ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 18 เลิศล้ำห้าวหาญ
ตอนที่ 18 เลิศล้ำห้าวหาญ
“ท่านหรือ?” ซางเฉาจงแปลกใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋องเข้าคุก กระหม่อมพบว่าสถานการณ์ผิดปกติ มีคนคอยขว้างหินลงบ่อ[1]อยู่ไม่ขาด เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการให้ท่านอ๋องตาย ท่านที่อยู่ในวังผู้นั้นทั้งหวั่นเกรงอำนาจทางการทหารในมือของท่านอ๋องพระองค์ก่อน อีกทั้งกังวลถึงผลที่จะตามมาหลังจากไม่มีท่านอ๋องพระองค์ก่อนคอยสยบแว่นแคว้นอื่นๆ กระหม่อมทราบว่าท่านที่อยู่ในวังผู้นั้นกังวลถึงสิ่งใดอยู่ จึงปล่อยข่าวลือออกไป บอกว่าท่านอ๋องพระองค์ก่อนได้แอบคัดเลือกดวงวิญญาณของลูกน้องที่จงรักภักดีที่สิ้นชีพในสนามรบจำนวนหนึ่งแสนนายมาสร้างเป็น ‘ทัพกาทมิฬ’ อย่างลับๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงกระจ่างแจ้งในทันใด จึงแค่นหัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “ท่านที่อยู่ในวังผู้นั้นไว้ชีวิตข้า หาใช่เพราะเห็นแก่ความเป็นเครือญาติไม่ ที่แท้ก็เป็นเพราะอยากได้ ‘ทัพกาทมิฬ’ นั่นนี่เอง เช่นนี้แล้ว ที่ครั้งนี้ข้ารอดชีวิตออกมาจากคุกได้ เกรงว่าคงมิพ้นเกี่ยวข้องกับทัพ ‘กาทมิฬ’ นั่นอีกกระมัง? ยามนี้สถานการณ์ของแคว้นเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง? ”
หลานรั่วถิงพยักหน้า “ท่านอ๋องปรีชานัก กล่าวได้ตรงจุดสำคัญ! นับจากท่านอ๋องพระองค์ก่อนจากไป หลายปีมานี้ ฝ่าบาททรงทำการกวาดล้างอดีตคนของท่านอ๋องพระองค์ก่อน ทำเอาขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอน เซ่าเติงอวิ๋นผู้เป็นแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือถูกบีบคั้นกดดัน ด้วยความโกรธจึงเปิดด่านให้ศัตรูบุกเข้ามา เป็นเหตุให้ทัพใหญ่แคว้นหานเข้าโจมตีชายแดนเขตเหนือของพวกเรา บุกทะลวงเข้ามาอย่างราบรื่นดุจทะลวงปล้องไผ่ ราชสำนักเสียเงินทองและไพร่พลไปจำนวนมหาศาลถึงหยุดยั้งการโจมตีของแคว้นหานได้ ไม่เพียงแต่จะสูญเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ให้แก่ศัตรูเก่า แต่ยังดึงดูดให้แว่นแคว้นรอบข้างจับจ้องตาเป็นมัน สถานการณ์สุ่มเสี่ยงล่อแหลม ฝ่าบาทจำเป็นต้องส่งตัวองค์หญิงหลายพระองค์แต่งออกไปเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ดึงแว่นแคว้นบางส่วนเข้ามาถ่วงดุลกันถึงจะพอฝืนคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ทว่าจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายภายใน แม่ทัพบางส่วนค่อยๆ เกิดความทะเยอทะยานขึ้นมา มีคนเริ่มฉวยโอกาสซ่องสุมกำลังพลส่วนตัว ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน แคว้นเยี่ยนตอนนี้ระส่ำระส่ายอยู่ท่ามกลางมรสุมพ่ะย่ะค่ะ!”
ตึง! ซางเฉาจงทุบกำปั้นลงบนม้านั่ง สีหน้าดุดัน “ส่งองค์หญิงแต่งออกไปเชื่อมสัมพันธไมตรี น่าอดสูอย่างยิ่ง! เซ่าเติงอวิ๋นกล้าทรยศไปเข้าร่วมศัตรู สมควรตาย!”
หลานรั่วถิงเงียบงันไม่พูดจา บางเรื่องควรจะพูดอย่างไร? หากไม่สมรสเชื่อมสัมพันธ์ก็เสี่ยงภัยถูกล่มแคว้น ท่านผู้นั้นที่อยู่ในวังจะทำเช่นไรได้? เซ่าเติงอวิ๋นผู้นั้นหากไม่แปรพักตร์เข้าร่วมศัตรู สิ่งที่รออยู่ก็มีเพียงความตายเท่านั้น จะให้เซ่าเติงอวิ๋นทำอย่างไรเล่า?
หลังสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ซางเฉาจงถอนใจพลางกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ที่ยามนี้ข้าสามารถออกจากคุกมาได้ เป็นเพราะแคว้นเยี่ยนปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน ท่านที่อยู่ในวังผู้นั้นร้อนใจต้องการทัพกาทมิฬนั่นมาคุมสถานการณ์เอาไว้ จุดประสงค์ที่ปล่อยข้าออกจากคุกเพราะอยากล่อทัพกาทมิฬนั่นออกมา! ถ้าหากว่าไม่ได้ เกรงว่าท่านผู้นั้นคงยังไม่ปล่อยข้าไปอยู่ดี!”
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “นี่มิใช่เวลามาใคร่ครวญเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงท่านอ๋องสามารถออกไปจากเมืองหลวงได้ มันก็ยังมีโอกาสอยู่ หากออกจากเมืองหลวงไม่ได้ เช่นนั้นก็จะหมดโอกาสไปตลอดกาล…”
ฟ้าสางแล้ว เมืองหลวงที่แสนจอแจเริ่มต้นวันใหม่ ร้านค้าทยอยเปิดประตู ร้านหาบเร่แผงลอยเดินสวนขวักไขว่ มิได้รู้เลยว่าภายในรถม้าที่คล้ายดูธรรมดาสามัญคันนี้มีผู้ใดโดยสารอยู่
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงประตูเมืองตะวันออกก็ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ทหารกลุ่มหนึ่งไล่คนสัญจรออกไป ปิดกั้นไม่ให้ผู้ใดเข้าออก ห้อมล้อมรอบรถม้าไว้
แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองผู้หนึ่งใช้สันดาบเคาะรถม้าพลางกล่าวตะคอกว่า “ลงมา! ยอมให้ตรวจค้นเสีย”
หานรั่วถิงมุดออกมาก่อน หวังช่วยประคองซางเฉาจงที่มือเท้าไม่สะดวกนัก ทว่าฝ่ายหลังยังคงปฏิเสธ กระโดดลงจากรถม้าด้วยตัวเอง
ทันทีที่ทั้งสองเห็นสถานการณ์รอบข้าง ก็ทราบดีว่าทหารเหล่านี้พุ่งเป้ามาหาพวกเขาโดยเฉพาะ
“หวา นี่มิใช่ท่านอ๋องน้อยซางเฉาจงหรอกหรือ!” แม่ทัพที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองผู้นั้นพลันตะโกนเสียงดังอย่างเริงร่า ดึงดูดให้ประชาชนที่ถูกเบียดเสียดไปอยู่รอบๆ พากันมองมาด้วยความแปลกใจ เขาเอ่ยล้อเลียนอีกครั้ง “ท่านอ๋องน้อย เหตุใดพระองค์จึงแต่งตัวซอมซ่อมอซอเช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่ง เขาสืบทอดบรรดาศักดิ์อ๋องแล้ว แม้จะลดขั้นจากชินอ๋องเป็นจวิ้นอ๋องแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็มีฐานะเป็นท่านอ๋องอยู่ การที่อีกฝ่ายเรียกขานว่า ‘ท่านอ๋องน้อย’ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาล้อเลียน
หลานรั่วถิงประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องได้รับราชโองการให้ออกนอกเมือง หวังว่าท่านแม่ทัพจะช่วยอำนวยความสะดวกให้”
แม่ทัพผู้นั้นแค่นหัวเราะ “ราชโองการออกจากเมืองกับการตรวจค้นมิได้ขัดแย้งกัน! ท่านอ๋องน้อยทุบตีราษฎรตายกลางวันแสกๆ ยังเดินวางท่าใหญ่โตได้ แต่คนต่ำต้อยอย่างพวกเราไม่อาจเทียบชั้นกับท่านอ๋องน้อยได้ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด” เขาโบกมือคราหนึ่ง “ค้นตัว!”
ทหารกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา ดึงทึ้งลูบคลำร่างกายซางเฉาจงต่อหน้าฝูงชน เสื้อผ้าขาดรุ่ยถูกดึงก็ยิ่งขาดไปใหญ่ ดึงจนบั้นท้ายแทบจะโผล่ออกมาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าจงใจหยามเกียรติ ซางเฉาจงขบกรามแน่นไม่เปล่งวาจา ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมปล่อยให้ค้นตัวไป
หลานรั่วถิงเห็นแล้วลอบสะท้อนใจ ดูเหมือนหลายปีมานี้ท่านอ๋องน้อยจะมิได้อยู่ในคุกคงไปเปล่าๆ เช่นกัน ถูกความยากลำบากขัดเกลา ทำให้เติบโตขึ้นมากนัก หากยังเจ้าอารมณ์เช่นในอดีตเกรงว่าคงลงมือไปแล้ว มิเช่นนั้นจะตกหลุมพรางจนทุบตีผู้อื่นตายได้หรือ? ที่ว่าโชคลาภมาพร้อมคราวเคราะห์คงจะเป็นเช่นนี้เองกระมัง!
ทว่าสารถีคนนั้นกลับโมโหจนตัวสั่น สองตาเบิกกว้าง มีความคิดที่จะระเบิดโทสะออกมา ทว่าเพิ่งขยับเท้าก็ถูกหลานรั่วถิงคว้าข้อมือไว้
หลานรั่วถิงส่ายหน้าให้เขา สื่อว่ามิให้วู่วาม
เมื่อได้ยินว่าเป็นชนชั้นสูง ซ้ำยังได้ยินว่าทุบตีราษฎรตายกลางวันแสกๆ ประชาชนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็ไม่สนแล้วว่าซางเฉาจงจะได้รับความอยุติธรรมหรือไม่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านโง่เขลาที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร มองซางเฉาจงได้รับความอัปยศอดสูด้วยท่าทีครึกครื้น บางคนถึงขั้นรู้สึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหรือไม่ก็ปรบมือร้องว่าดีด้วยซ้ำ
ผู้ที่บงการเรื่องนี้แอบมองอยู่บนป้อมประตูเมืองด้วยสายตาเย็นชา คิดเพียงว่าชาวบ้านโง่เง่ากลุ่มนี้ช่างโง่เขลาจนน่าขัน แต่กลับไม่คิดบ้างเลยเหตุใดชาวบ้านกลุ่มนี้ถึงรังเกียจเดียดฉันท์ชนชั้นสูงเช่นนี้ อยากจับชนชั้นสูงทั้งหลายยัดใส่กรงหมูใจแทบขาดแล้ว!
เบื้องหน้าหน้าต่างสองบานต่างมีคนยืนอยู่บานละหนึ่งคน อาศัยบานหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่สังเกตการณ์ด้านล่าง คนหนึ่งก็คือเสนายุติธรรมซ่งจิ่วหมิง
ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็นบุรุษร่างผอมบาง หน้าขาวไร้หนวดเครา สองจอนมีผมขาวแซม ผมรวบมัดขึ้นไป ปักไว้ด้วยปิ่นหยกเล่มหนึ่ง สวมใส่อาภรณ์สะอาดสะอ้านไม่ปนเปื้อนฝุ่นธุลี จมูกงองุ้ม สีหน้าเรียบเฉย แววตาลุ่มลึกเย็นชา สวมผ้าคลุมไหล่สีดำ มีความสุขุมเยือกเย็นแฝงเร้นอยู่ในตัว ทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหินที่ห้ามเข้าใกล้
คนที่สามารถทำให้ซ่งจิ่วหมิงยอมมาพบด้วยตัวเองได้ย่อมไม่ธรรมดา เขามีนามว่าก่าเหมี่ยวสุ่ย ชื่อดูประหลาดอยู่บ้าง เป็นขันทีในวัง คนสนิทขององค์ฮ่องเต้ คอยดูแลฮ่องเต้ตั้งแต่เล็กจนโต เพียงแค่คิดก็คงจะรู้ว่าสถานะสูงส่งเพียงใด ผู้คนเรียกขานว่าสุ่ยกงกง
“ทำเช่นนี้มีประโยชน์หรือ?” ซ่งจิ่วหมิงหันไปถาม
ก่าเหมี่ยวสุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หยามเกียรติสักหน่อย ให้เขาจดจำไว้ในใจ บีบให้เขานำไพ่ตายของซางเจี้ยนปั๋วออกมาโดยเร็ว”
ซ่งจิ่วหมิงใช้ความคิดไตร่ตรอง เข้าใจขึ้นมา
เหตุการณ์วุ่นวายด้านล่าง ในที่สุดก็ผ่านพ้นไป ซางเฉาจงที่เสื้อถูกดึงทึ้งขาดวิ่นยากจะปกปิดร่างกายได้มุดเข้าไปในรถม้าอีกครั้ง สารถีบังคับรถให้เคลื่อนตัวออกไป
ทว่ารถม้าเพิ่งจะพ้นประตูเมือง พลันมีคนวิ่งออกมาจากในเมือง ชี้ไปที่รถม้าพลางร้องตะโกน “ใต้เท้า รีบหยุดเขาไว้ที รถม้า มีคนขโมยรถม้าของข้า!”
ราวกับซักซ้อมกันไว้เป็นอย่างดี ทหารด้านนอกประตูเมืองเข้าปิดล้อมอย่างรวดเร็ว ขวางรถม้าไว้อีกครั้ง
คนที่ตะโกนโวยวายพุ่งมาด้านหน้ารถม้า กระชากสายบังเหียน ร้องห่มร้องไห้กล่าวว่า “นี่เป็นรถม้าของข้า เป็นรถม้าของข้า ใต้เท้าช่วยตัดสินให้ข้าด้วยเถิด!”
แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองที่กลั่นแกล้งซางเฉาจงเมื่อครู่นี้นำคนเดินก้าวอาดๆ เข้ามา เดินตรงไปที่ข้างรถม้าตะคอกว่า “ลงมา!”
ซางเฉาจงที่นั่งอยู่ในรถม้าหัวเราะหยันคราหนึ่ง “ดูเหมือนท่านอ๋องอย่างข้าไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งนั่งรถม้าแล้ว อยากให้ข้าเดินกลับไปยังเมืองของข้าอย่างนั้นหรือ? เถาซิ่น เป่าแตร!” เถาซิ่นที่กล่าวถึงคือนามของสารถีที่อยู่ด้านนอกรถ
“ช้าก่อน!” หลานรั่วถิงส่งเสียงห้าม ประสานมือกล่าวกับซางเฉาจง “ท่านอ๋อง โปรดทนอีกนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงค้อมตัวมุดออกมาจากรถม้า ยืนอยู่บนคานรถม้า ขวางไม่ให้หลานรั่วถิงที่อยู่ด้านหลังออกมา แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าขวาดวิ่น ทว่ากลับยืนเหยียดกายตรง
แม่ทัพเฝ้าประตูชี้ซางเฉาจงพลางร้องตะโกนว่า “ท่านอ๋องน้อย ลงมาจัดการเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียดีกว่า!”
ซางเฉาจงตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาด “เป่าแตร!”
เถาซิ่นผู้เป็นสารถีไม่รู้ว่าหยิบแตรเขาวัวสีดำเป็นมันวาวที่ดูคล้ายผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานานอันหนึ่งออกมา จ่อเข้าที่ปากพลางออกแรงเป่าจนแก้มโป่งพอง
“ปู๊น…ปู๊นปู๊น…ปู๊น….”
เสียงแตรดังสะท้อนไปมาอยู่นอกประตูเมือง ทำให้เหล่าทหารที่ปิดล้อมอยู่ตะลึงงัน แม่ทัพผู้นั้นยิ่งรู้สึกตกตะลึง แตรสัญญาณทัพ!
จากนั้นมีเสียงดังครืนๆ แว่วมาแต่ไกล ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ จากนั้นไม่นาน สีหน้าของเหล่าทหารยามที่คุ้มกันประตูเมืองต่างแปรเปลี่ยนไป
ก่าเหมี่ยวสุ่ยและซ่งจิ่วหมิงที่แอบสอดดูสถานการณ์ผ่านทางช่องหน้าต่างบนป้อมประตูเมืองต่างขมวดคิ้วขึ้นมา ทั้งคู่ผลักหน้าต่างเปิดออกจนสุด มองเห็นเบื้องหน้าซ้ายขวาต่างมีทหารม้าควบม้าห้อตะบึงเข้ามา มองจากขนาดแล้วมีกองละประมาณสองร้อยกว่าคน กองหนึ่งหนุ่งสวมชุดฝึกยุทธ์สีเขียว อีกหมู่หนึ่งสวมชุดฝึกยุทธ์สีเทา รวมตัวควบม้าวิ่งห้อเข้ามา แม้จำนวนคนจะไม่มาก ทว่าท่าทางขึงขังดุดัน บุกตะลุยอย่างไร้ความหวาดกลัว!
ม่านตาซ่งจิ่วหมิงพลันหดตัว พึมพำกับตัวเอง “กององครักษ์เลิศล้ำ! กององครักษ์ห้าวหาญ!”
เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงมีชีวิตอยู่ ทรงชื่นชมผลงานด้านการศึกของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว พระราชทานนาม ‘เลิศล้ำห้าวหาญ’ สี่คำนี้ให้เป็นรางวัล ซางเจี้ยนปั๋วนำสี่คำนี้มาแยกออกจากกัน ตั้งเป็นชื่อกององครักษ์ซ้ายขวาของตน นี่คือที่มาของกององครักษ์เลิศล้ำและกององครักษ์ห้าวหาญ
กององครักษ์เลิศล้ำห้าพันนายและกององครักษ์ห้าวหาญห้าพันนายติดตามหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วออกรบ สร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง สั่นคลอนขวัญกำลังใจของศัตรู ศึกที่ควรค่าแก่การจารึกมากที่สุดคือยามที่ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันนำทัพออกรบแล้วประสบอันตราย หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วได้นำกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญควบม้าไกลร้อยลี้ไปช่วยเหลือด้วยตัวเอง คนเพียงหมื่นคนบุกโจมตีทัพใหญ่เรือนแสนของแคว้นหานอย่างซึ่งหน้า ตะลุยฝ่าวงล้อมไปช่วยเหลือฝ่าบาทองค์ปัจจุบันออกมา ศึกครั้งนั้นทำให้นามของกององครักษ์เลิศล้ำและกององครักษ์ห้าวหาญกระเดื่องเลื่องลือไปทั่วหล้า ทว่าสิ่งที่ได้กลับคืนมาในวันนี้มิใช่ความซาบซึ้งในบุญคุณ หากแต่เป็นความหวาดระแวง
บัดนี้กององครักษ์ทั้งสองกลายเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันแทบจะถูกกวาดล้างไปจนสิ้น ทหารจำนวนไม่กี่ร้อยคนที่อยู่ตรงหน้านี้เกรงว่าจะเป็นผู้เหลือรอดบางส่วนที่กลับมารวมตัวกัน
กองทหารม้าทั้งสองกองรวมตัวเป็นหนึ่ง วิ่งห้อตะบึงเข้ามาจนฝุ่นควันตลบอบอวล ทหารยามรักษาประตูเมืองใบหน้าถอดสี บางคนหวีดร้องขึ้นมา “กององครักษ์เลิศล้ำ! กององครักษ์ห้าวหาญ!”
“ท่านอ๋องน้อย ท่านคิดจะก่อกบฏหรือพ่ะย่ะค่ะ?” แม่ทัพที่ยืนอยู่ข้างรถม้าสีหน้าซีดเผือด กล่าวถามเสียงสั่นเครือ
ซางเฉาจงที่ยืนอยู่บนคานรถม้าไม่แยแสเขา หากแต่มองดูกองทหารม้ากลุ่มนั้นที่พุ่งตรงเข้ามาด้วยสีหน้าทระนงภาคภูมิ
สารถีเถาซิ่นสองตาแดงเรื่อ มองกองทหารม้าที่ควบเข้ามา หยาดน้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอ เขาเช็ดน้ำตา ยกแตรขึ้นมาเป่าดัง “ปู๊นๆ” อีกครั้ง
ผู้นำขบวนเป็นสตรีชุดเขียวนางหนึ่ง สวมหมวกม่านแพรไว้บนศีรษะมองไม่เห็นใบหน้า เมื่อเสียงแตรดังขึ้น หญิงสาวชักกระบี่ออกมาถือ เหวี่ยงกระบี่ชี้ไปด้านหน้า
กองทหารม้ากว่าห้าร้อยคนแปรขบวนอย่างรวดเร็วก่อตัวเป็นขบวนศึกรูปทรงกรวย แต่ละคนชักดาบง้าวที่ส่องประกายวาววับใต้แสงตะวันออกมา พุ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วไร้ความกริ่งเกรง
ก่าเหมี่ยวสุ่ยที่อยู่ตรงหน้าต่างมองทหารยามด้านล่างกำแพงเมือง อดขมวดคิ้วไม่ได้ ทหารยามไม่ทันสู้ก็ใจฝ่อเสียแล้ว ค่อยๆ ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
นายทหารที่ขวางกั้นอยู่ด้านหน้ารถม้าก็ตกใจถอยหลังเปิดทางให้แล้ว
ทัพทหารม้าห้าร้อยนายพุ่งทะยานมาถึงด้านหน้ารถม้าพลันดึงบังเหียนหยุดม้าอย่างรวดเร็ว ยามเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้า ยามหยุดนิ่งมั่นคงดุจขุนเขา!
“เสด็จพี่!” หญิงสาวชุดเขียวที่เร่งม้าเข้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เป็นซางซูชิงน้องสาวของซางเฉาจง เห็นได้ชัดว่านางไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายผู้เคยสูงใหญ่กำยำแข็งแรงเปี่ยมกำลังวังชามาโดยตลอดจะผ่ายผอมซูบเซียวจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพียงนึกดูก็รู้ได้ว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดไหน น้ำตาหลั่งรินอยู่ภายใต้หมวกม่านแพร
…………………………………………………………………..
[1] ขว้างหินลงบ่อ เป็นสำนวนหมายถึงเห็นคนลำบากแต่กลับซ้ำเติม