ
ภายในกระโจมบัญชาการ มีการปลดม่านลงมาคลุมแผนที่ทำศึกที่แขวนเอาไว้ ซางเฉาจงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน
ไป๋เหยากอดกระบี่อารักขาอยู่ข้างกาย ด้านข้างยังมีศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์คอยจับตามองแขกผู้มาเยือนอยู่อีกจำนวนหนึ่งด้วย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สถานะเชื้อพระวงศ์ของซางเฉาจงยังคงอยู่ ยังไม่ถูกถอดถอนออกไป หลังพวกก่าเหมี่ยวสุ่ยเข้ามาในกระโจม พวกเขายังคงประสานมือคารวะโดยพร้อมเพรียงกัน “คารวะจวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงเอ่ยเสียงเข้ม “เจรจากันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เงื่อนไขยังคงเป็นไปตามนั้น ตกลงก็จบ ไม่ตกลงก็เจอกันในสนามรบ!”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยยืดตัวขึ้น เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง จะให้รับปากเงื่อนไขทั้งหมดของพระองค์นั้นเป็นไปไม่ได้ หากยอมคล้อยตามพระองค์ทั้งหมด เหล่าเจ้าศักดินาจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้ เมื่อถึงตอนนั้นแคว้นเยี่ยนจะตกอยู่ท่ามกลางเพลิงสงครามทันที!”
ซางเฉาจงกล่าวว่า “ไม่ตกลงก็ไม่มีอะไรต้องเจรจาอีก!”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยว่า “ทางเมืองหลวงได้แจ้งเงื่อนไขสุดท้ายที่สามารถยอมรับได้แก่กระหม่อม เรื่องสำเร็จโทษโจวโส่วเสียนนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แต่เรื่องยกจังหวัดชิงซานให้ท่านอ๋องสามารถทำได้ ทั้งยังสามารถประกาศพระราชโองการแต่งตั้งให้ได้ด้วย แต่เรื่องที่จะให้ประกาศต่อใต้หล้านั้นไม่มีทางเป็นไปได้! นอกเหนือจากสองข้อนี้ เรื่องอื่นล้วนตกลงได้ ราชสำนักเองก็ถอยให้ได้เพียงเท่านี้เช่นกัน หากท่านอ๋องยังเรียกร้องต่อไป หากยืนกรานจะหยามหน้าราชสำนัก เช่นนั้นราชสำนักก็ทำได้เพียงไปพบกับท่านอ๋องในสนามรบเช่น เมื่อถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าไพร่พลเพียงเท่านี้ของท่านอ๋องจะต้านไว้ได้นานเท่าไร!”
ฟึบ! ซางเฉาจงลุกพรวดขึ้นมาทันที จ้องมองด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
หลานรั่วถิงรีบเข้ามาปราม ประสานมือกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ทรงเป็นเสด็จลุงของท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อฝ่าบาทยอมถอยให้แล้ว ท่านอ๋องโปรดเห็นแก่ความเป็นเครือญาติ ยอมถอยก้าวหนึ่งด้วยเช่นกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
ด้วยการเกลี้ยกล่อมนี้ สงครามคล้ายจะยุติลงตรงนี้ ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง แบ่งกันเก็บไว้ฝ่ายละฉบับ
เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ด้านข้างต่างมีสีหน้าปรีดา พื้นที่อิทธิพลของสำนักหยกสวรรค์ขยายตัวออกไปอีกครั้ง ได้ครอบครองพื้นที่หนึ่งจังหวัดเชียวนะ!
ก่าเหมี่ยวสุ่ยที่ค่อยๆ เก็บเอกสารข้อตกลงมีสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก จ้องมองซางเฉาจงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องบางเรื่องควรทำแต่พอเหมาะจะเป็นการดีที่สุด หากยังก่อเรื่องต่อไป แคว้นเยี่ยนล่มสลายขึ้นมาก็ไม่เป็นผลดีต่อท่านอ๋องเช่นกัน ประชาชนบริสุทธิ์ต้องมาประสบกับความทุกข์ยากของไฟสงคราม หากยังมีครั้งหน้า ราชสำนักไม่มีทางยอมทนไปได้ตลอด ท่านอ๋องโปรดใคร่ครวญถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วย กระหม่อมหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องน่าจะทราบดี! ”
หลานรั่วถิงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ก่ากงกงหมายถึงกาทมิฬแสนตัวกระมัง?”
ทันทีที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมา สีหน้าของไป๋เหยาและก่าเหมี่ยวสุ่ยพลันเปลี่ยนไปพร้อมกัน คิดไม่ถึงว่าหลานรั่วถิงจะพูดความลับนี้ออกมาต่อหน้าคนมากมาย เรื่องนี้ไหนเลยจะเอามาพูดส่งเดชได้
แต่ซางเฉาจงกลับมีสีหน้านิ่งเฉย
หลานรั่วถิงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “ก่ากงกง เรื่องมาถึงขึ้นนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องมิสู้พูดให้กระจ่างดีกว่า ครานั้นท่านอ๋องถูกใส่ความจนต้องเข้าไปอยู่ในคุกหลวง หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น คาดว่าท่านคงทราบชัดเจนกว่าข้า มีคนต้องการสังหารท่านอ๋อง! ข้าเองก็ถูกกดดันจนไร้ทางออก จำต้องปล่อยข่าวลือเรื่อง ‘กาทมิฬแสนตัว’ ขึ้นมาในเมืองหลวง หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าท่านอ๋องคงยากจะมีชีวิตรอดออกมาจากคุกหลวงได้!”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยพลันหรี่ตาลง แก้มกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย สะบัดผ้าคลุมพร้อมหมุนตัว สาวเท้าก้าวจากไป
ขณะที่กำลังจะก้าวพ้นประตูกระโจมออกไป เขาชะงักเท้าอีกครั้ง หันขวับกลับมามอง จ้องมองซางเฉาจงด้วยแววตาคมกริบ นึกถึงคำพูดของซ่งจิ่วหมิงบนหอคอยประตูเมืองในวันนั้น ปล่อยเสือคืนป่าเสียแล้ว!
หลังมองดูก่าเหมี่ยวสุ่ยจากไปแล้ว ไป๋เหยาที่กอดกระบี่ไว้ในอ้อมแขนเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหลาน วาจาเมื่อครู่นั้นหมายความว่าอย่างไร เหตุใดข้าถึงฟังไม่ค่อยเข้าใจ?”
หลานรั่วถิงค่อยๆ หันกลับมามองเขา กล่าวว่า “ก็หมายความตามนั้น กาทมิฬแสนตัวเดิมทีเป็นเพียงอุบายหลอกลวง ไม่มีอยู่จริง! ท่านอ๋องเผชิญวิกฤตในเมืองหลวง จำเป็นต้องคิดหาทางเอาตัวรอด หลังออกมาจากเมืองหลวงก็ยังยากจะหนีรอดความโหดเหี้ยมของราชสำนักได้ เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจากสำนักของท่าน จึงจำเป็นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมยืมกำลังทหาร กระทั่งวันนี้ยึดเอาจังหวัดชิงซานมาได้แล้ว ที่ผ่านมาล้วนเป็นแผนการที่วางเอาไว้ทั้งสิ้น!”
สีหน้าของไป๋เหยาเองก็แปรเปลี่ยนเป็นดูแย่ขึ้นมาเช่นกัน สำนักหยกสวรรค์ถูกหลอกแล้ว!
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาซางเฉาจง “ท่านอ๋อง เรื่องบางเรื่องไม่อาจนำมาล้อเล่นส่งเดชได้”
ซางเฉาจงนิ่งเงียบ สีหน้าไร้ความรู้สึก
หลานรั่วถิงก้าวเข้ามา “ฝ่าซือ! สำนักหยกสวรรค์สูญเสียอันใดไปหรือเปล่า? ไม่เพียงแต่ไม่สูญเสียอันใดไปเท่านั้น แต่กลับได้รับประโยชน์อย่างมากด้วย มีท่านอ๋องคอยดูแลจังหวัดนี้ให้สำนักหยกสวรรค์ มีอะไรไม่ดีบ้าง?”
“หากว่ากันในแง่ความสามารถ ท่านอ๋องก็หาได้ด้อยไปกว่าเฟิ่งหลิงปอไม่ หลายปีมานี้ เฟิ่งหลิงปอมีความสามารถมากพอจะช่วยขยายอาณาเขตให้สำนักหยกสวรรค์ได้หรือไม่? ท่านอ๋องเพิ่งจะมาถึงอำเภอชางหลูได้ไม่กี่เดือนก็ยึดเอาพื้นที่จังหวัดหนึ่งมาให้สำนักหยกสวรรค์ได้แล้ว ด้วยความสามารถเช่นนี้ หากสำนักหยกสวรรค์ไม่ต้องการ ใต้หล้านี้ก็ยังมีสำนักอื่นๆ อีกมากมายที่อยากแย่งชิงตัวท่านอ๋องอยู่!”
“หากว่ากันในแง่สายสัมพันธ์ เฟิ่งหลิงปอเป็นลูกเขยของเจ้าสำนักเผิง ท่านอ๋องเองก็เป็นหลานเขยของเจ้าสำนักเผิงเช่นกัน เป็นคนในครอบครัวเช่นเดียวกัน แล้วจะแบ่งแยกกันไปไย? แล้วก็ยังมีเรื่องที่เฟิ่งหลิงปอไม่อาจเทียบได้ด้วย นั่นคือท่านอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นเยี่ยน มีสิทธิ์ชอบธรรมในบางเรื่อง! หรืออย่างน้อยที่สุด เงื่อนไขของทางฝั่งมณฑลจินโจวฝ่าซือเองก็ทราบดี หากจังหวัดชิงซานปราศจากท่านอ๋อง ก็ไม่มีใครที่จะหยุดมณฑลจินโจวได้! ท่านอ๋องยินดีทำงานรับใช้สำนักหยกสวรรค์ เหตุใดฝ่าซือไม่ลองสอบถามทางสำนักดูล่ะว่ายินดีมอบโอกาสนี้ให้ท่านอ๋องหรือไม่?”
จะมอบโอกาสนี้ให้หรือไม่ ไป๋เหยาไม่ทราบ เขาเองก็ไม่อาจตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ หากไม่มีคำสั่งจากทางสำนัก เขาก็ไม่กล้าทำอะไรซางเฉาจงเช่นกัน
แต่เขามองออกอย่างหนึ่งแล้ว ที่วันนี้ทางฝั่งซางเฉาจงกล้าเทไพ่ออกมาหมดหน้าตัก นั่นเป็นเพราะพวกเขามีที่พึ่งจึงไม่กริ่งเกรง!
ไป๋เหยาค่อยๆ หันหลังกลับ ก้าวเดินจากไปอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักหยกสวรรค์มองหน้ากันเหลอหลา จากไปด้วยสีหน้างุนงงสงสัยเช่นกัน
ผ่านไปสักพัก ซางซูชิงเดินเข้ามา เฟิ่งรั่วหนานกำลังอาบน้ำชำระร่างกายอยู่ นางจึงกลับมาได้
“เมื่อครู่ข้าเห็นสีหน้าฝ่าซือไม่สู้ดี หรือว่ายังเจรจากับทางราชสำนักไม่ได้?” ซางซูชิงถามด้วยความเป็นห่วง ในแววตาแฝงไว้ด้วยความกังวลใจเล็กน้อย
ซางเฉาจงถอนหายใจ “เจรจาสำเร็จแล้ว…ส่วนเรื่องกาทมิฬ เปิดเผยกับทางสำนักหยกสวรรค์ไปแล้ว”
ซางซูชิงนิ่งเงียบ เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสีหน้าของไป๋เหยาถึงได้ดูแย่เพียงนั้น
จู่ๆ หลานรั่วถิงพลันเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าอย่างไร รูปการณ์โดยรวมนับว่าลงตัวแล้ว น่าจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นอีก! ยึดจังหวัดชิงซานมาได้ วันหน้าเฟิ่งหลิงปอก็ยากจะมาขัดขวางท่านอ๋องได้อีก ในที่สุดท่านอ๋องก็มีฐานที่มั่นเป็นของตนเองแล้ว การเริ่มต้นครั้งใหม่ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก!”
“วางแผนแต่งงานกับพี่สะใภ้ หยิบยืมกำลังทหารจากจังหวัดกว่างอี้ ตั้งหลักในอำเภอชางหลู เสี่ยงภัยไปมณฑลจินโจว กอบกู้สถานการณ์ที่เลวร้าย ช่วยเหลือสร้างพันธมิตรได้สำเร็จ ถึงได้ครอบครองจังหวัดชิงซานได้อย่างราบรื่นเหมือนอย่างวันนี้ได้!” ซางซูชิงเอ่ยเตือนเสียงแผ่วเบา
ทั้งสองได้ฟังต่างพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ ซางเฉาจงเอ่ยทอดถอนใจว่า “เต้าเหยี่ยมีความชอบใหญ่หลวง!”
ซางซูชิงค่อยๆ เดินไปตรงหน้าประตูกระโจม ทอดตามองดูสีของท้องนภา เอ่ยพึมพำว่า “ไม่ได้รับข่าวคราวจากเขานานแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง…”
…………………………………………………………………………….
คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้