ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 154 เขาคือบุรุษคนแรกของข้า
ตอนที่ 154 เขาคือบุรุษคนแรกของข้า
“ดี! เยี่ยมมาก!”
ภายในจวนผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้ เฟิ่งหลิงปอที่ได้อ่านรายงานพลันตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น “รีบไปเตรียมตัวเดินทาง ข้าจะไปดูที่จังหวัดชิงซานด้วยตัวเอง”
พ่อบ้านโซ่วเหนียนค้อมกายเล็กน้อย อึกอักลังเล เอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน หารือกับฮูหยินก่อนดีไหมขอรับ?”
เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “ยังมีอันใดต้องหารืออีก นางก็คิดถึงบุตรสาวอยู่มิใช่หรือ ไปด้วยกันเสียสิ!”
พ่อบ้านโซ่วเหนียนเอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่ง “นายท่าน หารือกับฮูหยินสักหน่อยเถอะขอรับ”
เฟิ่งหลิงปอผงะไปเล็กน้อย มองออกถึงความผิดปกติของโซ่วเหนียน เอ่ยถามว่า “ฮูหยินมีอะไรหรือ?”
โซ่วเหนียนกุมมือไม่กล่าววาจา ค้อมกายก้มหน้าอยู่ตรงนั้น
เฟิ่งหลิงปอเดินอ้อมโต๊ะออกมา จ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันหลังเดินออกไป
เมื่อมาถึงเรือนด้านใน มองเห็นเผิงอวี้หลานกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับลูกสะใภ้สองคนอยู่ในลานเรือน หลังจากลูกสะใภ้ทำความเคารพแล้วขอตัวจากไป เฟิ่งหลิงปอจึงเอ่ยขึ้นว่า “โซ่วเหนียนมีท่าทีแปลกพิกล”
เผิงอวี้หลานมึนงง “แปลกพิกลอย่างไร?”
เฟิ่งหลิงปอเอ่ย “เมื่อครู่เพิ่งได้รับข่าวจากทางจังหวัดชิงซาน ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมสามารถควบคุมเอาไว้ได้แล้ว ข้าเตรียมจะเดินทางไปตรวจสอบดูเสียหน่อย แต่โซ่วเหนียนกลับเอาแต่พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ”
เผิงอวี้หลานเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ท่านพี่เตรียมจะไปจัดการอันใดหรือ?”
เฟิ่งหลิงปอตอบ “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะส่งใครไปประจำการที่จังหวัดชิงซานดี เจ้าใหญ่รั่วอี้กับเจ้ารองรั่วเจี๋ยก็ใช้ได้ทั้งคู่ หากส่งรั่วอี้ไปประจำการที่จังหวัดชิงซาน รั่วเจี๋ยก็ต้องประจำการอยู่ที่จังหวัดกว่างอี้ หากรั่วอี้ประจำการอยู่ที่จังหวัดกว่างอี้ ก็ให้รั่วเจี๋ยไปประจำการที่จังหวัดชิงซานได้ พวกเขาสองพี่น้องล้วนใช้ได้ทั้งคู่”
เผิงอวี้หลานเข้าใจความคิดของเขา คิดจะแบ่งจังหวัดให้ลูกชายปกครองกันคนละแห่ง จากนั้นตนเองก็จะได้ครอบครองทั้งสองจังหวัด
“ท่านพี่ ไม่จำเป็นต้องไปที่จังหวัดชิงซานหรอก” เผิงอวี้หลานฝืนเค้นรอยยิ้มพร้อมเอ่ยออกมา
เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “จังหวัดชิงซานเพิ่งจะผ่านสงครามมา ข้าต้องไปดูแลสถานการณ์ด้วยตัวเองก่อน ถึงจะวางแผนดูแลปกครองได้”
เผิงอวี้หลานเอ่ยว่า “เฉาจงกับรั่วหนานก็อยู่ทางนั้นมิใช่หรือ ในเมื่อพวกเขาสองสามีภรรยาตีเอาจังหวัดชิงซานมาได้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาดูแลกันเองเถอะ”
เฟิ่งหลิงปอโบกมือพลางกล่าวว่า “ราษฎรในจังหวัดชิงซานยากจนมาเป็นเวลานาน ใช้ชีวิตลำบากยากแค้น เฉาจงกับรั่วหนานล้วนเป็นแม่ทัพทั้งคู่ ไร้ซึ่งประสบการณ์ด้านการดูแลปกครอง หากมอบหมายให้พวกเขาดูแลข้าไม่วางใจ อีกอย่าง ลูกเขยก็เป็นแค่ลูกเขย อย่างมากก็นับเป็นบุตรชายได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น มาตรว่าพวกเราจะไม่มีทางเอาเปรียบลูกสาว ทว่าลูกหญิงก็มีครอบครัวของตัวเองไปแล้ว กลายเป็นคนสกุลซางแล้ว จังหวัดชิงซานยกให้รั่วอี้ไม่ก็รั่วเจี๋ยดูแลจะเหมาะสมกว่า เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าจะในแง่ของความรู้สึกหรือเหตุผล ข้าล้วนไม่มีทางเอาเปรียบพวกเขาสองสามีภรรยา สุดท้ายแล้วรั่วหนานก็ยังเป็นบุตรสาวของพวกเราอยู่ดี”
วาจาเหล่านี้ไม่อาจกล่าวต่อหน้าคนนอกได้
เผิงอวี้หลานก้มหน้าเงียบงัน ถ้อยคำบางอย่างนางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกมาอย่างไรดี
เฟิ่งหลิงปอจ้องมองนาง เอ่ยถาม “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
เผิงอวี้หลานค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น เอ่ยว่า “ท่านพี่ ช่างเถอะ เรื่องทางจังหวัดชิงซานพวกเราไม่เหมาะจะสอดมือเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้พวกเขาสองสามีภรรยาจัดการกันไปเถอะ!”
เฟิ่งหลิงปอขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอันใดของเจ้า?”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็ปิดไว้ไม่อยู่เช่นกัน เผิงอวี้หลานเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ไม่มีกาทมิฬแสนตัวอันใดทั้งนั้น!”
เฟิ่งหลิงปอเลิกคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เผิงอวี้หลานตอบว่า “ท่านพ่อบอกว่ารั่วหนานเป็นหลานสาวของเขา เฉาจงเป็นหลานเขยของเขา ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ยกจังหวัดชิงซานให้พวกเขาสองสามีภรรยาดูแลไปก็เหมือนกัน!”
เฟิ่งหลิงปอผงะไปเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยเสียงคร่ำเคร่งว่า “ล้อเล่นอันใดอยู่ เสบียงไพร่พลล้วนมาจากจังหวัดกว่างอี้ของข้า ข้าจะไปขอคำอธิบายจากท่านพ่อตา!” เขาหันหลังเตรียมเดินออกไป
เผิงอวี้หลานรีบยื่นมือไปรั้งแขนเขาเอาไว้ ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านพี่ พอเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอก นี่คือเจตนาของทั้งสำนักหยกสวรรค์ ท่านพ่อต้องพิจารณาปัญหาโดยยึดประโยชน์ของทั้งสำนักหยกสวรรค์เป็นสำคัญ เขาเองก็ไม่สะดวกจะเอนเอียงเข้าข้างใครได้”
เฟิ่งหลิงปอถาม “นี่จะเป็นการเอนเอียงได้อย่างไร พวกเขาสองสามีภรรยาเป็นแค่แม่ทัพที่อยู่ใต้บัญชาการของข้า อีกทั้งไม่มีประสบการณ์ในการดูแลปกครองดินแดน ถ้าจังหวัดชิงซานวุ่นวายจะมีประโยชน์อันใดต่อสำนักหยกสวรรค์ล่ะ?”
เผิงอวี้หลานกล่าวว่า “ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็ดูแลจัดการอำเภอชางหลูให้เข้าที่เข้าทางได้แล้ว ในกองกำลังเก่าของหนิงอ๋องไม่ขาดแคลนคนที่มีความสามารถในด้านการปกครอง หลานรั่วถิงคนนั้นมีความสามารถในการบริหารแว่นแคว้น!”
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “นี่เจ้ายืนอยู่ข้างไหนกันแน่?”
เผิงอวี้หลานกล่าวด้วยความลำบากใจ “นี่มิใช่คำพูดของข้า หากแต่เป็นคำพูดที่ท่านพ่อเอ่ยออกมาจากปากของท่านเอง! ข้ายืนอยู่ข้างไหนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือมณฑลจินโจวยืนอยู่ข้างไหน ไห่หรูเยวี่ยกุมอำนาจทางการทหารของมณฑลจินโจวไว้ นางคืออาหญิงของเฉาจง ยอมรับแต่เพียงเฉาจงเท่านั้น หากเราเปลี่ยนตัวผู้ปกครองจังหวัดชิงซาน นางจะถอนกำลังทัพที่กดดันเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนอยู่ แล้วก็จะเลิกกดดันโจวโส่วเสียนด้วย จากสถานการณ์ในตอนนี้ ไพร่พลของจังหวัดกว่างอี้กระจายตัวอยู่ในสองพื้นที่ ไม่มีทางต้านทัพมณฑลหนานโจวของโจวโส่วเสียนได้ ทันทีที่ปล่อยให้โจวโส่วเสียนมีเวลามาจัดการทางนี้ หากไม่เรียกตัวไพร่พลที่อยู่ทางจังหวัดชิงซานให้ล่าถอยกลับมารวมกัน เกรงว่าแม้แต่จังหวัดกว่างอี้เองก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน แล้วจังหวัดชิงซานก็จะถูกเปลี่ยนมือในชั่วพริบตา…”
ถ้อยคำช่วงหลังว่าอย่างไรบ้าง เฟิ่งหลิงปอฟังไม่เข้าหูเลยแม้แต่คำ ภายในหัวนึกถึงสิ่งที่เผิงอวี้หลานเอ่ยมาก่อนหน้านี้ ไม่มีกาทมิฬแสนตัวอันใดอยู่เลย เขาคล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว
สีหน้าค่อยๆ ซีดเซียว ริมฝีปากเฟิ่งหลิงปอสั่นระริก เอ่ยพึมพำกับตัวเอง “เลี้ยงไม่เชื่อง…เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ…สมแล้วที่เป็นบุตรชายของหนิงอ๋อง…บิดาเป็นพยัคฆ์บุตรย่อมมิใช่สุนัข แผนการชั่วร้ายนัก เอาบุตรสาวคนเดียวของข้าไป เป็นข้าเองที่มีตาแต่ไร้แววพาหมาป่าเข้ามาในบ้าน…” จู่ๆ พลันยกมือกุมอก สองตาเหลือกขึ้น ร่างกายส่ายโงนเงนคล้ายจะเป็นลม
เผิงอวี้หลานตกใจเป็นอย่างมาก รีบประคองเขาเอาไว้ ฝ่ามือทาบลงบนแผ่นหลังเขา ใช้พลังช่วยให้เขาหายใจได้สะดวกขึ้น น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
….
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลจินโจว ในสวนบุปผา หยวนกังยืนตระหง่านอยู่ริมสระบัว
ภายในศาลาที่อยู่ด้านหลัง สองสาวใช้เดินเข้ามาพร้อมกับไห่หรูเยวี่ยที่เปล่งประกายงดงาม
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหยวนกังที่ยืนอยู่ริมสระบัว ไห่หรูเยวี่ยยิ้มหวานหยาดเยิ้มขึ้นมา “น้องหยวนมาแล้วหรือ รีบเข้ามานั่งเถอะ!”
หยวนกังเหลียวหน้ากลับไป ก่อนจะหมุนตัวก้าวขึ้นบันได เดินเข้าไปในศาลาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “องค์หญิงใหญ่”
“คนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น รีบนั่งเถอะ!” ไห่หรูเยวี่ยเดินเข้ามา ยื่นมือจับข้อมือหยวนกัง คิดจะดึงให้อีกฝ่ายนั่งลง ดูกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
หยวนกังชักมือกลับเล็กน้อย สลัดจากการดึงของอีกฝ่าย เขาไม่เคยชินกับการถูกสตรีมาดึงรั้งเช่นนี้ ซ้ำยังเป็นหญิงม่ายคนหนึ่งด้วย
รอยยิ้มของไห่หรูเยวี่ยไม่แปรเปลี่ยน ยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้มละไม ไม่รู้เพราะเหตุใด ขอเพียงบุรุษผู้นี้ยืนอยู่ตรงหน้า กลิ่นอายของเพศผู้ก็จะโชยมาปะทะใบหน้านาง รู้สึกเหมือนกลิ่นอายเหล่านั้นแทรกซึมผ่านเข้าไปในทุกอณูรูขุมขนของตน ทำให้ใจนางเต้นแรงได้ทุกครั้ง
นางเองก็นับว่าเป็นคนที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ ทว่าบุรุษที่มีบุคลิกสมชายชาตรีเช่นนี้ นางเพิ่งจะเคยพบเจอเป็นครั้งแรกจริงๆ แตกต่างจากบุรุษส่วนใหญ่ที่พอเห็นนางก็มักจะอดใจใช้สายตาโลมไล้ไปทั่วทั้งร่างนางมิได้ ยิ่งได้สัมผัสคลุกคลีมากเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นความแตกต่างมากขึ้นเท่านั้น แตกต่างอย่างมากจริงๆ!
ไม่ยินดีให้จับจูง นางเองก็ไม่ฝืนใจ ยกแขนเสื้อเชื้อเชิญให้นั่งลง
หยวนกังนั่งลงอย่างเงียบๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาขมวดคิ้วคือไห่หรู่เยวี่ยขยับเก้าอี้กลมเข้ามานั่งลงใกล้ๆ เขา
เมื่อเห็นเขาไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธอันใด ไห่หรูเยวี่ยก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ช่วงแรกเริ่ม นางเป็นฝ่ายเข้าหาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่บุรุษผู้นี้ค่อนข้างเย็นชา หากไม่มีธุระอันใด กระทั่งคำพูดก็คร้านที่จะเอ่ยกับนาง พอเข้าใกล้ก็ขยับหนีราวแมงป่องพิษทันที ตอนนี้คล้ายจะดีกว่าเมื่อก่อนไม่น้อยแล้ว
ส่วนนางก็ตอบแทนที่เขาปฏิบัติตัวดีขึ้น ตอบรับคำขอบางอย่างของหยวนกัง ไม่จำกัดบริเวณให้อยู่แค่ในเรือน อนุญาตให้หยวนกังเดินเล่นอยู่ในเรือนสุคนธาได้
ไห่หรูเยวี่ยหันไปเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอก พวกเจ้าถอยไปเถอะ!”
“เจ้าค่ะ! สองสาวใช้ย่อกายถอยจากไป”
ไห่หรูเยวี่ยเป็นฝ่ายยกการินสุราให้หยวนกังด้วยตัวเอง ดวงเนตรงามกระจ่างคอยมองใบหน้าด้านข้างของหยวนกังอยู่เป็นระยะ โครงหน้าเหลี่ยมชัดได้รูป คมคายดั่งใบดาบคมขวาน องอาจเย็นชา!
“มา น้องหยวน พวกเราดื่มจอกนี้ด้วยกัน!” ไห่หรูเยวี่ยยกจอกเชื้อเชิญ
หยวนกังนั่งนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีทีท่าว่าจะยกจอกขึ้นมา “กระหม่อมคอไม่แข็ง เชิญองค์หญิงใหญ่ดื่มเถอะพ่ะย่ะค่ะ มอบจดหมายของเต้าเหยี่ยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาไม่เคยกินอาหารของคนแปลกหน้าส่งเดช
ไห่หรูเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มแนบชิดขอบจอก เงยหน้าช้าๆ แล้วดื่มลงไป รินจนเต็มจอกอีกครั้ง จากนั้นล้วงเอาจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ
หยวนกังคว้ามาเปิดอ่านทันที เป็นตัวอักษรที่เขาคุ้นเคย เชื่อว่าไม่มีใครปลอมแปลงของสิ่งนี้ได้
หลังอ่านเนื้อหาจบ สีหน้าเขาตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
ไห่หรูเยวี่ยสังเกตปฏิกิริยาของเขา เอ่ยถามว่า “เขียนอะไรเอาไว้?”
“เต้าเหยี่ยต้องการให้องค์หญิงใหญ่ส่งหนังสือแจ้งทางราชสำนักว่าให้ช่วยจัดการอุปสรรคบางอย่าง จุดพักม้าบางแห่งในแคว้นจ้าวมีปัญหา…” หยวนกังบอกเล่าเนื้อความในจดหมายออกมา สุดท้ายเอ่ยว่า “หลังจัดการเสร็จเรียบร้อย ก็ให้องค์หญิงใหญ่ติดต่อให้คนนำเอาบุปผาแดงดอกหนึ่งไปแขวนไว้บนชายคานอกโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอเป่ยซานก็พอพ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็ชูจอกชวนร่ำสุราต่อ
หยวนกังเพียงอ่านจดหมายก็ทราบแล้วว่าเต้าเหยี่ยกำลังเผชิญปัญหาอยู่อย่างแน่นอน ในใจเป็นกังวล ไหนเลยจะยังมีอารมณ์ดื่มสุราเป็นเพื่อนนางได้ เขาดันจอกสุราออกไปพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงใหญ่ เรื่องนี้ต้องเร่งจัดการโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ!”
สำหรับเรื่องนี้ ไห่หรูเยวี่ยเองก็ให้ความสำคัญไม่ต่างจากเขา หนิวโหย่วเต้าไปช่วยนางจัดการงานใหญ่ แล้วนางจะไม่สนใจได้อย่างไร เพียงแต่เมื่อเห็นหยวนกังมีท่าทางเช่นนี้ นางกลับดูไม่ค่อยร้อนใจอย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ ดื่มสุราลงไปอีกจอก จากนั้นวางจอกสุราที่ว่างเปล่าไว้ตรงหน้าหยวนกัง ส่งสายตาให้เล็กน้อย
หยวนกังขบกรามแน่น สุดท้ายยังคงยกการินสุราให้นางจนเต็ม
ด้วยเหตุนี้ไห่หรูเยวี่ยจึงดื่มจอกแล้วจอกเล่า ดื่มจนพวงแก้มแดงเรื่อ แววตาเจือความเลื่อนลอย หยวนกังไม่ยอมรินให้นางอีก นางจึงยกกามารินเองอีกครั้ง
หยวนกังคว้าข้อมือนางไว้ เอ่ยเสียงขรึมว่า “องค์หญิงใหญ่ พระองค์ไม่ควรดื่มต่อแล้ว จัดการเรื่องงานสำคัญกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยเมามายแววตาเลื่อยลอย เอ่ยขึ้นว่า “ชายหญิงมิพึงชิดใกล้ เจ้าคิดจะทำอะไร? คิดจะลวนลานข้าหรือ? บุรุษล้วนไม่มีดีสักคน!”
หยวนกังปล่อยมือจากนาง จากนั้นก็โยนจอกสุราไปด้านหลัง ตกลงไปในสระบัวด้านหลัง
ไห่หรูเยวี่ยฟุบอยู่บนโต๊ะหัวเราะคิกคักไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเงยหน้าขึ้นมา มองดูเขาแล้วกล่าวว่า “จะบอกข่าวดีเจ้าสักเรื่อง ซางเฉาจงยึดจังหวัดชิงซานมาได้แล้ว!”
หยวนกังพูดว่า “เรื่องที่เต้าเหยี่ยมอบหมายมา องค์หญิงใหญ่ยังต้องเร่งดำเนินการ!”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม “รู้หรือเปล่าว่าบิดาของซางเฉาจงมีความสัมพันธ์เยี่ยงไรกับข้า? เขาคือผู้ชายคนแรกของข้า!”
“…..” หยวนกังตะลึงงัน ยังนึกว่าตนฟังผิดไป
ไหหรูเยวี่ยกอดกาสุราเอาไว้ ยกเทกรอกปาก สายตาเหม่อลอยไปไกล เล่าออกมาว่า “ปีนั้น ข้าเพิ่งอายุสิบหก บิดามารดาตัดใจส่งข้าและเสด็จพี่ไปเป็นตัวประกันอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเราสองพี่น้องหวาดกลัวมากเพียงใด ข้าร้องไห้ไปตลอดทาง เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไรเล่า เมื่อไปเป็นตัวประกันอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นเยี่ยนก็ไม่เหลือเกียรติอันใดทั้งนั้น เนื่องเพราะข้ามีรูปโฉมงดงาม ขอเพียงมีคุณสมบัติพอจะเอื้อมมือมาได้ก็ล้วนแต่อยากได้ตัวข้าไปร่วมหลับนอนด้วยทั้งนั้น”
“เจ้าคงรู้จักถงมั่วกระมัง เจ้ากรมโยธาของแคว้นเยี่ยนคนปัจจุบัน ตอนนั้นข้าถูกคนส่งตัวไปที่ห้องของเขาแล้ว ประหนึ่งลูกแกะที่รอโดนเชือด ต่อมามีคนผู้หนึ่งถีบประตูห้องเข้ามา ชกถงมั่วจนล้มคว่ำลงบนพื้น ก่อนจะกระทืบซ้ำอีกหลายที กระทืบจนถงมั่วกระอักเลือด ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางทั้งสิ้น! ทราบหรือไม่ว่าเขาคือผู้ใด? เป็นซางเจี้ยนปั๋ว! เขาเพิ่งกลับถึงเมืองหลวงหลังเสร็จศึกสงครามที่ชายแดน ตัวข้าและญาติผู้พี่คนนี้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่พอเขาได้ยินว่าข้ามีภัย เขาก็เร่งมาช่วยเหลือข้าที่จวนตระกูลถงทันที กระทั่งชุดเกราะบนร่างก็ยังไม่ได้ถอดด้วยซ้ำ!”
……………………………………………………………..