ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 163 วางเพลิงเหลาสุรา
ตอนที่ 163 วางเพลิงเหลาสุรา
ทั้งสี่เข้าใจแล้ว ก็คือจะฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่คิดว่าพวกเขาจะหลบหนีออกไปเช่นนี้หลบหนีออกไป
เพียงแต่ทั้งสี่ไม่เข้าใจ ยังไม่ทันได้คลุกคลีอะไรกับเซ่าผิงปอ เหตุใดเต้าเหยี่ยถึงคิดว่าเซ่าผิงปอผู้นั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง?
หนิวโหย่วเต้าไม่พูดอะไรกับพวกเขาอีก เดินไปที่ข้างโต๊ะหั่นผักตัวยาว โน้มตัวลงไปจับมือจับที่อยู่บนพื้นกระดาน ดึงไม้กระดาษแผ่นหนึ่งให้เปิดออก มองเห็นแม่น้ำที่อยู่ด้านล่าง
ห้องครัวนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ครึ่งหนึ่งอยู่บนฝั่ง อีกครึ่งยื่นลงไปในน้ำเหมือนอย่างเหลาสุรา
และสาเหตุที่ห้องครัวทำช่องแบบนี้ขึ้นมา ก็เพื่อจะใช้เป็นจุดทิ้งเศษสกปรก หลังจากห้องครัวทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ขยะจะถูกทิ้งลงในแม่น้ำผ่านช่องทางนี้
ความจริงขยะในแต่ละวันของทั้งเหลาสุราจะถูกทิ้งลงไปในแม่น้ำสายนี้ ทันทีที่เข้ามาในห้องครัวหนิวโหย่วเต้าก็กวาดตามองทันที คอยมองหาจุดทิ้งเศษขยะอันนี้ตั้งแต่เริ่ม หากไม่มีความคิดเช่นนั้นก็คงไม่ทันสังเกตเห็นแผ่นไม้ที่ดูคล้ายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นไม้แผ่นนี้
“รีบไป! พยายามอย่าให้เกิดเสียง” หนิวโหย่วเต้าที่เปิดแผ่นไม้ออกเอ่ยเร่ง
พวกเฮยหมู่ตานกระโดดลงไปทีละคน ทิ้งตัวลงสู่สายน้ำอย่างแผ่วเบา หายลับไปในสายน้ำ
หนิวโหย่วเต้าปิดแผ่นไม้ลงไป รีบเดินไปที่ประตูห้องครัว คอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวทางด้านนอกอยู่หลังบานประตูครู่หนึ่ง ที่เขาให้พวกเฮยหมู่ตานหนีไปก่อน ก็เพราะต้องการหยั่งเชิงดูเล็กน้อย หากพวกเฮยหมู่ตานถูกพบตัวเข้า แต่เขายังอยู่ในห้องครัว เช่นนั้นเขาก็ยังพอหาข้ออ้างมาชี้แจงได้
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวครึกโครมอันใด เขาก็รีบไปที่มุมห้องอีกครั้ง เปิดฝาของถังไม้ใบหนึ่งขึ้นมา
ในถังไม้เต็มไปด้วยน้ำมันก๊าดที่ใช้จุดไฟของห้องครัว เขาหิ้วถังไม้ขึ้นมา หากระบวยตักน้ำมาอันหนึ่ง ตักน้ำมันก๊าดสาดใส่ผนังห้องครัว
เชือกป่านเส้นหนึ่งที่อยู่ในห้องครัวถูกเขาเอาไปจุ่มในน้ำมันก๊าด ก่อนจะสะบัดเชือกโยนออกไป ลากปลายด้านหนึ่งไปไว้ตรงช่องทิ้งเศษขยะ ใช้ตะบันไฟจุดที่ปลายด้านนั้น ยกแผ่นไม้ที่ปิดช่องทิ้งขยะขึ้น จากนั้นกระโดดลงไป หายไปในสายน้ำที่อยู่ด้านล่างอย่างเงียบๆ
ส่วนเชือกชุบน้ำมันก๊าดเส้นนั้นก็ลุกไหม้ขึ้นมา เปลวไฟไหม้ลามตามเส้นเชือกไปยังมุมผนัง จากนั้นลุกไหม้ขึ้นไปบนมุมผนัง ลามเลียไปตามผนังไม้ที่ถูกสาดน้ำมันก๊าดไว้ กระจายตัวไปทั่วผนังทั้งสี่ด้าน
ถึงอย่างไรถังอี๋ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา เซ่าผิงปอคิดจะให้เขาทำอาหารให้พวกเขาสองคนกินอย่างนั้นหรือ? เขาไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น!
แต่แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นเช่นกัน จุดไฟทำอาหารไม่ได้ แต่จุดไฟเผาเหลาสุราให้พวกเจ้าได้อยู่ ดูสิว่าพวกเจ้าจะเสพสุขกันต่อไปได้หรือไม่
ในตอนแรก คนด้านนอกได้กลิ่นเหม็นไหม้ ยังหลงนึกว่าเป็นกลิ่นควันไฟจากในห้องครัว ต่อมาสังเกตได้ถึงความผิดปกติ มีควันจำนวนมากพวยพุ่งออกมาด้านนอก ควันไฟบางส่วนลอยเข้ามาในเหลาสุราด้วย
มีคนวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นทันที ผลคือมองเห็นเปลวไฟลุกลามออกมาด้านนอก
ประตูห้องครัวถูกถีบจนเปิดออก จู่ๆ ก็มีลมพัดเข้าไปในห้องครัวอย่างกะทันหัน เปลวเพลิงจึงลุกโหมออกมาด้านนอกทันที ทำเอาผู้บำเพ็ญเพียรตกใจ รีบกระโดดถอยกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก คนที่อยู่นอกเหลาสุราก็สังเกตเห็นเพลิงไหม้เช่นเดียวกัน
“ไฟไหม้! ไฟไหม้!”
มีบางคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา เถ้าแก่เหลาสุราตะโกนโวยวายเสียงดังยิ่งกว่า เหลาสุราทั้งหลังล้วนสร้างขึ้นมาจากไม้ เนื่องจากสร้างเอาไว้ริมแม่น้ำ จึงมีการทาน้ำมันไม้เคลือบทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันความชื้น เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้นเช่นนี้ก็เท่ากับจบเห่แล้ว!
เซ่าผิงปอที่กำลังหารือเรื่องงานกับนายทหารหลายคนบนระเบียงชมทิวทัศน์ก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน มีควันหนาทึบพวยพุ่งออกมาจากด้านหนึ่งของเหลาสุรา เพลิงโหมลุกลามออกมาด้านนอก
ควันไฟลอยมาตามลม ทำให้ทางนี้มีเสียงไอดังขึ้นมาไม่หยุด
ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งทะยานเข้ามา “คุณชายใหญ่ เหลาสุราแห่งนี้ไม่ปลอดภัย โปรดออกไปจากที่นี่เถอะขอรับ!”
เซ่าผิงปอตะคอกถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้บำเพ็ญเพียรตอบ “ไฟไหม้ห้องครัวขอรับ”
“นั่นคือห้องครัวหรือ?” เซ่าผิงปอผงะไปเล็กน้อย
เดิมทีแม่น้ำก็เป็นจุดที่มีลมพัดไปมาอยู่แล้ว เมื่อเปลวไฟที่ลุกลามออกมาด้านนอกได้แรงลมส่งเสริม มันก็ยิ่งลุกโชนอย่างรุนแรง ควันหนาทึบพวยพุ่งมาทางด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
ผู้บำเพ็ญเพียรกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ เปลวเพลิงยากจะควบคุมได้ ที่นี่อันตราย โปรดออกไปจากที่นี่เถอะขอรับ”
เซ่าผิงปอกำมือป้องปากพร้อมไอออกมา เขาโบกแขนเสื้อปัดควัน เดินอาดๆ กลับเข้าไปในเหลาสุรา
ควันไฟหนาทึบภายในเหลาสุรายิ่งทำให้ยากจะลืมตาได้ ผู้บำเพ็ญเพียรจับแขนเขาไว้พร้อมนำทางเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนที่สำลักควันต่างมุ่งขึ้นไปยังต้นลมถึงจะหลบเลี่ยงควันหนาทึบได้ เมื่อหันมองกลับไปอีกครั้ง เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครู่เดียว ทว่าควันหนาทึบได้ปกคลุมทั่วทั้งเหลาสุรา เปลวเพลิงลุกลามเผาไหม้ไปเกือบครึ่งของเหลาสุรา
เซ่าผิงปอที่อาการสำลักควันทุเลาลงแล้วรู้สึกหายใจได้คล่องขึ้น เขามองไปรอบๆ พร้อมเอ่ยถาม “พวกจางซานที่อยู่ในครัวล่ะ?”
มีผู้บำเพ็ญเพียรตอบว่า “คุณชายใหญ่ ดีร้ายอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร เพลิงนี้ทำอันตรายพวกเขาไม่ได้หรอกขอรับ อีกทั้งต้นเพลิงนี้ก็มาจากทางห้องครัว ตามหลักแล้วทันทีที่เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นมา พวกเขาน่าจะดับไฟได้ทันท่วงที ไม่น่าจะปล่อยให้เพลิงลุกลามใหญ่โตถึงขนาดได้ ตามความเห็นของข้า เพลิงไหม้ครั้งนี้อาจจะเป็นฝีมือของพวกเขาก็ได้ขอรับ”
เซ่าผิงปอจ้องมองไปทางห้องครัวที่ลุกไหม้ทันที แววตาพลันวาวโรจน์ขึ้นมาจนน่าตกใจ เผยให้เห็นถึงความดุดันเย็นชา ชำเลืองมองพวกถังอี๋ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ดวงตาที่หันมองไปทางเหลาสุราที่ลุกไหม้อีกครั้งหรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “น่าจะหนีไปทางแม่น้ำแล้ว ไปหาตัวมาซะ!”
บนฝั่งมีไพร่พลคอยเฝ้าไว้ ไม่มีทางหนีขึ้นมาได้ ถ้าหนีออกมาก็ต้องมีคนเห็น
พอได้ยินว่าเพลิงไหม้นี้อาจจะเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้า พวกถังอี๋พากันมึนงง หลังจากได้ยินคำสั่งของเซ่าผิงปอ ถังอี๋พลันกระจ่างขึ้นมาในทันที เข้าใจแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าชี้ป่าฝั่งตรงข้ามให้นางดูทำไม คนผู้นั้นเตรียมจะวางเพลิงเผาเหลาสุราแต่แรกแล้ว แต่กังวลใจว่าจะหนีไม่รอด จึงต้องการให้ทางนี้ช่วยกลบเกลื่อนอำพราง
“ขอรับ!” บรรดาลูกน้องรับคำสั่ง
ถังอี๋กวักมือ นำถังซู่ซู่และซูพั่วพุ่งทะยานไปยังทิศทางหนึ่ง เหินโฉบไปบนผิวน้ำ รับผิดชอบออกค้นหาในทิศทางหนึ่ง
พวกเขาเลือกทิศทางนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะแห่กันมาในทิศทางนี้ด้วย คนอื่นๆ ย่อมต้องมุ่งหน้าไปค้นหาในทิศทางอื่น
เมื่อเห็นถังอี๋ออกโรงด้วยตัวเอง เซ่าผิงปอกวาดมองด้วยสายตาเย็นชา สองแขนสะบัดผ้าคลุมที่อยู่ด้านหลัง สองมือไพล่หลังพร้อมจ้องมองทิศทางที่ถังอี๋มุ่งหน้าไป แววตาวูบไหวเล็กน้อย จู่ๆ พลันหันไปหาผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่อยู่ข้างกาย ส่งสายตาไปทางพวกฉินอี๋ “พวกเจ้าสองคนตามนางไป ทันทีที่พบพวกจางซาน ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ สังหารทิ้งให้หมด!”
ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเอ่ยถาม “คุณชายใหญ่ นั่นคือคนของใต้เท้าจูเก่อ สังหารทิ้งคงไม่เหมาะหรือเปล่าขอรับ?”
เซ่าผิงปอมองไปทางเหลาสุราที่ลุกไหม้ด้วยสายตาเย็นชา ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากพวกจางซานทำอาหารเสร็จ เขาก็จะปล่อยพวกจางซานไป ทว่าเขาพบเห็นแล้วว่าพวกถังอี๋มีท่าทีผิดปกติไปในตอนที่เจอพวกจางซาน ไหนเลยยังจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ ได้อีก เขาย่อมคิดจะสืบให้กระจ่างว่าพวกจางซานมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกถังอี๋กันแน่ จากนั้นค่อยว่ากัน
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าอีกฝ่ายจะวางเพลิงเหลาสุราเพื่อหลบหนี ทั้งๆ ที่ตกลงกันไว้แล้วว่าทำอาหารเสร็จแล้วจะปล่อยพวกเขาไป เหตุใดต้องเสี่ยงหลบหนีด้วย? สาเหตุมีเพียงข้อเดียว นั่นคือกังวลว่าจะหนีไม่ได้ ถึงได้ต้องหนี!
ตนมิได้กระโตกกระตากเลย แล้วก็มิได้ทำอันใดทั้งสิ้น ทว่ากลับมีคนมองเจตนาของตนออก!
หลังได้พบปะพวกถังอี๋มาหลายครั้ง พวกนางมีความสามารถเป็นอย่างไรเขาย่อมต้องทราบดี ผู้ที่มองเจตนาของตนออกน่าจะมิใช่พวกถังอี๋ หากแต่เป็นพวกจางซาน ส่วนจะเป็นคนไหนในกลุ่มนี้ ตอนนี้เขายังไม่อาจมั่นใจได้
แต่ว่าการที่มีคนมองเจตนาของเขาออกเช่นนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้ น้อยครั้งนักที่เขาจะมีความรู้สึกเช่นนี้ เขาเอ่ยยืนยันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หากเกิดเรื่องข้ารับผิดชอบเอง สังหารซะ!”
“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองทั้งสองเหินฝ่าอากาศออกไป โฉบทะยานเหยียบคลื่น ไล่ตามไปในทิศทางที่ถังอี๋มุ่งหน้าไป
ยามนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ แสงอาทิตย์ยามอัสดงตรงริมขอบฟ้าดูคล้ายเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ทว่าเหลาสุราที่อยู่ริมแม่น้ำกลับอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างแท้จริง
ริมแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลจากกองเพลิงที่กำลังลุกโหม เซ่าผิงปอที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงยืนไพล่มือไว้ด้านหลัง แววตาคล้ายกำลังตรึกตรองครุ่นคิด
“คุณชายใหญ่ เหลาสุราของข้า! คุณชายใหญ่ขอรับ นั่นคือทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวข้านะขอรับ! ทั้งตระกูลของข้าล้วนหวังพึ่งพามันหาเลี้ยงชีพนะขอรับ!”
เถ้าแก่เหลาสุราวิ่งเข้ามา คุกเข่าคร่ำครวญอยู่ด้านข้าง เป็นทรัพย์สินของครอบครัวเขานั้นมิผิด ทว่ากลับไม่อาจถือเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวได้ ที่เขาคร่ำครวญบีบน้ำตา ก็เพียงเพราะหวังว่าคุณชายใหญ่ท่านนี้จะช่วยมอบค่าชดเชยให้ก็เท่านั้น
เซ่าผิงปอที่ถูกรบกวนความคิดเหลือบมองเถ้าแก่ที่คุกเข่าอยู่ด้วยสายตาเฉยชา เขาวาดมือออกไปด้านข้าง คว้ากระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนายทหารที่ยืนอยู่ข้างกาย ชักออกมาดังชิ้ง!
ฉึก! เถ้าแก่เหลาสุราเบิกตากว้าง แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ สองมือกุมอยู่ตรงทรวงอก จับกระบี่ที่แทงทะลุหัวใจ ริมฝีปากสั่นระริกมองดูเซ่าผิงปอที่เหลือบมองลงมาด้วยความเย็นชา
กระบี่เปื้อนโลหิต เซ่าผิงปอชักกระบี่ออกมาแล้วโยนไปด้านข้าง สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกไป
นายทหารที่อยู่ด้านข้างรับกระบี่เอาไว้ เสียบกลับเข้าฝัก หันหลังเร่งเดินตามไป
“เรื่องเสบียงและอาวุธสำหรับกองทัพ ไม่จำเป็นต้องรบกวนทางมหานครช่วยจัดสรรให้ ข้าไปเมืองหลวงครานี้ทุ่มเทพยายามอย่างหนักจนได้รับเสบียงและอาวุธมาจำนวนหนึ่ง อีกไม่กี่วันก็จะถูกส่งมายังเป่ยโจวแล้ว หลังของมาถึงแล้วพวกเจ้าก็แจกจ่ายไปเลย จะได้ไม่ต้องขนย้ายกลับไปกลับมา มิเช่นนั้นขนกลับไปกลับมามันก็สิ้นเปลืองไม่น้อยเช่นกัน อะไรที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด ปีก่อนเป่ยโจวประสบภัยแล้งเป็นวงกว้าง มาปีนี้ก็เกิดอุทกภัยขึ้นอีก ประชาชนใช้ชีวิตลำบากมากพอแล้ว จะให้ทางผู้ว่าการมณฑลช่วยเหลือทั้งมณฑลมันก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน”
“แต่แน่นอน พวกเราถูกแคว้นจ้าวแคว้นหานและแคว้นเยี่ยนกระหนาบสามด้าน เสบียงและอาวุธคือสิ่งสำคัญอันดับแรก ต่อให้ท่านผู้ว่าการมณฑลจะผิดต่อผู้ใดก็ไม่มีทางผิดต่อเหล่าพี่น้องเบื้องล่าง ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาหิวโหยได้ ทันทีที่ของมาถึงก็ให้ส่งไปให้พวกเขาทันที พวกเจ้าจงปลอบขวัญพวกเขาให้ดี ให้เหล่าพี่น้องเบื้องล่างยืนหยัดฝ่าฟันกันอีกสักหน่อย”
“ยังมีอีก ต้องประกาศเตือนไพร่พลเบื้องล่างด้วยว่าเป่ยโจวคือรากฐานของพวกเรา จะทำให้รากฐานคลอนแคลนไม่ได้ ต่อให้ลำบากยากแค้นเพียงใดก็ห้ามปล้นสะดมชาวบ้าน ห้ามมิให้มีการฉวยโอกาสฉกชิงปล้นจี้ขึ้นในเขตมณฑลเป่ยโจว หากพบเห็นการฉกชิงปล้นจี้ให้เร่งปราบปรามโดยเร็วที่สุด ห้ามมิให้เกิดเหตุการณ์ที่รบกวนความเป็นอยู่ของประชาชนเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากประชาชนหวาดกลัวแล้วพากันหลบหนีไป การทำไร่นาหลังภัยพิบัติจะทำอย่างไร? จะให้ข้าไปทำไร่ หรือจะให้พวกเจ้าไปทำไร่ดีล่ะ? หากประชาชนประสบภัยจนอพยพหนีไปจนหมด เสบียงของทางกองทัพจะจัดการอย่างไร?”
“หากไร้ซึ่งประชาชน ปีหน้าจะเดือดร้อนยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่เป็นผลดีต่อพวกเราทุกคน ดังนั้นนี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนก่อเหตุรบกวนการทำไร่ไถนาหลังภัยพิบัติ เสบียงบรรเทาทุกข์ต้องจัดส่งให้ทันท่วงที พวกเจ้าจงส่งคนไปจับตามองสถานที่ราชการประจำท้องถิ่นไว้ ห้ามมิให้ใครหน้าไหนยักยอกไป หากพบเห็นให้จัดการก่อนแล้วค่อยมารายงานทีหลังได้เลย ญาติมิตรของพวกเจ้าก็ต้องควบคุมไว้ให้ดี ผู้ใดกล้าฉวยโอกาสหาประโยชน์ในยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤต ข้าไม่สนว่าเขาจะมีเส้นสายความสัมพันธ์อันใด หากพบข้าจะจัดการทันที! ข้าขอเตือนพวกเจ้าเอาไว้ก่อน ช่วงนี้จะข้าสั่งตัดหัวคนเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู พวกเจ้าอย่าได้วิ่งเข้ามาชนดาบของข้าล่ะ มิเช่นนี้ถึงเป็นผู้ใดมาช่วยร้องขอก็ไม่มีประโยชน์”
“หากอดทนผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ พวกเราก็จะสบายแล้ว! เป่ยโจวคือเป่ยโจวของพวกเราทุกคน พวกเจ้าต้องรู้เอาไว้ ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อพวกเจ้า จงดูแลไพร่พลเบื้องล่างแทนข้าให้ดี!”
เซ่าผิงปอเดินไปพลางกล่าวไปพลาง
“ขอรับ! คุณชายใหญ่กล่าวถูกต้องขอรับ!” นายทหารที่ติดตามมาขานรับ
ริมแม่น้ำ หนิวโหย่วเต้ากระโดดขึ้นจากน้ำร่อนลงบนพื้น พวกเฮยหมู่ตานที่อยู่ในป่าโผล่หัวออกมาร้องเรียกทันที “เต้าเหยี่ย ตรงนี้เจ้าค่ะ!”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมอง เห็นควันโขมงพวยพุ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ พลันยกมือตบหน้าผากตนเองทีหนึ่ง แค่หนีออกมาเฉยๆ ก็ได้แล้ว ทำไมต้องวางเพลิงเหลาสุราเช่นนี้ด้วย เขาพบว่าตนยังคงได้รับผลกระทบทางอารมณ์จากสุนัขชายหญิงคู่นั้นอยู่ ทำให้ไม่สามารถครุ่นคิดอย่างใจเย็นได้
เขารีบพุ่งเข้าไปในป่า โบกมือเรียก “เร็ว หนีเร็ว!”
………………………………………………….