ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 161 ชีวิตดั่งละคร
ตอนที่ 161 ชีวิตดั่งละคร
หากว่า ‘สามี’ คนนั้นคือเต้าเหยี่ยจริงๆ ล่ะก็ จะให้เต้าเหยี่ยทนรับไหวได้อย่างไร?
เฮยหมู่ตานเองก็เป็นสตรี ต่อให้อยู่ในมุมมองของฝ่ายสตรี หากว่าบุรุษคนไหนมาทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมายในที่สาธารณะ สตรีคนไหนจะรับไหว?
ทั้งสี่ทราบถึงสถานะตัวตนของหนิวโหย่วเต้า วาจานี้ของหนิวโหย่วเต้า ฟังอย่างไรก็คล้ายเป็นคำถากถางเสียดสี จึงตระหนักได้ว่าข่าวลือดูเหมือนจะเป็นความจริง!
ถังอี๋มองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้าสงบราบเรียบพลางเอ่ยถามว่า “คุณชายใหญ่ ท่านนี้คือ?”
เซ่าผิงปอแนะนำให้เล็กน้อย “จางซาน! ทูตส่งสารที่เดินทางมาจากแคว้นจ้าว ลูกน้องใต้บัญชาของใต้เท้าจูเก่อสวิน!”
ลูกน้องของราชทูตจูเก่อสวินแห่งแคว้นหานอย่างนั้นหรือ? ถังอี๋ไม่ทราบว่าเขากลายเป็นลูกน้องจูเก่อสวินได้อย่างไร แต่รู้ดีว่าชื่อนี้เป็นชื่อปลอมแน่นอน นางประสานมือคำนับ ไม่เอ่ยอันใด
หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับกลับ ไม่เอ่ยอันใดเช่นกัน กวาดตามองซูพั่วและถังซู่ซู่ เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้ล้วนไม่กล้าเปิดโปงตัวตนของเขา เขาก็วางใจ
“ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากเหลาสุรา” เซ่าผิงปอยกมือชี้ไปทางเหลาสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ สั่งการลงไป
สายตาของหนิวโหย่วเต้ากวาดมองไปอย่างรวดเร็ว พิจารณาสภาพที่ตั้งของเหลาสุรา ครึ่งหนึ่งตั้งอยู่บนฝั่ง อีกครึ่งยื่นลงไปในแม่น้ำ ฝั่งที่ยื่นลงไปแม่น้ำยังมีระเบียงยื่นออกไปให้ชมทิวทัศน์แม่น้ำด้วย ดูมีระดับทีเดียว
ไม่นานนัก แขกเหรื่อในเหลาสุราล้วนถูกไล่ออกมา คนทั้งหมดบนท่าเรือย้ายไปที่เหลาสุรา คนที่มีสิทธิ์เข้าไปในเหลาสุรามีไม่มากนัก แน่นอนว่าพ่อครัวย่อมมีสิทธิ์นั้นด้วย
เซ่าผิงปอและถังอี๋เดินเคียงไหล่เข้าไปในเหลาสุรา ตรงไปยังระเบียงชมทิวทัศน์ที่อยู่ด้านหลัง เป็นภาพที่ดูงดงามทีเดียว
หนิวโหย่วเต้าที่ตามเข้ามาหลังจากนั้นสังเกตสภาพแวดล้อมภายในเหลาสุราอย่างรวดเร็ว ถูกนำทางตรงไปยังห้องครัว เซ่าผิงปอพาเขามาเป็นพ่อครัวจริงๆ ด้วย
ห้องครัวของเหลาสุรากว้างขวาง คนงานประจำห้องครัวห้าหกคนมองดูพวกเขา พ่อครัวหน้ากลมหูกางก้าวเข้ามาประสานมือ เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าสหายท่านนี้เป็นพ่อครัวจากร้านไหนหรือ?”
จู่ๆ ก็มาแจ้งพวกเขาว่าเชิญยอดพ่อครัวมา ให้พวกเขาคอยเป็นลูกมือช่วยเหลือ เขาเองก็นับเป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงนี้ ภายในใจไม่ค่อยสบอารมณ์ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหาเรื่อง
แม่งเอ้ย คิดว่าข้าเป็นพ่อครัวจริงๆ อย่างนั้นหรือ! หนิวโหย่วเต้าบ่นในใจ เขาเองก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน วุ่นวายเพราะถังอี๋จนได้ เรื่องที่บังเอิญเจอหน้ากันก็แล้วไปเถอะ แต่สุดท้ายต้องกลายมาเป็นพ่อครัว ต้องมองดูเซ่าผิงปอกับถังอี๋หัวร่อต่อกระซิก ซ้ำอีกประเดี๋ยวเขายังต้องประเคนอาหารเลิศรสให้สุนัขชายหญิงคู่นี้อีก แล้วจะให้เขาทนไหวได้อย่างไร
ชิ้ง! หนิวโหย่วเต้าพลันชักกระบี่ออกมาครึ่งหนึ่ง ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง
“…..” พ่อครัวผงะไปเล็กน้อย จากนั้นรีบหดหัวทันที พาลูกมือเดินคอตกออกไป
กระบี่กลับเข้าฝัก หนิวโหย่วเต้าหันมาเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ตามเข้ามาเฝ้า “ห้องครัวเป็นพื้นที่หวงห้าม รบกวนถอยออกไปด้วย”
คนผู้นั้นเอ่ยถาม “ห้องครัวกลายเป็นพื้นที่หวงห้ามตั้งแต่เมื่อไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ทักษะการทำอาหารของเราไม่เผยแพร่ต่อภายนอก ถ้าไม่เคารพกฎก็ไม่ต้องกิน”
“…..” ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นก็ไม่พูดอะไรมากเช่นกัน ค่อยๆ หันหลังเดินออกไป
“ช้าก่อน!” หนิวโหย่วเต้าเรียกเขาไว้อีกครั้ง “เอาอุปกรณ์เครื่องเขียนมาให้ด้วย”
ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นชะงักเท้าหันกลับมา “ทำอาหารจะเอาอุปกรณ์เครื่องเขียนมาทำไม?”
หนิวโหย่วเต้าชี้ไปรอบๆ ห้องครัว “ห้องครัวนี้ขาดวัตถุดิบที่ข้าต้องการ ข้าจะเขียนรายการให้ แล้วพวกเจ้าก็ไปซื้อมา”
ผู้บำเพ็ญเพียรเดินออกไป หนิวโหย่วเต้าเดินรอบห้องครัว สังเกตดูจนทั่ว
ไม่นานผู้บำเพ็ญเพียรก็กลับมา แน่นอนว่านำอุปกรณ์เครื่องเขียนมาด้วย
หลังจากฝนหมึกแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เขียนรายการของหลายสิบอย่าง สะบัดกระดาษเล็กน้อย ยื่นส่งให้ “ไปซื้อมา!”
ผู้บำเพ็ญเพียรรับไปอ่านเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป
พวกเฮยหมู่ตานส่งสายตาให้กัน ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะทำอันใด ต้องใช้เครื่องปรุงมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ?
“อย่ามองสิ่งที่ไม่ควรมอง” หนิวโหย่วเต้าหันมองรอบข้าง ให้พวกเฮยหมู่ตานถอยออกไปหน่อย ก่อนจะยกพู่กันเขียนบางสิ่งอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จากนั้นวางพู่กันลง เป่ากระดาษให้แห้ง พับทบเก็บไว้
บนระเบียงชมทิวทัศน์ ผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งออกมาจากห้องครัวผู้นั้นนำเอาใบรายการใบนั้นมายื่นส่งให้เซ่าผิงปอ เอ่ยว่า “ล้วนเป็นสมุนไพรทั้งสิ้นขอรับ”
ถังอี๋ที่อยู่ข้างๆ นิ่งเงียบ ตั้งใจฟัง
หลังกวาดตามองดูรายชื่อวัตถุดิบบนรายการแล้ว เซ่าผิงปอเอ่ยถามว่า “อาหารที่กินก่อนหน้านี้ก็คล้ายว่าจะมีสมุนไพรอยู่ด้วยกระมัง?”
ผู้บำเพ็ญเพียรเอ่ยตอบ “มีขอรับ เท่าที่ข้าเห็น ดูเหมือนจะมีของจำพวกขิงกับกระเทียมอยู่ด้วย”
เซ่าผิงปอยื่นรายการคืนให้ เอ่ยว่า “จัดซื้อตามที่ระบุไว้ในรายการ”
ภายในห้องครัว มีคนที่ไม่สมควรเดินเข้ามาผู้หนึ่งเดินเข้ามา ถังซู่ซู่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เต้าเหยี่ย!” เฮยหมู่ตานร้องเตือน
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเหลียวมองผู้มาเยือน ค่อยๆ หันกลับมา ยันกระบี่ไว้เบื้องหน้า มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม ดูแล้วคล้ายกำลังเย้ยหยันมากกว่า
ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน ถังซู่ซู่เอ่ยถามเสียงขรึม “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าจะไปที่ไหนก็ได้ เกี่ยวอะไรกับท่าน?”
ถังซู่ซู่กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “ท่านเองก็คิดจะสังหารข้ามาหลายครั้งแล้วมิใช่หรือ แล้วมีครั้งไหนที่ทำสำเร็จบ้างเล่า? ครั้งนี้ท่านก็สังหารข้าไม่ได้เช่นกัน!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีคล้ายจะระเบิดโทสะออกมา เขาจึงเอ่ยต่อว่า “ทำไม? คิดจะลงมือหรือ? ท่านน่าจะรู้ดีว่าตงกัวเฮ่าหรานทิ้งสิ่งใดไว้บนตัวข้า ต่อให้ท่านลงมือก็ทำอะไรข้าไม่ได้ หากเกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นมา เซ่าผิงปอมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อจะปกป้องตัวเองแล้ว ข้าคงทำได้เพียงเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์กับถังอี๋ออกไป ข้าเองก็อยากเห็นนักว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมียางอายอยู่หรือไม่!”
ถังซู่ซู่ค่อยๆ เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา
“ท่านวางใจเถอะ ถึงพวกท่านจะไร้ยางอาย แต่ข้ายังมียางอายอยู่!” หนิวโหย่วเต้าเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ออกมา จากนั้นยื่นส่งให้อีกฝ่าย “นับจากนี้แยกย้ายกันไป ทางใครทางมัน ข้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกต่อไป หากยังมาตอแยกันอีก ข้าจะกำจัดสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้เลือนหายไปจากโลกบำเพ็ญเพียร ข้าพูดจริงทำจริง!”
ถังซู่ซู่รับกระดาษไป เปิดอ่านแวบหนึ่ง ตะลึงงัน สายตาที่เงยขึ้นมามองหนิวโหย่วเต้ามีความซับซ้อนเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ได้! ขอเพียงเจ้ารักษาคำพูด นับจากนี้ไปสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่ยุ่งเกี่ยวอันใดกับเจ้าอีกแน่นอน!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวตอบ “ข้าไม่ผิดคำพูดแน่นอน!”
ถังซู่ซู่สะบัดหน้าเดินจากไป หนิวโหย่วเต้าหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
พวกเฮยหมู่ตานมองหน้ากันเหลอหลา แต่ละคนลอบรู้สึกตกใจและสงสัย หรือว่าเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนนั้นจะเป็นภรรยาของเต้าเหยี่ยจริงๆ?
“เต้าเหยี่ย!” จู่ๆ เฮยหมู่ตานก็ร้องเรียกอีกครั้ง
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมอง รู้สึกพูดไม่ออก มองเห็นซูพั่วเดินเข้ามา
ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สิ่งที่ควรพูดข้าพูดกับถังซู่ซู่ไปชัดเจนแล้ว”
ใบหน้าของซูพั่วเต็มไปด้วยสีหน้าที่ดูซับซ้อน เมื่อครู่ถังซู่ซู่บอกเขาแล้ว มอบบางสิ่งให้เขาอ่านแล้วเช่นกัน เขามองพวกเฮยหมู่ตานที่อยู่รอบๆ เอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าว่า “ขอคุยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของข้า”
ซูพั่วถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ความจริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย เพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว เจ้าสำนักลำบากเป็นอย่างมาก สตรีตัวคนเดียวอย่างนางปกครองได้ลำบากจริงๆ เซ่าผิงปอมีอิทธิพลต่อเซ่าเติงอวิ๋นยิ่งนัก เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องแสร้งโอนอ่อนคล้อยตาม บางเรื่องก็มิได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็น เจ้าสำนักและเซ่าผิงปอคนนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่น่าอับอายระหว่างกันแต่อย่างใด เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป”
หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย คำพูดอื่นน่ะไม่มีอะไร กลับเป็นคำพูดที่ว่า ‘เซ่าผิงปอมีอิทธิพลต่อเซ่าเติงอวิ๋นยิ่งนัก’ ที่สะกิดใจเขาขึ้นมาทันที เมื่อรวมเข้ากับข้อสันนิษฐานบางอย่างที่มีต่อเซ่าผิงปอก่อนหน้านี้ เขาจึงลอบรู้สึกตกใจ
ซูพั่วเอ่ยต่อไปว่า “เจ้าอาจจะไม่ทราบ แต่เจ้าสำนักยอมรับต่อภายนอกไปนานแล้วว่าเป็นภรรยาของเจ้า อีกทั้งเจ้าสำนักก็เคยพูดคุยกับผู้อาวุโสอย่างพวกเราแล้ว บอกว่าหลังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งหลักมั่นคงจะไปตามเจ้ากลับมา เจ้าสำนักยังกล่าวด้วยว่า เอาไว้นางช่วยปูทางให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว นางจะคืนตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้า! ตอนนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ผ่านพ้นวิกฤตแล้ว ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อเจ้าเช่นในอดีตอีก เรื่องราวในอดีตนับว่าสำนักผิดต่อเจ้า เดี๋ยวเรื่องในปัจจุบันพวกเรามาคิดหาทางจัดการกัน เจ้ากลับมาเถอะ!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “เรื่องที่ควรพูด ข้าได้พูดไปชัดเจนแล้ว!”
ซูพั่วกล่าวว่า “ถึงเจ้าไม่เห็นแก่หน้าของพวกเรา ก็ควรเห็นแก่หน้าอาจารย์ของเจ้าหรือเปล่า?”
หนิวโหย่วเต้าตอบโต้ “ก็เพราะเห็นแก่หน้าเขา ข้าถึงได้ยอมอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งข้าไม่ได้ติดค้างอันใดต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ผู้อาวุโสซู ทุกอย่างล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ต่างคนต่างไปเถอะ”
ซูพั่วยังคิดจะพูดต่อ หนิวโหย่วเต้ายกมือห้าม
ซูพั่วถอนใจ เอ่ยถาม “เว่ยตัวเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่รู้จัก ผู้อาวุโสซู อย่ามารบกวนการทำงานของข้าเลย” เขาโบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย
พวกเฮยหมู่ตานเดินเข้ามา เชิญซูพั่วออกไป
นอกเหลาสุรา มีขบวนม้าควบเข้ามา นายทหารในชุดเกราะหลายคนกระโดดลงจากหลังม้า ก้าวอาดๆ ตรงเข้ามาหาเซ่าผิงปอที่อยู่บนระเบียงชมทิวทัศน์
ถังอี๋เห็นเช่นนี้จึงถือโอกาสปลีกตัวออกมาจากระเบียงชมทิวทัศน์
ขณะที่เพิ่งกลับเข้ามาในเหลาสุรา ถังซู่ซู่ที่ยืนคอยอยู่ก็เชิญนางไปคุยกันด้านข้าง ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้นาง กระซิบแผ่วเบาว่า “เจ้าสำนัก ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว”
ถังอี๋เปิดกระดาษอ่าน กัดริมฝีปากพร้อมขบกรามแน่นทันที จ้องมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ท่านบังคับเขาหรือ?”
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมิได้เป็นหนึ่งแข็งหนึ่งอ่อนอย่างเช่นในอดีตแล้ว หลังจากถังซู่ซู่ถูกริบอำนาจ นางก็ไม่เคยได้อำนาจกลับคืนมาอีกเลย หลังผ่านมรสุมบางอย่างมาแล้ว ถังอี๋ก็มิใช่ถังอี๋ที่หัวอ่อนว่าง่ายคนนั้นอีกต่อไปเช่นกัน หากแต่รวบอำนาจของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไว้ในมือตน แข็งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง!
แต่ในอีกแง่หนึ่งแล้ว นี่ก็เป็นสิ่งที่ถังซู่ซู่อยากจะเห็นเช่นกัน
ถังซู่ซู่ก้มหน้าหลุบตาพลางเอ่ยว่า “เจ้าสำนักปรักปรำข้าเสียแล้ว ทันทีที่พบหน้ากันเขาก็มอบให้ข้า เห็นได้ชัดว่าเขียนเตรียมไว้ก่อนแล้ว หากเจ้าสำนักไม่เชื่อ ท่านก็ถามเขาดูได้”
“เขาอยู่ไหน?” ถังอี๋เอ่ยถาม
ถังซู่ซู่ค้อมกายตอบกลับว่า “ห้องครัว!”
ถังอี๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินตรงไปยังห้องครัว
มีคนเข้ามาในห้องครัวไม่หยุด หนิวโหย่วเต้าจึงให้คนปิดประตูห้องครัวเสีย ทั้งสี่คนกำลังทำทีเป็นล้างผักอยู่ในห้องครัว
พวกเฮยหมู่ตานรู้สึกว่าผิดปกติ สิ่งที่ทุกคนกำลังทำอยู่มันเกี่ยวข้องกับหมูตุ๋นน้ำแดงหรือ?
ทันทีที่หนิวโหย่วเต้าแสดงพฤติกรรมที่ชวนให้คนสับสนไม่เข้าใจออกมา พวกเขาที่พอจะรู้จักนิสัยหนิวโหย่วเต้าอยู่บ้างแล้วจึงรับรู้ได้รางๆ ว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้น
ถังอี๋เปิดประตูเดินเข้ามา พวกหนิวโหย่วเต้าเหลียวกลับไปมอง
นางมองดูหนิวโหย่วเต้าที่ถือมีดหั่นเนื้ออยู่ ทั้งสองสบตากัน ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาในหัวของถังอี๋ภาพแล้วภาพเล่า เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ส่งตัวเข้าห้องหอ ใต้ต้นดอกท้อที่เบ่งบานราวแสงอาทิตย์ยามอัสดง!
ทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าซางเฉาจงจะปักหลักได้รวดเร็วเพียงนี้ ทางนี้ได้รับข่าวมาแล้ว ทราบว่าซางเฉาจงยึดจังหวัดชิงซานได้แล้ว
แล้วก็ย่อมทราบเช่นกันว่าหลังจากหนิวโหย่วเต้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนก็ได้ถูกซางเฉางจงตัดสัมพันธ์ ถังอี๋ไม่เคยนึกฝันเลยว่าเด็กหนุ่มเฉื่อยชาเกียจคร้านใต้ต้นท้อคนนั้นจะทำเรื่องที่ทั่วหล้าต้องตะลึงเช่นนั้นออกมาได้ แรงกดดันที่ตามมาหลังจากนั้นจะมากมายขนาดไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว แคว้นเยี่ยนไหนเลยจะยอมปล่อยเขาไปได้!
เกรงว่าสาเหตุที่ปกปิดชื่อแซ่ก็คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถังอี๋ไม่รู้เลยว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง แต่เมื่อเห็นเขากำลังจับมีดหั่นเนื้อเหมือนพ่อครัว ภายในใจจึงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
นางค่อยๆ ก้าวเดินไปหยุดตรงหน้าเขา เอ่ยถามเสียงเบาว่า “หลังลงเขาไปแล้ว สบายดีหรือเปล่า?”
พวกเฮยหมู่ตานแอบมองทั้งสองอย่างเงียบๆ รู้สึกเหมือนได้ชมละครฉากแล้วฉากเล่า ช่างยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน!
“เป็นเพราะบารมีของเจ้าสำนักถัง ข้าสบายดี!” หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อยพลางวางมีดลง นิ้วมือมันย่องชี้อาภรณ์ที่นางสวมอยู่ “นี่คือสถานที่สำหรับคนต่ำต้อยอย่างพวกเรา คงไม่เหมาะให้เจ้าสำนักถังมาเยือน โปรดกลับไปคอยสักครู่ ประเดี๋ยวทำอาหารเสร็จจะรีบนำไปส่งให้ท่านกับใต้เท้าเซ่า”
……………………………………………….