ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 171 ดินแดนหิมะ
ตอนที่ 171 ดินแดนหิมะ
แต่เขากลับเชื่อมั่นในตัวหนิวโหย่วเต้ายิ่งนัก
ทั้งสามคนมองหน้ากัน เรื่องนี้เป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้าอย่างนั้นหรือ?
หลานรั่วถิงรีบเอ่ยถาม “ไต้ซือ สรุปแล้วเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
“อื้อๆ” หยวนฟางส่ายหน้า ไม่ยอมพูดอะไรอีก
ซางซูชิงเริ่มทนเขาไม่ไหว ไม่รู้ว่าเจ้าปีศาจตัวนี้ไปเอานิสัยพูดอะไรเพียงครึ่งเดียวมาจากไหน ถ้าจะทำอย่างนี้เจ้าก็อย่าได้พูดเลยดีกว่า เจ้าไม่อึดอัด แต่คนฟังรู้สึกอึดอัดนัก
หลานรั่วถิงเองก็ทนรับนิสัยนี้ของหยวนฟางไม่ได้เช่นกัน หลังจากหยวนฟางกลับมา ตัวเขาย่อมต้องถามถึงสถานการณ์ของหนิวโหย่วเต้าเป็นธรรมดา แต่เขากลับพบว่าเจ้าปีศาจตัวนี้ปากพล่อยนัก เหมือนอยากจะอวดอ้างอันใดสักอย่าง แต่ก็วางท่าทำเป็นเก็บงำเอาไว้ สรุปแล้วก็คือนับตั้งแต่เจ้าปีศาจตัวนี้ติดตามหนิวโหย่วเต้าได้ระยะเวลาหนึ่ง มันก็มักจะทำท่าเสมือนมีลับลมคมในอยู่เสมอ มองตัวเองเป็นมนุษย์ไปแล้วจริงๆ ลืมสภาพเกรอะกรังของตนยามอยู่ที่วัดหนานซานไปจนสิ้น ลืมเลือนไปแล้วว่าชีวิตที่ถูกหยวนกังทุบตีจนฟกช้ำดำเขียวอยู่ทุกวันเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีท่าทีคล้ายดูแคลนคนทางฝั่งนี้ขึ้นมาได้
แต่พวกเขาก็ไม่สะดวกจะจัดการอันใดหยวนฟางจริงๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนของหนิวโหย่วเต้า ที่ทางนี้สามารถมีวันนี้ได้ เป็นเพราะหนิวโหย่วเต้าได้สร้างความดีความชอบเอาไว้ให้อย่างใหญ่หลวง การจะไปแตะต้องคนของหนิวโหย่วเต้าดูไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลานรั่วถิงเองก็เลื่อมใสในตัวหนิวโหย่วเต้าเป็นยิ่งนักเช่นกัน ทางนี้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของปีศาจตัวนี้ดี อีกอย่างเวลาก็เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานนัก คิดไม่ถึงว่าปีศาจตนนี้จะยอมสยบภักดีต่อหนิวโหย่วเต้าแล้ว เขาพบว่าหนิวโหย่วเต้ามีความสามารถในการซื้อใจคนจริงๆ
ความสามารถของคนหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาต้องทอดถอนใจจริงๆ อายุกับการกระทำของหนิวโหย่วเต้ามักจะทำให้เขารู้สึกถึงความไม่เข้ากันบางอย่าง
ซางเฉาจงที่ใบหน้าฟกช้ำบวมปูดหันไปมองหยวนฟาง คร้านจะเอ่ยอันใดเช่นกัน
ด้านนอกมีองครักษ์เดินเข้ามาอีกครั้ง ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ “รายงานลับลำดับที่หกจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนฟางฟังแล้วไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ทว่าซางเฉาจง ซางซูชิงและหลานรั่วถิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เนื่องจากรายงานลับลำดับที่หกคือสายลับที่จัดวางเอาไว้สำหรับหนิวโหย่วเต้าโดยเฉพาะ และเป็นหนิวโหย่วเต้าที่สั่งให้ทางนี้จัดวางสายลับนี้ขึ้นมา
หลานรั่วถิงกำลังจะยื่นมือออกไปรับ ซางซูชิงกลับชิงคว้ารายงานลับไปอ่านก่อน
มือที่เพิ่งยกขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่งของหลานรั่วถิงหยุดชะงัก ค่อยๆ หันไปมองดูซางซูชิงที่กำลังอ่านรายงานลับอย่างตั้งใจ แววตาวูบไหวเล็กน้อย
ซางซูชิงที่อ่านรายงานลับเสร็จเรียบร้อยมีสีหน้าตึงเครียด เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยมีอันตราย” จากนั้นส่งรายงานลับให้หลานรั่วถิง
หลังหลานรั่วถิงอ่านจบก็มีสีหน้าตึงเครียดเช่นกัน จากนั้นส่งให้ซางเฉาจงได้อ่าน
หลังซางเฉาจงอ่านจบแล้ว หยวนฟางที่ได้ยินว่าเต้าเหยี่ยมีอันตรายก็อดยื่นมือออกมาขอจดหมายไปอ่านด้วยไม่ได้ “ท่านอ๋อง ขอกระหม่อมดูหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
พอรับไปอ่านดูก็เข้าใจได้ไม่อยาก กวาดตามองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ สิ่งที่ส่งมาคือข้อความลับที่ถูกถอดความเสร็จเรียบร้อยก่อนนำมาส่งให้
ใจความคร่าวๆ ในจดหมายคือทางมณฑลเป่ยโจวส่งข่าวให้ตระกูลซ่งในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน แจ้งว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่แคว้นหาน กำลังจะไปขอผลตะวันชาดจากหอหิมะเหมันต์มาช่วยรักษาอาการป่วยให้บุตรชายไห่หรูเยวี่ย ซ่งจิ่วหมิงต้องการใช้โอกาสนี้ทำคุณไถ่โทษเพื่อทำให้ตัวเองกลับมามีอำนาจอีกครั้ง จึงได้ติดต่อให้คนของสำนักเซียนสถิตไล่ตามไปสังหารหนิวโหย่วเต้าก่อนถึงหอหิมะเหมันต์!
“ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี?” หยวนฟางที่อ่านเสร็จเรียบร้อยโบกรายงานลับพร้อมเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
ซางซูชิงถาม “นี่แสดงว่าเต้าเหยี่ยจะไปขอผลตะวันชาดจากหอหิมะเหมันต์จริงๆ หรือ? ”
หยวนฟางเอ่ยด้วยความร้อนใจ “เต้าเหยี่ยรับปากไห่หรูเยวี่ยเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ!”
หลานรั่วถิงถอนใจแล้วกล่าวว่า “คำสัญญามีค่าดั่งทองพันชั่ง ช่างเป็นคนมีสัจจะและคุณธรรมจริงๆ!”
ทางนี้ทราบเรื่องการเจรจาระหว่างหนิวโหย่วเต้าและไห่หรูเยวี่ยจากฟางเจ๋อที่ถูกส่งไปจัดการงานทางมณฑลจินโจวแล้ว เรื่องราวเจรจากันไปถึงขั้นนั้น อันที่จริงเรื่องผลตะวันชาดไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ไห่หรูเยวี่ยทราบถึงความแข็งแกร่งของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญที่เก่งกาจไร้พ่ายของหนิงอ๋อง จึงกำลังพยายามสร้างเงื่อนไขให้ทางฝั่งนี้สามารถปักหลักได้อย่างมั่นคง โดยหวังว่าซางเฉาจงจะสร้างกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญที่เกรียงไกรไปทั่วหล้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วกลับมาให้การสนับสนุนนาง
คนมีปัญญาที่รู้เรื่องล้วนแต่ทราบดี อันที่จริงแม้แต่ตัวไห่หรูเยวี่ยเองก็ไม่ได้มีความหวังอะไรกับผลตะวันชาดแล้ว หลายปีมานี้มณฑลจินโจวทำทุกหนทางแล้วก็ยังไม่สามารถเอาผลตะวันชาดมาได้ คาดว่าทางมณฑลจินโจวก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าจะเอาผลตะวันชาดมาได้ ความจริงที่นางให้การสนับสนุนซางเฉาจงก็เพื่อเตรียมการไว้ให้เซียวเทียนเจิ้นที่เป็นบุตรชายของนาง แล้วก็เตรียมการสำหรับอนาคตให้ตัวนางเอง
ดังนั้น ความจริงหนิวโหย่วเต้าจึงไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องไร้ความหวังเช่นนี้อีก ไม่มีความจำเป็นต้องไปร้องขอผลตะวันชาดอันใดนั่นเลย!
หยวนฟางกล่าวว่า “สัจจะคุณธรรมอะไร? เต้าเหยี่ยย่อมต้องรักษาคำพูดของตัวเองอยู่แล้ว! แต่ที่เต้าเหยี่ยทำไปก็เพื่อพวกท่านด้วยเช่นกัน! ยามที่เจรจากับไห่หรูเยวี่ย ข้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย ข้าทราบดี ความจริงเต้าเหยี่ยไม่จำเป็นต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวเช่นนี้เลย หลังเสร็จงานข้าลองเกลี้ยกล่อมเต้าเหยี่ยแล้วว่าไม่จำเป็นต้องลำบากเช่นนี้ พวกท่านทราบหรือไม่ว่าเต้าเหยี่ยพูดอย่างไร?”
หลานรั่วถิงถาม “ว่าอย่างไร?”
หยวนฟางเล่าว่า “เต้าเหยี่ยบอกว่ากององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจะก่อตั้งขึ้นสำเร็จขึ้นมาในวันใดก็ยังไม่อาจทราบได้ อาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นเขาได้ตรวจสอบด้วยตัวเองแล้ว ไม่สู้ดีนัก คงจะทนได้อีกไม่นานเท่าไร อาจจะปุบปับตายวันตายพรุ่งก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้นไห่หรูเยวี่ยจะตกที่นั่งลำบาก หากมณฑลจินโจวเปลี่ยนผู้ปกครอง ความสัมพันธ์ที่มีกับทางท่านอ๋องก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่…ดังนั้นเต้าเหยี่ยจึงยืนกรานจะไปขอผลตะวันชาดนั้นมาให้ได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายมากเพียงใด? พวกท่านทราบหรือไม่ว่ามีคนมากน้อยเท่าไรที่จ้องเอาชีวิตเต้าเหยี่ย? พวกท่านไม่รู้อะไรเลย พวกท่านไม่ได้เห็นว่าเต้าเหยี่ยต่อสู้กับกลุ่มคนที่ไล่ล่าสังหารเขาจนนองเลือดอย่างไร เต้าเหยี่ยกำลังเสี่ยงชีวิตทำงานให้พวกท่านอยู่! เต้าเหยี่ยสิ้นเปลืองความคิดจิตใจเพื่อสกุลซางของพวกท่าน พวกท่านไม่อาจมองเขาตายไปเฉยๆ โดยไม่เหลียวแลได้นะ!”
ถึงแม้จะฟังดูเกินจริงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่พูดมาล้วนเป็นความจริง และเขาก็ร้อนใจจริงๆ เพราะตัวเขาไร้กำลังความสามารถ!
และที่เขาร้อนใจก็มีสาเหตุแฝงอยู่อีกชั้นหนึ่ง เวลานี้ผลประโยชน์ของเขาได้ผูกติดอยู่กับตัวหนิวโหย่วเต้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว เขาทราบดีว่าถ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับหนิวโหย่วเต้า ตัวเขาที่อยู่ทางนี้ก็จะไร้ประโยชน์ไปทันที หากออกจากที่นี่ไปก็ไม่แน่ว่าจะสร้างชื่อเสียงอันใดได้ ปีศาจตัวนี้ไม่ได้โง่เลย!
เขากลับไปยังเขาหนานซานที่รกร้างห่างไกลแห่งนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อได้ออกมาพบโลกกว้างใหญ่ เขาก็ไม่มีทางกลับไปลักเล็กขโมยน้อยในเขาหนานซานเหมือนอย่างเมื่อในอดีตอีก จิตใจทะเยอะทะยานมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว!
ทันทีที่เขาเอ่ยวาจานี้ออกมา ขอบตาซางซูชิงพลันแดงเรื่อ ขบกรามกัดริมฝีปากแน่น!
ซางเฉาจงที่ใบหน้าฟกช้ำบวมปูดก็รู้สึกละอายเช่นเดียวกัน ใบหน้าตึงเครียด ลืมความเจ็บปวดของร่างกายไป ลุกขึ้นมาเผชิญหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอาวาส…”
ทันใดนั้นพลันเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ที่ให้มีความเคารพมากขึ้น “ไต้ซือ ท่านอย่าร้อนใจไปเลย พวกเราไม่มีทางนิ่งเฉยดูดายแน่นอน! ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าทางมณฑลเป่ยโจวทราบถึงแผนการและร่องรอยการเดินทางของเต้าเหยี่ยได้อย่างไร อีกทั้งเรื่องนี้ไปเกี่ยวพันถึงตระกูลเซ่าแห่งเป่ยโจวได้อย่างไร?”
หยวนฟางผายมือออก เอ่ยว่า “ข้าแยกทางกับเต้าเหยี่ยที่แคว้นจ้าว เรื่องทางแคว้นหาน ข้าจะทราบได้อย่างไร?”
ซางซูชิงเอ่ยด้วยความรู้สึกสงสัย “ดูเหมือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะอยู่ที่มณฑลเป่ยโจวด้วย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปสวามิภักดิ์เข้ากับทางตระกูลเซ่าแล้วมิใช่หรือ หรือเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย?” นางจดจำเรื่องราวเรื่องหนึ่งได้เป็นอย่างดี ถังอี๋ที่เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คือภรรยาในนามของหนิวโหย่วเต้า ดังนั้นนางจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที
คนอื่นๆ ต่างตกอยู่ในห้วงความคิด ล้วนนึกสงสัยในด้านนี้เช่นเดียวกัน ทุกคนในที่นี่ล้วนเห็นเหตุการณ์ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดักสังหารหนิวโหย่วเต้าที่วัดหนานซานกับตาตัวเอง ต่างทราบดีว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต้องการเอาชีวิตหนิวโหย่วเต้า
“สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อย่าได้ตกอยู่ในกำมือของอาตมาเชียว มิเช่นนั้นอาตมาจะฆ่าให้เกลี้ยงเลย…” หยวนฟางสบถออกมา จากนั้นพนมมือเอ่ยว่า “อามิตตาพุทธ สาธุๆ!”
หลังจากกลับมาอยู่กับเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซาน เขาเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าตนคือภิกษุ
“ของที่แม้แต่ไห่หรูเยวี่ยก็ยังหามาไม่ได้…” หลานรั่วถิงเอ่ยได้ครึ่งประโยคก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
ซางซูชิงเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยมิใช่คนบุ่มบ่าม การที่เขายอมไป แสดงว่าเขาจะต้องมีแผนการอยู่เป็นแน่ ตอนนี้มิใช่เวลามาพูดถึงเรื่องนี้ เสด็จพี่ ไปขอความช่วยเหลือจากคนของสำนักหยกสวรรค์เถอะ”
ทางนี้ก็ไร้ความสามารถเช่นกัน ทำได้เพียงไปขอร้องให้คนของสำนักหยกสวรรค์ช่วยเหลือ ซางเฉาจงพยักหน้ารับ นำทุกคนไปด้วยกัน
พวกซางเฉาจงเดินทางมาถึงเรือนพำนักของไป๋เหยา เมื่อได้พบไป๋เหยาก็เล่าสถานการณ์ให้อีกฝ่ายฟัง
ไป๋เหยายืนอยู่ใต้ต้นไม้ ยื่นมือออกไปเด็ดใบไม้ใบหนึ่งมาไว้ในมือแล้วหันหน้ากลับมา แค่นเสียงเหอะแล้วเอ่ยว่า “เรื่องที่กระทั่งอิทธิพลของไห่หรูเยวี่ยยังจัดการไม่ได้ แล้วเขายังจะไปทำอะไรอีก?”
หลานรั่วถิงประสานมือพลางกล่าวว่า “อาจารย์ไป๋ ที่เขาทำเช่นนี้เพราะมีสาเหตุ หนิวโหย่วเต้าเคยตรวจอาการเซียวเทียนเจิ้น พบว่าอาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นมิสู้ดีนัก หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นกับเซียนเทียนเจิ้น เกรงว่าจะเกิดปัญหาต่อการปกครองมณฑลจินโจวของไห่หรูเยวี่ยได้ เมื่อถึงเวลานั้นความสัมพันธ์ของทางด้านนั้นกับทางด้านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นมาหรือเปล่า หนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยทางเรา แล้วก็กำลังช่วยสำนักหยกสวรรค์อยู่ด้วย นี่จะเป็นประโยชน์ต่อทางสำนักหยกสวรรค์ด้วย”
ไป๋เหยาตกอยู่ในความเงียบ ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้องมา เขาเอ่ยเนิบๆ ว่า “ปัญหาสำคัญคือพวกเจ้าเองก็ไม่รู้เบาะแสการเดินทางของเขา ฟ้าดินกว้างใหญ่แบบนี้จะไปหาตัวเขาได้จากที่ไหน? อีกทั้งไม่มีวิธีติดต่อเขาด้วยซ้ำ สำนักหยกสวรรค์ก็ทำได้เพียงแจ้งให้คนของหอหิมะเหมันต์เตรียมตัวเอาไว้เท่านั้น”
หลานรั่วถิงเอ่ยถาม “สำนักหยกสวรรค์พอจะขัดขวางคนของสำนักเซียนสถิตไว้ได้หรือไม่?”
ไป๋เหยาย้อนถาม “จะให้ขัดขวางอย่างไร? สำนักหยกสวรรค์กล้าออกมาให้ความช่วยเหลือเขาอย่างเปิดเผยได้หรือ? สำนักนิกายในแคว้นต่างๆ เองก็มีกฎเกณฑ์อยู่เช่นกัน กินข้าวในหม้อไหนก็ต้องเติมฟืนใส่เตานั้น หากทำให้แคว้นเยี่ยนล่มจม นั่นจะเป็นไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งสิ้น เขาเป็นอาชญากรที่สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน พวกเจ้ากล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่ามีความเกี่ยวข้องกับเขาหรือ? อีกอย่าง หอหิมะเหมันต์ใช่สถานที่ที่จะไปหาเรื่องได้ง่ายๆ เหรอ? ถึงเจ้านั่นจะใจกล้า แม้แต่ราชทูตแคว้นเยี่ยนก็ยังกล้าสังการ แต่อย่าได้ไปก่อเรื่องกับทางหอหิมะเหมันต์จะดีที่สุด มิเช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ต้องอยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้…”
…..
ณ อำเภอจิ่วหลิ่ง หลังพวกเฮยหมู่ตานทั้งสี่ออกจากเมือง พวกเขาก็ควบม้ามุ่งหน้าไปยังเชิงเขาที่อยู่นอกชานเมือง จากนั้นรั้งบังเหียนหยุดม้า สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ
ในป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วดังกุบกับ หนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนหลังม้าควบเหยาะๆ เข้ามา มาถึงตรงหน้าทั้งสี่คน
ต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา หลังแยกย้ายกันไป ในที่สุดก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ประสานมือทักทายพร้อมกัน “เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย บังคับม้าวกกลับ “ไปเถอะ!”
ทั้งห้าคนพุ่งออกมาจากทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ควบม้าไปบนทางหลวง เร่งม้าไปตลอดทาง
เมื่อออกจากเขตอำเภอจิ่วหลิ่ง อากาศค่อยๆ เย็นลง ยิ่งมุ่งขึ้นเหนือ อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลง
หนทางเบื้องหน้าค่อยๆ มีร่องรอยหิมะสีขาวปรากฏขึ้นมา ยิ่งเดินทางลึกเข้าไป เกล็ดหิมะบางๆ บนพื้นก็ค่อยๆ จับตัวหนาขึ้น ค่อยๆ เข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยหิมะแห่งหนึ่ง ม้าที่อยู่ในจุดพักม้าระหว่างทางก็กลายเป็นพันธุ์ที่มีขนหนายาว
พายุหิมะมาเยือนโดยไม่คาดฝัน สายลมหนาวเหน็บพัดพาเกล็ดหิมะปลิวว่อน ด้านหน้าปรากฏรั้วไม้ที่ล้อมพื้นที่ไว้เป็นวงกว้าง จุดพักม้าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ
จุดพักม้าของทางนี้แตกต่างจากจุดพักม้าที่อยู่บนเส้นทางก่อนหน้านี้มากนัก โรงเตี๊ยมภายในจุดพักม้าแทบจะไม่มีส่วนที่ต่อเป็นชั้นสูงขึ้นไป ล้วนเป็นกระท่อมอิฐชั้นเดียวที่เรียบง่าย บนหลังคามีหิมะสีขาวจับตัวเป็นชั้นหนาๆ
ทั้งคณะควบม้าเข้าสู่จุดพักม้า หยุดม้าด้านนอกโรงเตี๊ยมในจุดพักม้าแล้วกระโดดลงจากม้า ก่อนจะมีคนเลี้ยงม้าเข้ามาจูงม้าไปดูแลต่อในคอก
มีคนงานของจุดพักม้ากำลังทุบถ่านก้อนโตให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นสีดำที่อยู่ท่ามกลางโลกหิมะขาวโพลน
ทั้งห้าคนเดินขึ้นบันไดไป พออยู่ใต้ชายคาก็สะบัดหิมะที่อยู่บนร่างกายออก
เหลยจงคังและต้วนหู่แหวกม่านผืนหนาตรงประตูออก เข้าไปสำรวจด้านในก่อน จากนั้นก็แหวกม่านซ้ายขวา พยักหน้าส่งสัญญาณให้หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ด้านนอก
เฮยหมู่ตานก้าวเข้ามาทันที ยื่นมือไปแก้เชือกที่ผูกรอบลำคอหนิวโหย่วเต้า ปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ที่คลุมอยู่บนร่างเขามาพาดบนแขนตน เดินตามหลังหนิวโหย่วเต้าที่มีสีหน้าสุขุมเยือกเย็นเข้าไปในโรงเตี๊ยมของจุดพักม้า
………………………………………………