ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 17 ออกจากคุก
ตอนที่ 17 ออกจากคุก
หลังจากพูดคุยกันภายในห้องสักพัก ซ่งเฉวียนออกไปที่ประตู ตะโกนเรียกอยู่ตรงประตู “เจ้าสาม!”
จากนั้นไม่นาน บุรุษคนหนึ่งที่มีโครงหน้าคล้ายคลึงกับเขาอยู่หลายส่วนก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา เป็นซ่งซูบิดาของซ่งเหยี่ยนชิง
เข้าไปรับคำสั่งในห้องรับแขกอยู่ครู่หนึ่ง ซ่งซูก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เขากลับไปถึงเรือนพักของตนที่อยู่ในเขตคฤหาสน์ เมื่อเข้าประตูเรือนไปก็สั่งการบ่าวชราที่มาต้อนรับว่า “ให้เหยี่ยนชิงมาพบข้า”
บ่าวชราตอบด้วยความลำบากใจอยู่บ้าง “คุณชายไม่อยู่บ้านขอรับ ออกไปพบปะสหายแล้ว” เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าซ่งเหยี่ยนชิงไปสำมะเลเทเมาอยู่ที่ไหน คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่พรรค์นั้นกระมัง
“ไปตามกลับมาพบข้าเดี๋ยวนี้!” ซ่งซูสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
บ่าวชราได้แต่ต้องไปจัดการตามคำสั่ง ค้อมคำนับจากไป
ซ่งซูยืนอยู่ตรงหน้าแสงเทียนที่อยู่ในตะเกียง จ้องมองเปลวเทียนตกอยู่ในห้วงความคิด ใบหน้าประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวสลัว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ซ่งซูถึงจะถูกเสียงฝีเท้าเร่งร้อนด้านนอกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เขาเหลียวหน้าไปมอง เห็นซ่งเหยี่ยนชิงรีบเดินเข้ามาคารวะ “ท่านพ่อ ตามหาลูกด้วยธุระใดหรือขอรับ?”
หลังจากถังอี๋ออกเรือนไปแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ไม่มีสิ่งใดดึงดูดซ่งเหยี่ยนชิงเอาไว้ได้อีก อยู่ได้ไม่นานก็กลับมาเมืองหลวง
ซ่งซูเพ่งพิศจากบนจรดล่าง มองเห็นตรงแก้มเขายังมีคราบเครื่องประทินโฉมที่ยังเช็ดออกไปไม่หมดอยู่ จึงเอ่ยตำหนิด้วยความโมโหทันทีว่า “แต่เช้าจรดค่ำก็รู้จักแต่ไปสำมะเลเทเมาที่หอนางโลม ฟางเอ๋อร์วิ่งมาร้องห่มร้องไห้กับข้าทุกสองสามวัน ถ้ามีเวลาก็เอามาตั้งใจฝึกบำเพ็ญเพียรไม่ดีกว่าเรอะ?”
‘ฟางเอ๋อร์’ ที่เขาเอ่ยถึงคือภรรยาของซ่งเหยี่ยนชิง หลังจากซ่งเหยี่ยนชิงกลับเมืองหลวงได้ไม่นาน ตระกูลซ่งก็จัดหาคู่ครองให้เขา
ซ่งเหยี่ยนชิงก้มหน้า บ่นกระปอดกระแปดว่า “หน้าตาน่าเกลียดจะตายชัก ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าไม่แต่ง พวกท่านก็บังคับข้าอยู่ได้”
“น่าเกลียดตรงไหน ก็แค่อวบไปหน่อยมิใช่เรอะ?” ซ่งซูถลึงตาใส่ ชี้หน้าด่าทอบุตรชาย “ข้าขอเตือนเจ้าไว้นะ บิดานางกุมอำนาจปกครองกองทหารหลวงหลายหมื่นนายไว้ เบื้องหลังยังมีสำนักบำเพ็ญเพียรคอยหนุนหลังอยู่อีก ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็ต้องให้เกียรตินางบ้าง หากทำให้ปู่ของเจ้าโมโหขึ้นมาล่ะก็ ตัวเจ้าเองก็รู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร!”
“ขอรับๆ ข้าทราบแล้ว” ซ่งเหยี่ยนชิงยิ้มเจื่อนอย่างจนปัญญายิ่ง เอ่ยว่า “ท่านพ่อ เข้าเรื่องเถอะขอรับ เรียกหาข้าด้วยธุระใดหรือขอรับ?”
ซ่งซูสงบสติอารมณ์ลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าไปเก็บข้าวของซะ แล้วกลับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้เร็วที่สุด…”
“ห๊า!” ซ่งเหยี่ยนชิงเงยหน้าขึ้นมาทันที เอ่ยด้วยสีหน้าเดียดฉันท์ “ข้าไม่ไป! สถานที่ผุพังวังเวงเช่นนั้น ข้าอยู่จนใกล้จะเป็นคนโง่อยู่แล้ว ท่านพ่อ ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่มีประโยชน์อันใดเลย หากไปข้องเกี่ยวก็มีแต่จะชักนำความยุ่งยากมาให้ ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดตอนนั้นท่านถึงต้องไปเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย นี่มิเท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองหรอกหรือขอรับ?”
ซ่งซูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว บางเรื่องให้เจ้ารู้ไปก็คงไม่เสียหาย ในอดีตหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วรบทัพไม่เคยปราชัยจับศึกไม่เคยพ่ายแพ้ กองทัพบุกไปทางไหนก็ล้วนแต่ราบเป็นหน้ากลอง สร้างความหวาดกลัวให้ทุกแว่นแคว้น เป็นขุนนางคนสำคัญแห่งแคว้นเยี่ยนที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ มีแนวโน้มจะได้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เมื่อแคว้นเยี่ยนก่อร่างสร้างอาณาจักร บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวง ได้รับแต่งตั้งเป็นราชครู กล่าวได้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์แห่งแคว้นเยี่ยนมาโดยตลอด ซางเจี้ยนปั๋วมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เสมอมา และเนื่องด้วยเหตุนี้ ในเวลานั้นเพื่อเพิ่มทางหนีทีไล่อีกทางไว้ให้ตระกูลซ่ง ปู่ของเจ้าจึงส่งข้าไปที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ผู้ใดจะรู้ว่าชะตาฟ้าไม่อาจหยั่ง ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงประชวรสิ้นพระชนม์กะทันหัน คิดไม่ถึงว่าก่อนพระองค์จะสิ้นพระชนม์จะทรงมีราชโองการยกราชบัลลังก์ให้ฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน นับแต่นั้นมาสถานการณ์ของซางเจี้ยนปั๋วก็ตกต่ำดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้”
ซ่งเหยี่ยนชิงพลันกระจ่างขึ้นมา พึมพำกับตัวเอง “ท่านปู่เจ้าเล่ห์นัก เหยียบเรือสองแคมมาตั้งแต่ต้น…”
ซ่งซูได้ยินก็โมโห “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรขอรับ!” ซ่งเหยี่ยนชิงรีบโบกมือ “ข้าจะบอกว่า พวกเราควรจะรักษาระยะห่างกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิใช่หรือขอรับ ทำไมยังต้องไปสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกล่ะขอรับ?”
ซ่งซูเอ่ยเสียงขรึม “พรุ่งนี้ซางเฉาจงจะออกจากคุกแล้ว!”
ซ่งเหยี่ยนชิงถามด้วยความฉงน “เรื่องนี้ข้าได้ยินมาแล้ว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ข้าต้องไปสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วยล่ะขอรับ?”
ซ่งซูอธิบาย “ราชสำนักเพิ่งตัดสินใจออกมา ต้องการเนรเทศซางเฉาจงออกจากเมืองหลวง ขับไล่ไปครองที่ดินศักดินา มองจากเส้นทางแล้ว เกรงว่าจะต้องผ่านทางที่ไปสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หลังจากเจ้าไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว จะต้องเตือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ว่าอย่าได้ส่งฝ่าซือให้เขา!”
ซ่งเหยี่ยนชิงหัวร่อเหอะๆ พลางกล่าว “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ จำเป็นต้องให้ข้าเดินทางไปไกลขนาดนั้นด้วยหรือขอรับ? ส่งจดหมายไปแจ้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์โดยตรงเสียก็สิ้นเรื่อง อีกอย่าง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในยามนี้เอาตัวเองแทบไม่รอด ต่อให้ไม่ไปเตือน ข้าคิดว่าพวกเขาก็คงไม่กล้าส่งคนให้เขาหรอกขอรับ”
ซ่งซูถลึงตา “เจ้าจะไปรู้อะไร! นับตั้งแต่สถาปนาแคว้นเยี่ยนขึ้นมา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็มีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์แคว้นเยี่ยนอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด เกรงว่าจะมิใช่แค่ตงกัวเฮ่าหรานคนเดียวที่มีสายสัมพันธ์กับซางเจี้ยนปั๋ว การที่จู่ๆ ถังมู่ก็ยกตำแหน่งให้ตงกัวเฮ่าหรานก่อนตายมันก็พอจะมองออกแล้ว ข้าสงสัยว่าน้ำในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมิได้ใสสะอาดถึงเพียงนั้น ลึกลงไปด้านล่างอาจจะยังมีสิ่งที่ไม่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำอยู่ จากสถานการณ์ในตอนนี้ สำนักอื่นนั้นไม่กล้าส่งฝ่าซือให้ซางเฉาจง แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับมีความเป็นไปได้มากที่สุด การที่ข้าให้เจ้าไปสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิใช่แค่ให้ไปกำชับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิให้มอบคนแก่ซางเฉาจง หากแต่ต้องการให้เจ้าไปจับตามองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย! เมื่อข่าวซางเฉาจงออกจากคุกและถูกเนรทศไปจากเมืองหลวงแพร่ออกไป ตะกอนบางอย่างที่จมอยู่อาจจะผุดขึ้นมา หลังจากเจ้าไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็จงจับตาดูให้ดีว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีความเคลื่อนไหวผิดปกติอันใดหรือไม่ หากพบเห็นสิ่งใดให้แจ้งมาทันที นี่คือคำสั่งจากปู่ของเจ้า”
ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “ไยต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วย อีกอย่าง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในยามนี้เป็นเหมือนดั่งพญาหงส์ตกอับที่ไม่อาจเทียบไก่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้พวกเขาส่งคนให้ซางเฉาจงแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า พวกเขาก็ก่อปัญหาอันใดไม่ได้อยู่ดี ในมือซางเฉาจงไร้กำลังทหาร ท่านปู่คิดมากเกินไปแล้ว ข้าว่ามิสู้ส่งคนไปทำลายสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง”
ซ่งซูเอ่ยอย่างเยียบเย็น “ตะขาบร้อยขาสิ้นชีพแต่ยังดิ้นได้ นับประสาอะไรกับหนิงอ๋องที่ในอดีตเคยกุมอำนาจกองทหารม้าของแคว้นเยี่ยนไว้เล่า! ที่ท่านปู่ของเจ้าทำเช่นนี้ ท่านย่อมมีแผนการของท่านอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวล ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ นี่มิใช่เรื่องเล่นๆ หากเกิดเรื่องขึ้นมาล่ะก็ ท่านปูเจ้าไม่เอาเจ้าไว้แน่!”
ซ่งเหยี่ยนชิงหนาวสันหลังวาบ เขากลัวท่านปู่ของตนคนนั้นเป็นที่สุด เวลาพบหน้ากันตามปกติ กระทั่งหายใจก็ยังไม่กล้าเลย…
……
ท้องนภามีริ้วเมฆขาวปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย นอกคุกหลวงมีรถม้าคันหนึ่ง สารถีที่บังคับรถม้ารอคอยอยู่ด้านหน้ารถม้าอย่างเงียบๆ
ชายวัยกลางคนใบหน้าคมคายผู้หนึ่งเดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ข้างรถม้า บนคางไว้เคราแพะ สวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียว สวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงินทับเอาไว้ด้านนอก ดูมีสง่าราศีอยู่หลายส่วน สองเนตรลุ่มลึก คอยเหลียวมองไปทางประตูใหญ่ของคุกหลวงเป็นระยะ
จวบจนถึงยามอุษาสาง ขอบฟ้าปรากฏแสงทองเปล่งปลั่งสายแรกขึ้น ด้านในคุกหลวงถึงได้มีความเคลื่อนไหว แว่วเสียงโซ่ตรวนลากกระทบพื้น
สารถีและชายวัยกลางคนหันมองทันที
รออยู่ครู่หนึ่ง ประตูใหญ่คุกหลวงถูกเปิดเสียงดังกึงกัง ชายหนุ่มสวมชุดเก่าขาด ร่างกายสูงใหญ่ทว่าผอมซูบจนหนังหุ้มกระดูกผู้หนึ่งถูกคนกลุ่มหนึ่งผลักออกมาจากคุกหลวง บนมือคล้องโซ่เหล็ก บนเท้าล่ามตรวนเอาไว้ เดินเท้าเปลือยเปล่าออกมา มาตรว่าสภาพจะดูย่ำแย่ ทว่าดวงตากลับวาวโรจน์เปล่งประกาย แผ่นหลังเหยียดตรง ท่าทางยอมหักไม่ยอมงอ
คนผู้นี้ก็คือซางเฉาจง บุตรชายคนเล็กของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วผู้เป็นสมุหพระกลาโหมแห่งแคว้นเยี่ยนที่ล่วงลับไป!
สารถีและชายวัยกลางคนที่รอคอยอยู่นอกคุกหลวงรีบเข้ามาต้อนรับ ทว่ากลับถูกผู้คุมขวางไว้ จึงทำได้เพียงมองตาละห้อยอย่างร้อนใจ
ซางเฉาจงถูกคุมตัวให้อยู่นิ่ง มีคนก้าวเข้ามาปลดโซ่ตรวนบนมือเท้าของเขา จากนั้นมีคนถือหนังสือราชการพร้อมตลับหมึกชาดเข้ามา
หลังจากซางเฉาจงประทับลายนิ้วมือลงบนหนังสือราชการเสร็จ ผู้คุมเรือนจำประสานมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วย ในที่สุดก็ได้รับอิสระแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่ส่งเสียงแม้เพียงน้อย สองเท้าเปล่าเปลือยก้าวเดินอย่างไม่เร่งร้อน
เมื่อเขาก้าวพ้นพื้นที่คุมประพฤติ ชายวัยกลางคนและสารถีจึงเข้ามาคารวะพร้อมกัน ล้วนตื้นตันกันจนพูดไม่ออก
ซางเฉาจงพยักหน้าให้สารถี จากนั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับชายวัยกลางคนว่า “ลำบากท่านหลานต้องมารับด้วยตัวเองเสียแล้ว”
ชายวัยกลางคนมีนามว่าหลานรั่วถิง ว่ากันไปแล้วก็เป็นญาติของซางเฉาจง เป็นญาติผู้น้องของมารดาซางเฉาจง เนื่องจากมีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว ถูกที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ของซางเจี้ยนปั๋วต้องตาจึงรับไว้เป็นศิษย์ ให้ติดตามอยู่ข้างกายคอยถ่ายทอดกลยุทธ์ให้ ห้าปีก่อน ผู้เป็นอาจารย์ประสบเคราะห์ไปพร้อมพวกซางเจี้ยนปั๋ว ส่วนใหญ่แล้วเขาจึงจะรับหน้าที่แทนผู้เป็นอาจารย์อยู่ในจวนอ๋อง
หลานรั่วถิงมีคำพูดจ่อขึ้นมาที่ปากทว่ากลับกล่าวไม่ออก ดวงตาจับจ้องข้อมือและข้อเท้าของซางเฉาจง เนื้อหนังตรงบริเวณทั้งสองถูกกดทับเสียดสีจนถลอกเปื่อยยุ่ย นี่คือผลจากการถูกล่ามตรวนเป็นเวลานาน บนร่างกายมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เมื่อรวมกับร่างกายที่ผอมโซแล้ว จะเห็นได้เลยว่าหลายปีมานี้เขาต้องทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
นี่ใช่การปฏิบัติแบบที่ท่านอ๋องคนหนึ่งสมควรได้รับเสียที่ไหน! ริมฝีปากเขาสั่นระริกขึ้นมาเล็กน้อย หันไปกล่าวว่า “รีบประคองท่านอ๋องขึ้นรถ” สารถีเข้ามาทันที ช่วยกันประคองซ้ายขวา
“ไม่ต้องหรอก เดินไหว!” ซางเฉาจงปัดมือที่ยื่นมาจากซ้ายและขวาออก ไม่ต้องการให้ประคอง ก่อนจะเดินไปที่รถม้าแล้วปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง
หลานรั่วถิงมุดตามหลังเข้าไป
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไป พิราบส่งสารตัวหนึ่งก็กระพือปีกโบยบินออกมาจากด้านในคุกหลวงทันที
รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนในเมืองหลวงอย่างเนิบช้า หลังจากหลานรั่วถิงที่นั่งเป็นเพื่อนอยู่ภายในรถม้าตรวจสอบอาการบาดเจ็บของซางเฉาจงดูแล้ว เขาก็เก็บมือกลับแล้วกล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะหาสถานที่เงียบสงบสักแห่งให้ท่านอ๋องได้อาบน้ำทำแผลนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง หลายปีมานี้ก็ยังรอดมาได้ เรื่องแค่นี้ไม่ต้องใส่ใจ” ซางเฉาจงบอกกล่าว พลางยื่นมือไปเลิกม่านมองออกไปด้านนอก พบว่ามิใช่ทางกลับกลับจวนอ๋อง
หลานรั่วถิงเอ่ยชี้แจง “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ ท่านอ๋องมิอาจรั้งอยู่ในเมืองหลวงได้ ให้รีบเดินทางไปยังอำเภอชางหลูที่เป็นพื้นที่ศักดินาทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แล้ว ตอนอยู่ได้คุกก็ได้ฟังแล้ว” ซางเฉาจงปล่อยม่านลง หันมาเอ่ยถามว่า “สืบหาสาเหตุการตายของเสด็จพ่อพบหรือยัง?”
หลานรั่วถิงส่ายหน้า “เรื่องนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ พวกเราทำได้เพียงสงสัยว่าจะเป็นท่านที่อยู่ในวังผู้นั้น ทว่าไม่มีหลักฐานอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามอีกว่า “ชิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อครั้งที่เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านสั่งกำชับพวกเราพี่น้องซ้ำๆ ว่าต้องปกป้องดูแลชิงเอ๋อร์ให้ดี”
ชิงเอ๋อร์มีนามว่าซางซูชิง เป็นน้องสาวของเขา และเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของซางเจี้ยนปั๋ว เดิมทีซางเฉาจงมีพี่ชายอีกสองคน พี่ชายคนโตสิ้นชีพในสนามรบ พี่ชายคนรองประสบเคราะห์กรรมไปพร้อมบิดามารดาเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาเหลือแค่พวกเขาพี่ชายน้องสาวเท่านั้น ส่วนตัวเขาเมื่อสามปีก่อนเนื่องจากพบว่ามีคนข่มเหงลวนลามสตรีจากครอบครัวผู้ดี จึงเข้าไปขัดขวาง ขณะนั้นไม่ระวังพลั้งมือทุบตีอีกฝ่ายจนตาย ผลคือเรื่องราวลุกลามใหญ่โต ข้อกล่าวหาที่ถูกบิดเบือนไปสารพัดถาโถมเข้ามาประหนึ่งสายน้ำหลาก หลังถูกจำโซ่ตรวนส่งเข้าคุกจึงตระหนักได้ว่าตนถูกผู้อื่นวางแผนให้ร้ายเสียแล้ว ตำแหน่งชินอ๋องที่ได้รับสืบทอดจากเสด็จพ่อถูกริบเอาอำนาจกลับคืนไป บรรดาศักดิ์ที่มีถูกปลดออก จากตำแหน่งชิงอ๋องก็กลายเป็นจวิ้นอ๋อง ถูกคุมขังในคุกหลวงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่อนุญาตให้คนเข้าเยี่ยม
หลานรั่วถิงกล่าวให้คลายกังวลว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงซ่อนตัวอยู่ในที่ปลอดภัย กลับไปก็จะได้พบกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางคล้ายดูโล่งใจ จากนั้นกลับขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจยิ่งนัก ตอนอยู่ในคุก มีคนมาบีบคั้นซักถามข้าอยู่ตลอด ต้องการให้ข้าสารภาพถึงเบาะแสของทัพ ‘กาทมิฬ’ ที่อยู่ในมือของเสด็จพ่อ เรื่องนี่ทำให้ข้ารู้สึกพิกลยิ่ง ท่านหลานทราบหรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?”
หลานรั่วถิงถอนหายใจ “เรื่องนี้เป็นแผนการของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ แต่กลับพลอยทำให้ท่านอ๋องต้องลำบากไปด้วย”
……………………………………………………………………