ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 157 การกลับมาของหยวนฟาง
ตอนที่ 157 การกลับมาของหยวนฟาง
ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน เรือนตระกูลซ่ง ประตูห้องหนังสือของซ่งจิ่วหมิงปิดสนิท
พ่อบ้านหลิวลู่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในเรือน มองไปทางประตูห้องที่ปิดสนิทเป็นระยะๆ
ด้านนอกเรือน ซ่งเฉวียนที่อยู่ในชุดขุนนางสาวเท้าเดินเข้ามา เขาเพิ่งเลิกงานกลับมาจากศาลาว่าการ ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า มาถึงก็เอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น ได้ยินว่าท่านพ่อขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือครึ่งค่อนวันไม่ยอมออกมาอย่างนั้นหรือ?”
หลิวลู่กระซิบตอบ “ได้รับแจ้งข่าวมาขอรับ จู่ๆ คนของหน่วยข่าวกรองที่ถูกจัดวางเอาไว้ในจุดพักม้าของหกแคว้นก็ถูกทั้งหกแคว้นบุกจับกุมกะทันหัน ดูเหมือนจะเสียหายมิใช่น้อยเลยขอรับ”
ตระกูลซ่งพอจะมีหูมีตาอยู่ในแคว้นต่างๆ ไม่มากก็น้อย
ซ่งเฉวียนตกตะลึง “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้? ไม่ได้พัวพันมาถึงท่านพ่อกระมัง?” เพราะการใช้งานคนของหน่วยข่าวกรองนั้นเป็นความคิดพ่อของเขา การที่เครือข่ายข่าวกรองที่จัดวางไว้ตามแคว้นต่างๆ ได้รับความเสียหาย นั่นมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
หลิวลู่ตอบว่า “รายละเอียดยังไม่ทราบขอรับ ราชสำนักเพิ่งเสียจังหวัดชิงซานให้ยงผิงจวิ้นอ๋องไป ซ้ำยังมาเกิดเรื่องนี้กับหน่วยข่าวกรองอีก อารมณ์ของฝ่าบาทเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ได้ยินว่ามั่วปิงถูกฝ่าบาทด่ากราดไม่เหลือชิ้นดีเลยขอรับ นายท่านได้ข่าวก็รีบไปที่หอข่าวสารทันที ด้วยคิดอยากไปสอบถามสถานการณ์โดยละเอียดจากมั่วปิง ผลคือปิดประตูเงียบไม่ต้อนรับขอรับ”
อันที่จริงหอข่าวสารก็คือหน่วยข่าวกรองของแคว้นเยี่ยน แต่กลับไม่อาจบอกต่อภายนอกได้ว่าเป็นหน่วยข่าวกรอง ส่วนมั่วปิงก็คือผู้ดูแลหอข่าวสาร แล้วก็เป็นผู้บัญชาการของหน่วยข่าวกรอง
ซ่งเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม “หรือว่ามั่วปิงคิดจะให้ท่านพ่อรับผิดชอบเรื่องนี้? ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ ต่อให้ท่านพ่อจะยังมีอำนาจอยู่ ท่านก็ไม่มีอำนาจเรียกใช้คนของหน่วยข่าวกรองได้ สิทธิ์การควบคุมหน่วยข่าวกรองอยู่ในมือของฝ่าบาท เรื่องนี้หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่าบาท แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร! ท่านพ่อมิได้ไปหาท่านเจ้ากรมหรือ?”
หลิวลู่ตอบว่า “หลังหอข่าวสารปิดประตูเงียบ นายท่านก็ไปที่จวนเจ้ากรมโยธาทันทีขอรับ ทว่าครั้งนี้ท่าทีของท่านเจ้ากรมโยธาดูค่อนข้างคลุมเครือขอรับ”
ซ่งเฉวียนถาม “หมายความว่าอย่างไร? หน่วยข่าวกรองจัดการไม่ดีเอง จะกล่าวโทษท่านพ่อได้หรือ?”
หลิวลู่เอ่ยว่า “ย่อมไม่อาจโทษนายท่านได้ขอรับ แล้วก็ไม่สามารถตำหนินายท่านอย่างเปิดเผยได้ แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละขอรับ บ่าวสอบถามสถานการณ์จากนายท่านมา ตอนที่นายท่านไปสอบถามท่านเจ้ากรมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับหน่วยข่าวกรองนี้ ผู้ใดเป็นคนรับผิดชอบจัดการ ด้วยคิดอยากจะสอบถามสถานการณ์ของทางมั่วปิงเสียหน่อย เพราะอยากรู้ว่าที่หอข่าวสารปิดประตูเงียบเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร แต่ผู้ใดจะทราบว่าท่านเจ้ากรมกลับบอกว่าหอข่าวสารมีความดีไร้ความผิด หลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรงได้ทันท่วงที บอกให้นายท่านไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ขอรับ”
ซ่งเฉวียนไม่ค่อยเข้าใจ เอ่ยถามว่า “หมายความว่าอย่างไร แบบนี้มิใช่เรื่องดีหรือ?”
หลิวลู่กล่าวว่า “จะไปดีได้อย่างไรล่ะขอรับ หน่วยข่าวกรองมีความดีไร้ความผิด ข้อสรุปนี้มีปัญหาอย่างมาก อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าหน่วยข่าวกรองรู้แล้วว่าปัญหามันเกิดขึ้นตรงไหน ตามหลักแล้วเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนก็ต้องถามหาความรับผิดชอบจากตรงนั้น แต่นี่กลับถามหาความรับผิดชอบจากจุดที่เกิดปัญหาไม่ได้น่ะสิขอรับ!”
ซ่งเฉวียนก็เป็นคนที่ทำงานอยู่ภายในราชสำนักเหมือนกัน พลันกระจ่างขึ้นมาในทันที เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด “มีคนขวางไว้ พยายามจะกลบเรื่องนี้เอาไว้?”
หลิวลู่พยักหน้า “อย่างน้อยอิทธิพลที่คนผู้นี้มีต่อราชสำนักและทางท่านเจ้ากรมก็ไม่มีทางด้อยไปกว่านายท่านแน่นอนขอรับ”
ซ่งเฉวียนกระจ่างแจ้งแล้ว เครือข่ายข่าวกรองนอกแคว้นได้รับความเสียหายย่อมมิใช่เรื่องเล็ก จะต้องมีคนรับผิดชอบในเรื่องนี้ ไม่มีทางทำเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ แล้วก็จำเป็นต้องมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ด้วย มิเช่นนั้นหากในอนาคตเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก หากเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้วไม่ต้องสืบสวนเอาความล่ะก็ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์อันใดแล้ว
คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน หน่วยข่าวกรองไร้ความผิด ฝ่าบาทยิ่งไม่มีทางผิด ที่เหลือก็มีแค่คนที่เข้ามาปลุกปั่นให้หน่วยข่าวกรองไปทำเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเป็นใคร!
ซ่งเฉวียนเผยสีหน้าดุดัน “มีคนกำลังจะเหยียบย่ำท่านพ่อเพื่อปกป้องคนอื่น!”
หลิวลู่เอ่ยปลอบว่า “ท่านเจ้ากรมน่าจะยังปกป้องนายท่านอยู่ขอรับ!”
“ปกป้องกับผีน่ะสิ ท่านพ่อลงจากตำแหน่งแล้ว หากไปบอกว่าคนที่ไม่มีตำแหน่งทางราชการคนหนึ่งไปสั่งการหน่วยข่าวกรอง นั่นมิกลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ? ไม่สามารถทวงถามความรับผิดชอบจากท่านพ่ออย่างเปิดเผยได้ แต่ใครบางคนกลับโยนความรับผิดชอบมาใส่หัวท่านพ่อ”
ซ่งเฉวียนพลันหันกลับไปมองประตูห้องหนังสือที่ปิดสนิทอยู่ ในที่สุดก็เข้าใจความรู้สึกของบิดาแล้ว กัดฟันกล่าวว่า “มีความดีไร้ความผิดอย่างนั้นหรือ ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเป็นผู้ใดที่กำลังปกป้องผู้ใดอยู่กันแน่! เจ้าไร้ความผิดก็ว่าไปอย่าง คิดไม่ถึงว่ายังจะมีความชอบอีก!”
หลิวลู่ก้มหน้าเงียบ เพื่อปกป้องคนแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ลงมือได้ค่อนข้างโหดเหี้ยมทีเดียว ไม่เพียงแต่จะปกป้องคนเท่านั้น แต่ยังจะใช้เรื่องนี้มากรุยเส้นทางอนาคตให้คนที่ปกป้องด้วย
กล่าวอีกนัยคือการที่จะทำเรื่องเช่นนี้เพื่อปกป้องอนาคตของคนบางคนได้ ผู้ที่ลงมือจะต้องมีความเด็ดเดี่ยวแค่ไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คนไปขุดคุ้ยเรื่องของหน่วยข่าวกรองขึ้นมาเพื่อเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของคนที่ต้องการปกป้องแน่ ผู้ใดที่ต้องแบกรับความผิดนี้ก็ต้องแบกรับไปชั่วชีวิต ไม่มีทางปล่อยให้เจ้ามีโอกาสได้พลิกคดีเว้นเสียแต่จะมีกรณีพิเศษ
“ข้าเคยบอกไปแต่แรกแล้วว่าไม่ควรลาออกจากตำแหน่งเสนาบดียุติธรรมง่ายๆ เลย แต่ท่านพ่อกลับไปเชื่อใจคำพูดเหลวไหลของถงมั่วง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะถูกผู้อื่นเล่นงานได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ!” ซ่งเฉวียนสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธเกรี้ยว เพราะสำหรับเขาแล้ว เขาเองก็เดือดร้อนเช่นกัน มีผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบว่าเขาคือบุตรชายของซ่งจิ่วหมิง การต่อสู้ทั้งในทางลับและทางแจ้งเช่นนี้ อีกฝ่ายลงมือต่อท่านพ่ออย่างโหดเหี้ยมแล้ว ไหนเลยจะยังปล่อยให้เขาได้มีโอกาสเติบโตก้าวหน้าเพื่อมาเล่นงานกลับได้อีก
หลิวลู่รีบเอ่ยว่า “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง คุณชายใหญ่โปรดระวังวาจาด้วยขอรับ!”
ซ่งเฉวียนกลับขยับเข้ามาใกล้ กระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไปได้ มิเช่นนั้นทันทีที่ไม้ล้มลิงย่อมแตกรัง!”
ทว่าขณะที่เขาเพิ่งเอ่ยจบ ด้านนอกก็มีคนเดินเข้ามา ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ สีหน้าดูตึงเครียด เป็นซ่งซู
ซ่งเฉวียนและหลิวลู่มองไปที่เขา ซ่งซูเดินเข้ามาหาคนทั้งสอง ยื่นจดหมายในมือให้ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หวังเหิงเพิ่งส่งคนมาหา ยืนกรานที่จะรับตัวบุตรสาวไป นี่คือจดหมายที่หวังเหิงเขียนขึ้นด้วยตัวเอง บอกว่าบุตรสาวอายุยังน้อย ในฐานะบุพการีทนเห็นบุตรสาวต้องครองตัวเป็นหม้ายไปตลอดไม่ได้ หวังว่าตระกูลซ่งจะยอมเขียนหนังสือยินยอมให้บุตรสาวของเขาแต่งงานใหม่ได้!”
ซ่งเฉวียนเปิดจดหมายออกอ่าน เนื้อความในจดหมายเป็นไปตามที่อีกฝ่ายว่ามา แม้นเนื้อหาที่เขียนอยู่ในจดหมายจะบอกว่าหวังให้ตระกูลซ่งเห็นใจกันสักนิด แต่น้ำเสียงที่แฝงเอาไว้กลับไม่เหลือช่องให้ต่อรองอันใดเลย
หลังจากหลิวลู่นำจดหมายไปอ่านดู สีหน้าก็ตึงเครียดเช่นเดียวกับซ่งเฉวียน
หวังเหิงต้องการตัดสัมพันธ์กับตระกูลซ่งในเวลานี้ ดูเหมือนขุนนางคนสนิทของฝ่าบาทผู้นี้คงจะทราบเรื่องบางอย่างมาบ้างแล้ว
หวังเหิงต้องการให้บุตรสาวออกเรือนใหม่ หากอยู่ในสถานการณ์ปกติก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่สำหรับตระกูลซ่งในช่วงเวลานี้ นี่เท่ากับเป็นการเหยียบย่ำซ้ำเติมกันชัดๆ ถ้าพวกคนที่ไม่ประสงค์ดีรู้เข้าจะคิดอย่างไร?
ทว่าตระกูลซ่งก็ไม่กล้าปฏิเสธ หากว่าตระกูลซ่งไม่ยอมตอบตกลง เกิดหวังเหิงโวยวายขึ้นมา นั่นจะยิ่งทำให้ตระกูลซ่งเสียหน้า หวังเหิงก็กำลังคิดเช่นนี้อยู่มิใช่เหรอ?
“ไปสืบดูหน่อย ดูสิว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แล้วก็กำลังปกป้องผู้ใดอยู่กันแน่! ยังมีอีก ลองหาทางดูว่าพอจะสืบได้ไหมว่าสรุปแล้วมันเกิดความผิดพลาดขึ้นกับส่วนใดของหน่วยข่าวกรองกันแน่!” ซ่งเฉวียนที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งกัดฟันกรอด รับรู้ได้ถึงเค้าลางของพายุที่กำลังจะโถมเข้ามาแล้ว
เมื่อซ่งซูได้ยิน ก็ตระหนักได้แล้วเช่นกันว่าเรื่องของหวังเหิงมิได้เรียบง่ายปานนั้น จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น?”
….
อาทิตย์ยามอัสดงช่างงดงาม เพียงแต่ท้องฟ้าใกล้จะมืดลงแล้ว
ณ จังหวัดชิงซาน ในตัวจังหวัด ตะวันรอนอ่อนแสง ซางซูชิงที่สวมหมวกม่านแพรเดินกลับไปกลับมาอยู่บนกำแพงเมือง ทอดตามองออกไปไกลอยู่เป็นระยะๆ
ทางนี้ได้รับข่าวแล้ว ทราบว่าหยวนฟางกลับไปถึงคฤหาสน์อำเภอชางหลูตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ แต่มีหยวนฟางกลับมาเพียงคนเดียว เมื่อหยวนฟางพบความว่างเปล่าในอำเภอชางหลูก็ควบม้าเดินทางมาที่จังหวัดชิงซานต่อทันที คำนวณเวลาดูแล้ว หากเปลี่ยนม้าเร็วตามจุดพักม้าในเขตจังหวัดชิงซาน ตกเย็นก็ควรจะมาถึงแล้ว
ซางซูชิงมารออยู่ที่กำแพงเมืองหนึ่งชั่วยามแล้ว เดินวนไปวนมา มารอรับล่วงหน้า
นางไม่ทราบว่าการที่หยวนฟางกลับมาคนเดียวมันหมายความว่าอย่างไร หนิวโหย่วเต้าเล่า? หรือว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น?
จนปัญญาที่หยวนฟางไม่ได้บอกอะไรพวกทหารไว้เลย ข่าวที่ทางอำเภอชางหลูส่งมาย่อมไม่มีข้อมูลของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน
ห่างออกไปมีฝุ่นควันฟุ้งกระจายขึ้นมา มองเห็นคนผู้หนึ่งเร่งควบม้าเข้ามา ซางซูชิงเพ่งมอง ดวงตาค่อยๆ ฉายแววยินดี ค่อยๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือหยวนฟาง
ม้าเร็วย่อมไม่สามารถวิ่งตรงผ่านเข้าเมืองได้เลย เมื่อมาถึงตรงหน้าประตูเมืองก็หยุดลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเสนาะหูที่คุ้นเคยดังแว่วมาจากบนกำแพงเมือง “เจ้าอาวาสหยวนฟาง!”
หยวนฟางเงยหน้ามอง แย้มยิ้มพลางเอ่ยเรียก “ท่านหญิง!”
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูด เขาผ่านเข้าเมืองไป มุ่งหน้าขึ้นไปบนกำแพงเมืองโดยไร้ซึ่งอุปสรรคกีดขวาง
เมื่อเห็นหยวนฟางในสภาพมอมแมมเปื้อนฝุ่น ซางซูชิงกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท “ลำบากท่านเจ้าอาวาสแล้ว”
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” หยวนฟางยิ้มร่าพลางโบกมือไปมา
ซางซูชิงผายมือเชิญเขาเข้าไปพักในกำแพงเมือง
หลังเข้ามาจิบชาด้านใน ซางซูชิงให้ทหารถอยออกไป กระทั่งหยวนฟางวางถ้วยชาในมือลงแล้ว นางถึงจะเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงมีเจ้าอาวาสกลับมาเพียงคนเดียว เต้าเหยี่ยเล่า?”
หยวนฟางตอบไปอย่างสบายๆ “ท่านอ๋องตัดสัมพันธ์กับเต้าเหยี่ยแล้ว เต้าเหยี่ยไหนเลยจะกลับมาอย่างโจ่งแจ้งได้พ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งว่า “หรือว่าเต้าเหยี่ยก็กลับมาแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้เผยตัว?”
หยวนฟางโบกมือ เอ่ยว่า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ เต้าเหยี่ยยังมีธุระ กำลังจัดการพวกสุนัขชั่วอยู่ ยังไม่สะดวกกลับมา จึงให้อาตมากลับมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“สุนัขชั่ว?” ซางซูชิงถามด้วยความร้อนใจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
หยวนฟางตบเข่าดังฉาด เล่าว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ ตระกูลซ่งส่งยอดฝีมือของสามสำนักมาตามไล่ล่าพวกเรา มิใช่แค่ตระกูลซ่งเท่านั้น แม้แต่ราชสำนักแคว้นเยี่ยนก็ส่งเจ้าหน้าที่จำนวนมากมาไล่ล่าดักสกัดเต้าเหยี่ย ตลอดการเดินทางนี้พวกเราต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่เต้าเหยี่ยปราดเปรื่อง ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไปพบพุทธองค์กันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงได้ฟังพลันอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ร่างกายที่นั่งอยู่โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เรื่องราวเป็นมาอย่างไร?”
ผู้ใดจะทราบว่าหยวนฟางกลับเกาหัวแกรกๆ เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยสั่งไว้ ห้ามเปิดเผยเรื่องราวระหว่างเดินทางต่อผู้ใด มิเช่นนั้นจะเสี่ยงอันตรายยิ่งขึ้น ท่านหญิง อย่าทำให้อาตมาลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“….” ซางซูชิงพูดไม่ออก นางเองก็หาใช่คนเช่นนั้นไม่ ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเล่าไม่ได้ นางก็ไม่บีบบังคับเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การที่หยวนฟางเล่าอย่างครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ กลับทำให้นางร้อนใจยิ่งกว่าเดิม ไหนจะตระกูลซ่งส่งยอดฝีมือสามสำนักไปตามสังหาร ไหนจะราชสำนักแคว้นเยี่ยนก็ส่งเจ้าหน้าที่มากมายไปล้อมสกัดไล่ล่า เพียงแค่ฟังก็ทำให้นางตื่นตระหนกขึ้นมาในใจแล้ว นี่มันอันตรายขนาดไหนกัน!
“ในเมื่ออันตราย เหตุใดเต้าเหยี่ยถึงไม่กลับมา ทำไมถึงให้เจ้าอาวาสกลับมาเพียงคนเดียวเล่า?” ซางซูชิงถามอีกครั้ง
หยวนฟางเอ่ยตอบ “เต้าเหยี่ยบอกว่ารับแล้วไม่คืนถือว่าเสียมารยาท เขากำลังงัดข้อสู้กับพวกนั้นอยู่พ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงอาตมาเองก็ไม่อยากกลับมา แต่ไม่มีทางเลือก อาตมาต้องช่วยส่งข่าวขอกำลังเสริมให้เต้าเหยี่ย”
ซางซูชิงเอ่ยว่า “ต้องการเชิญคนของสำนักหยกสวรรค์ไปช่วยเหลือหรือ?” หากเป็นเช่นนี้จริง นางก็พร้อมจะช่วยขอร้องให้
หยวนฟางโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ ไหนเลยจะนั่งรอให้คนของสำนักหยกสวรรค์ตามไปช่วยได้ เต้าเหยี่ยส่งคนไปติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนของหกแคว้นแล้ว อาตมารับผิดชอบเรื่องทางฝั่งแคว้นจ้าว อาตมาทำภารกิจเสร็จเรียบร้อย แต่ตอนนี้ก็ยากจะติดต่อเต้าเหยี่ยได้เช่นกัน จึงกลับมาก่อนตามคำสั่งของเต้าเหยี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงผงะไปเล็กน้อย คนของหกแคว้น? ท่านรับผิดชอบทางแคว้นจ้าวอย่างนั้นหรือ?
เอะอะก็เอ่ยถึงแว่นแคว้น ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาหยวนฟางทำงานใหญ่ขนาดไหนมา แล้วก็ไม่รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังจัดการเรื่องใหญ่ขนาดไหนอยู่
“ท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าพระในวัดของอาตมาก็ย้ายมาด้วย อาตมาต้องการตรวจสอบกิจวินัยของพวกเขาสักหน่อยว่าแอบเกียจคร้านช่วงที่อาตมาไม่อยู่หรือไม่!” หยวนฟางยกถ้วยชาขึ้นมาเทกรอกปาก ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก ลุกขึ้นเดินออกไป
ซางซูชิงที่ลุกขึ้นตามรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างมาก พูดจาไม่ชัดเจนเช่นนี้ชวนให้คนร้อนใจจริงๆ
แต่เมื่อดูจากท่าทีที่ดูผ่อนคลายของหยวนฟางแล้ว คล้ายว่าหนิวโหย่วเต้าจะยังรับมือได้อยู่ นางจึงเบาใจลงเล็กน้อย
……………………………………………………….