ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 202 กระดากใจเล็กน้อย
ตอนที่ 202 กระดากใจเล็กน้อย
ของขวัญชิ้นใหญ่หรือ? เฮยหมู่ตานไม่ทราบเรื่อง ค่อนข้างงุนงง
พวกซางเฉาจงตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ ตอนนั้นก่อนที่หนิวโหย่วเต้าจะไปเก็บตัวบำเพ็ญเพียรเหมือนจะเคยพูดเช่นนี้จริงๆ ยามนี้พอนึกถึงขึ้นมาได้ ต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า
หลานรั่วถิงเอ่ยถามด้วยความตกใจระคนสงสัย “เต้าเหยี่ย หรือว่าเรื่องที่เจ้าสำนักทั้งสามมาเยือนด้วยตัวเองคือของขวัญที่เต้าเหยี่ยกล่าวถึงในครานั้น?”
หนิวโหย่วเต้าถามยิ้มๆ ว่า “หรือท่านหลานยังรังเกียจว่าการที่สามสำนักเข้ามาเสริมกำลังช่วยท่านอ๋องชิงมณฑลหนานโจวเป็นของขวัญที่เล็กน้อยเกินไปอยู่?”
“ไม่ๆๆ! เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่!” หลานรั่วถิงรีบโบกมือปฏิเสธ ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง รีบเอ่ยชี้แจงว่า “ข้าเพียงแต่คิดว่า…หรือเต้าเหยี่ยจะวางแผนเอาไว้ถึงขั้นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “สถานการณ์เปลี่ยนแปลง ของขวัญที่เอ่ยถึงในตอนนั้นมิใช่เรื่องนี้ จึงได้แต่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เอาเป็นว่าไม่แย่ไปกว่าที่คิดไว้ตอนแรกแน่นอน”
หลานรั่วถิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่าเขาวางแผนเตรียมการให้มีวันนี้ไว้ตั้งแต่แรก เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง อย่างนั้นทักษะการวางกลยุทธ์ของคนผู้นี้ก็น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
สองพี่น้องตระกูลซางเองก็โล่งอกเช่นกัน เมื่อครู่ก็พลอยตกใจไปด้วยเหมือนกัน
แม้จะรู้สึกโล่งอก แต่ความรู้สึกทอดถอนใจที่อยู่ภายในใจก็ยังไม่สามารถอธิบายได้อยู่ดี
หลอกแต่งงานกับเฟิ่งรั่วหนาน ยืมกำลังทหารจากจังหวัดกว่างอี้ ตั้งตัวในอำเภอชางหลู เกลี้ยกล่อมไห่หรูเยวี่ย ยึดจังหวัดชิงซาน ยามนี้ยังชักจูงสี่สำนักให้มาช่วยเหลือในแผนการยึดมณฑลหนานโจวอีก แผนการที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ เช่นนี้ ชวนให้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
พวกเขาจำต้องยอมรับว่าหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาไปได้อย่างสิ้นเชิง พอนึกถึงตอนที่สองพี่น้องเตรียมหนีออกทะเลผ่านทางอุโมงค์ลับ นึกถึงตอนที่หนีออกมาจากเมืองหลวงเยี่ยงสุนัขจนตรอก ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าจะมีวันนี้ได้?
ตอนแรกต้องไปหยิบยืมกำลังทหารมาจากเฟิ่งหลิงปอ แต่ตอนนี้กลับได้กำลังทหารที่เฟิงหลิงปอทุ่มเทกายใจฝึกฝนเลี้ยงดูมาเป็นเวลานานหลายปีโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกเขารู้สึกทอดถอนใจได้อย่างไร?
พวกเขาคาดว่าทางสำนักหยกสวรรค์คงไม่รีบร้อนบอกเรื่องนี้กับเฟิ่งหลิงปอแน่ หากว่าเฟิ่งหลิงปอทราบเรื่องนี้เข้า ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร?
ซางซูชิงอดมองไปทางหยวนกังที่ยืนอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้าอีกครั้งไม่ได้ ยังคงจดจำถ้อยคำที่หยวนกังเคยกล่าวกับนางที่วัดหนานซานได้ ทุกถ้อยคำล้วนยังก้องอยู่ในหู ‘กระหม่อมรู้ว่าพวกพระองค์สองพี่น้องคิดอย่างไร พวกพระองค์คิดว่าสภาวะของเต้าเหยี่ยไม่สูงพอ นั่นเป็นเพราะพวกพระองค์มีตาแต่ไร้แวว สำหรับสถานการณ์ของพวกพระองค์ในเวลานี้ ตัวเต้าเหยี่ยมีค่าต่อพวกพระองค์ยิ่งกว่าสภาวะของเขาเสียอีก พวกพระองค์รั้งตัวไว้ผิดคนเสียแล้ว!’
ยามนี้พอนึกย้อนถึงวาจานี้ นางเข้าใจแล้วจริงๆ ว่าถ้อยคำที่หยวนกังผู้เงียบขรึมเอ่ยออกมาในครานั้นมันลึกซึ้งล้ำค่าเพียงใด!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้พิสูจน์ทุกๆ คำพูดของหยวนกังในตอนนั้นแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่รู้จักเต้าเหยี่ยอย่างแท้จริงยังคงเป็นหยวนกัง เห็นได้ชัดว่ายามนั้นหยวนกังมีเจตนาชี้ทางสว่างให้พวกนางด้วยใจจริง!
ตอนนี้พอย้อนนึกดูแล้ว ซางซูชิงยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ่อยครั้ง ช่างโชคดีเหลือเกิน หากตอนนั้นปล่อยให้เต้าเหยี่ยหลุดมือไป พวกนางสองพี่น้องไหนเลยจะมีวันนี้ได้? อย่างน้อยไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่มีทางจะตั้งตัวขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ นับตั้งแต่ที่หนีออกมาจากเมืองหลวงเพิ่งจะผ่านไปได้ครึ่งปีเท่านั้นเอง!
ซางเฉาจงวางเรื่องของขวัญเอาไว้ก่อน เอ่ยสอบถามความเห็นว่า “เต้าเหยี่ย ทางไห่หรูเยวี่ยเร่งรัดทางนี้มาหลายครั้งแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เร่งรัดอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงกล่าวว่า “นางร้อนใจอยากเห็นผลสำเร็จของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญโดยเร็ว ข้าก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของนางเช่นกัน นางกังวลว่าหากบุตรชายเป็นอะไรไป หากไม่เหลือสายเลือดตระกูลเซียวอยู่แล้ว ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานอาจจะลงมือทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายกับนางได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้จึงร้อนใจอยากเห็นทางนี้พัฒนากองกำลังที่สามารถให้การสนับสนุนนางได้ ความรู้สึกนางน่ะข้าเข้าใจอยู่ ทว่าเรื่องนี้ไหนเลยจะรีบร้อนได้ การฝึกฝนกำลังทหารมิใช่เรื่องที่กระทำได้ในชั่วข้ามคืน หากแต่ยังมีข้อจำกัดเงื่อนไขอีกมากมาย ในเมื่อเป็นกองทหารม้า ม้าศึกจำนวนมากย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ เพียงแค่เรื่องนี้ก็ยากจะทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว”
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญดูเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ตอนนี้เงื่อนไขต่างๆ ของพวกเรายังไม่พร้อม ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องสนใจนาง จัดการเรื่องราวไปตามจังหวะที่ตัวเองสามารถควบคุมได้ก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
หลานรั่วถิงเอ่ยแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เต้าเหยี่ยคิดจะสละทางไห่หรูเยวี่ยทิ้งแล้วหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย “เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ผู้ใดปกครองมณฑลจินโจวล้วนไม่เป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋องเท่าไห่หรูเยวี่ย เอาเป็นว่าท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้ ท่านอ๋องเพียงตั้งใจจัดการเรื่องของตนไปก็พอ ทางไห่หรูเยวี่ยยกให้เป็นหน้าที่กระหม่อม กระหม่อมมีวิธีเกลี้ยกล่อมนางพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ทั้งสามก็รู้สึกว่าปัญหายุ่งยากนี้ไม่ใช่ปัญหายุ่งยากอีกต่อไปแล้ว
จากนั้นก็พูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการหารือเรื่องแผนการขั้นต่อไป หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกำชับซางเฉาจงไปหลายอย่าง ซางเฉาจงพยักหน้ารับเป็นระยะ จดจำคำพูดของหนิวโหย่วเต้าเอาไว้
ทั้งสามทราบดีว่าหนิวโหย่วเต้าเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล จึงมิได้รบกวนนานเกินไปนัก พูดคุยกันอีกพักหนึ่งก็ขอตัวลา!
หนิวโหย่วเต้าออกไปส่งพวกเขาด้วยตัวเอง แม้นพวกซางเฉาจงพยายามบอกว่าไม่จำเป็นต้องออกมาส่ง แต่หนิวโหย่วเต้ายังคงรักษากฎเกณฑ์มารยาทบางอย่างไว้ เดินไปส่งพวกซางเฉาจงจนออกจากประตูใหญ่ ด้วยเพราะไม่อยากให้พวกซางเฉาจงคิดว่าเขามีความดีความชอบจึงลำพองตัว
เขาทุ่มเทความคิดจิตใจไปมากมายขนาดนี้ เสี่ยงภัยอันตรายไปมากมายเพื่อช่วยสนับสนุนซางเฉาจง ไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดใจอะไรกัน อีกทั้งเดินไปส่งตามมารยาทแค่ไม่กี่ก้าวก็ไม่ใช่เรื่องเสียเวลาอันใด
หลังจากมองส่งทั้งสามจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินกลับมา พลางเอ่ยกำชับคนรอบข้างเสียงเบาๆ ว่า “เก็บเรื่องบนภูเขาหิมะเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายต่อผู้ใดเด็ดขาด”
เฮยหมู่ตานพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ!”
หยวนฟางแปลกใจ เรื่องภูเขาหิมะอะไร?
หยวนกังนิ่งเงียบ เขารู้ดี ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะไม่ต้องการให้สองพี่น้องตระกูลซางรู้เรื่องนั้น ช่วยเหลือก็ส่วนช่วยเหลือ สุดท้ายเต้าเหยี่ยก็ยังต้องเหลือทางรอดเอาไว้ให้ตัวเองอยู่!
เฮยหมู่ตานลองสอบถามดู “เต้าเหยี่ย หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว อาบน้ำพักผ่อนไหมเจ้าคะ”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ กระทั่งเฮยหมู่ตานออกไปเตรียมการแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงถามหยวนฟางขึ้นมาว่า “เจ้าหมี ลู่เซิ่งจงคนนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยวนฟางหัวเราะอย่างชั่วร้าย เอ่ยตอบว่า “มีชีวิตอยู่ดีขอรับ จับขังไว้ตลอด”
เมื่อเห็นรอยยิ้มแปลกประหลาดของเขา หนิวโหย่วเต้าจึงเอ่ยว่า “พาข้าไปดูหน่อย”
หยวนฟางนำทางเขาไปยังเรือนพำนักของเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซาน
เมื่อเดินเข้ามาถึงใต้ชายคา เดินผ่านห้องสามสี่ห้องที่เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ เวลาที่เดินผ่านแต่ละห้อง หนิวโหย่วเต้าจะมองเข้าไปเล็กน้อย ผลคือมองเห็นเหล่าสมณะยังคงมีศีรษะล้านเลี่ยนไม่เปลี่ยน กำลังส่องตะเกียงคัดลอกพระคัมภีร์กันอย่างตั้งอกตั้งใจ
หนิวโหย่วเต้าเห็นภาพเหล่านี้แล้วได้แต่ลอบส่ายศีรษะ ไม่จำเป็นต้องพูดเลย สมณะเหล่านี้ยังคงไม่ถูกโลกภายนอกดึงดูดล่อลวง นี่ต้องเกี่ยวข้องกับคำสอนบางอย่างจากเจ้าอาวาสอย่างหยวนฟางแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าหยวนฟางยังคงคิดเรื่องฟื้นฟูวัดหนานซานอยู่ ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องราวมามากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะพบความรุ่งเรืองและความยากลำบากมามากเพียงใด ปณิธานของหยวนฟางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง!
สำหรับเรื่องนี้ หนิวโหย่วเต้าไม่รู้ว่าควรจะชื่นชมเขาดี หรือควรเตะเขาสักทีสองทีดี ติดตามรับใช้ข้า แต่จิตใจกลับยังอยู่กับพุทธองค์ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขากลับว่าอะไรหยวนฟางไม่ได้ จะให้ไปบอกว่าการที่หยวนฟางทำเช่นนี้คือการโลเลสองใจหรือ? ต่อให้เจ้าไปแสดงความไม่พอใจต่อพุทธองค์ที่ไร้ตัวตนก็ไม่มีประโยชน์ หากพูดออกไปกลับจะกลายเป็นตัวเจ้าที่ไร้เหตุผล!
หนิวโหย่วเต้าเองก็รู้ว่านี่คือความศรัทธาของหยวนฟาง ในอดีตเมื่อนานมาแล้ววัดหนานซานรับเลี้ยงตัวเขาที่ยังคงเยาว์วัย ไม่ปล่อยให้เขาอดตายอยู่ในป่าหรือว่าถูกสัตว์ป่าทำร้าย นี่คือสิ่งที่หยวนฟางต้องการใช้ทั้งชีวิตเพื่อทดแทนบุญคุณ แล้วเขาจะว่าอย่างไรได้เล่า? จะไม่ให้หยวนฟางทดแทนบุญคุณอย่างนั้นหรือ?
ข้างกายเขาก็ไม่มีที่สำหรับคนอกตัญญูหลงลืมบุญคุณเช่นกัน ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ เกรงว่าข้างกายตนคงต้องมีสมณะกลุ่มหนึ่งติดตามไปด้วยอีกนาน ถือเสียว่ามีคนกลุ่มหนึ่งคอยติดตามสวดมนต์อวยพรให้ตนก็แล้วกัน
แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการมีสมณะกลุ่มหนึ่งคอยติดตามอยู่ข้างกายมันค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่ดี ใช้ชีวิตมาสองชาติก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ได้
หยวนฟางนำทางเขามาที่หน้าห้องใต้ดินห้องหนึ่ง โบกมือสั่งให้สมณะที่เฝ้ายามอยู่เปิดห้องใต้ดินให้เขา
แผ่นไม้ที่เป็นประตูห้องใต้ดินถูกยกขึ้น กลิ่นเหม็นเน่าที่น่าสะอิดสะเอียนสายหนึ่งโชยปะทะจมูก หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว
สมณะสองรูปเดินลงบันไดห้องใต้ดินไป ไม่นานก็มีเสียงโซ่ตรวนดังครืดคราดๆ แว่วมาจากห้องใต้ดิน
หลังจากลู่เซิ่งจงที่มีตรวนเหล็กล่ามมือเท้าทั้งสี่มายืนอยู่เบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าเรียกได้ว่าจำเขาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง สกปรกจนจำไม่ได้ คล้ายถูกอะไรบางอย่างพอกเอาไว้ชั้นหนึ่ง เสื้อผ้าสกปรกจนทนมองดูไม่ได้
ลู่เซิ่งจงยกมือเกาหัวเล็กน้อย แววตาหนิวโหย่วเต้าวูบไหว มองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีแมลงขนาดเล็กบางอย่างคลานออกมาจากในผมของลู่เซิ่งจง ใบหน้าหนิวโหย่วเต้าเหยเกขึ้นมา
ประกอบกับมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากร่าง หนิวโหย่วเต้าขยี้จมูกเล็กน้อย ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “พาเขาไปอาบน้ำให้เรียบร้อย เปลี่ยนเป็นชุดสะอาด พรุ่งนี้พามาหาข้า”
เดิมเขาคิดจะพูดคุยกับลู่เซิ่งจง แต่ใครมันจะไปคุยกับลู่เซิ่งจงที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ ประเด็นสำคัญคือหากต้องเผชิญหน้ากับลู่เซิ่งจงที่เหม็นขนาดนี้ เขาไม่สามารถเอ่ยปากพูดได้ เพราะมันคลื่นไส้!
หยวนฟางโบกมือสั่งให้สมณะไปจัดการทันที
หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นว่าลู่เซิ่งจงที่ได้ยินคำพูดนี้ร้องไห้ออกมา หลั่งน้ำตานองหน้า
ระหว่างที่เดินกลับออกมาจากที่นั่น หนิวโหย่วเต้าถามหยวนฟางว่า “ทำไมถึงทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ไปได้?”
เหตุผลของหยวนฟางก็เรียบง่ายเป็นอย่างมาก ก็ท่านสั่งว่าห้ามให้อีกฝ่ายหนีไปได้ เขาก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้น จึงสั่งเหล่าสมณะวัดหนานซานว่าต้องป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
สรุปแล้วคือเขาไม่เคยแก้โซ่ตรวนบนตัวลู่เซิ่งจงออกเลย นับตั้งแต่ที่ถูกจับตัวมา ลู่เซิ่งจงก็ไม่เคยได้อาบน้ำเลย ถูกคุมขังเอาไว้ที่ใดก็ต้องกินดื่มขับถ่ายอยู่ที่นั่น เสื้อผ้าก็ไม่เคยได้เปลี่ยนเช่นกัน ไม่เหม็นก็แปลกแล้ว
……
“เฮ้อ!”
จู่ๆ หลานรั่วถิงที่กลับมาถึงจวนผู้ว่าการจังหวัดก็ถอนใจออกมา
ซางเฉาจงที่นั่งอยู่เอ่ยถาม “ไยท่านอาจารย์จึงถอนใจเล่า?”
หลานรั่วถิงส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน “หากมิใช่เพราะกลัวจะทำให้เต้าเหยี่ยขุ่นเคือง กระหม่อมก็อยากจะลองไปดูที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นด้วยตัวเองจริงๆ สักครั้ง การที่หมู่บ้านเล็กๆ ในป่าเขาที่อยู่ในโลกอันโกลาหลวุ่นวายแห่งหนึ่งสามารถให้กำเนิดคนอย่างหยวนกังออกมาได้สักคนก็นับว่าหาได้ยากแล้ว แต่นี่กลับยังให้กำเนิดปีศาจอย่างเต้าเหยี่ยขึ้นมาอีก ซ้ำยังอายุน้อยถึงเพียงนี้ด้วย กระหม่อมรู้สึกละอายใจต่อท่านอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนมาเป็นเวลานานหลายเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าหากท่านอาจารย์ยังอยู่ก็คงต้องรู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน…”
หลานรั่วถิงว่าพลางส่ายหน้า กล้ำกลืนวาจาที่จะเป็นการล่วงเกินอาจารย์เอาไว้ ถอนใจอีกครั้งพลางเอ่ยว่า “อายุยังน้อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของประสบการณ์ชีวิตหรือว่าความรู้ เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร? กระหม่อมรู้สึกยากจะจินตนาการได้จริงๆ…แต่ละยุคก็มีอัจฉริยะของแต่ละยุคถือกำเนิดออกมา จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ บางทีนี่อาจจะเป็นอัจฉริยะแต่กำเนิดอย่างที่เล่าลือกันก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงเอ่ยปลอบใจ “ท่านอาจารย์ถ่อมตัวเกินไปแล้ว แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญต่างกันไป ด้านกลศึกรวมถึงการเมืองที่ท่านอาจารย์เชี่ยวชาญ เต้าเหยี่ยก็แทบจะไม่เคยเข้ามาข้องเกี่ยวเลย เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่สิ่งที่เต้าเหยี่ยเชี่ยวชาญ ในจุดนี้ เต้าเหยี่ยสู้ท่านอาจารย์ไม่ได้แน่นอน”
“เฮ้อ!” หลานรั่วถิงโบกมือ ท่าทางเหมือนกำลังบอกว่าไม่จำเป็นต้องปลอบข้าหรอก เขาสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมกำลังคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง เต้าเหยี่ยช่วยเหลือพวกเรามาตลอด แต่ดูเหมือนพวกเราจะไม่เคยตอบแทนอะไรเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงยากจะรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวได้ เรื่องทรัพยากรบำเพ็ญเพียรที่เคยรับปากเขาเอาไว้ในตอนนั้น…”
มาตรว่าไม่ได้กล่าวจนจบ แต่สองพี่น้องตระกูลซางก็เข้าใจความหมายของเขา เรื่องทรัพยากรที่เคยสัญญาเอาไว้ในตอนแรก ส่วนใหญ่ได้ถูกสำนักหยกสวรรค์ยึดครองไปจนเกือบหมดแล้ว หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว นี่เท่ากับว่าทางนี้ผิดคำพูดที่ให้ไว้
ซางเฉาจงกัดฟัน กล่าวว่า “ขืนยังไม่แสดงท่าทีอะไรอีกก็คงยากจะอธิบายได้ ต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็ต้องหามาให้ได้ ข้างกายเขาก็มีคนที่ต้องเลี้ยงดูเช่นกัน จะปล่อยให้เขาไม่มีแม้กระทั่งเงินสำหรับยังชีพไม่ได้ คิดวิธีหาเงินมาให้ได้สักหมื่นเหรียญทองก่อนแล้วกัน!”
มิใช่ว่าเขาขี้เหนียว แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในจังหวัดชิงซานเดิมทีก็ขัดสนอยู่แล้ว ประกอบกับไพร่พลดั้งเดิมในจังหวัดชิงซานได้ปล้นเอาของมีค่าไปจนหมดในตอนที่พ่ายแพ้ล่าถอยไป ทางนี้มีหลายเรื่องที่จำเป็นต้องใช้เงิน สถานการณ์ยากจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ สำนักหยกสวรรค์ให้การสนับสนุนจนยึดเอาจังหวัดชิงซานมาได้ หากยามนี้ยังคิดจะขอให้สำนักหยกสวรรค์ช่วยสนับสนุนด้านการเงินอีก นั่นคงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
หลานรั่วถิงเอ่ยอย่างลำบากใจ “รู้สึกกระดากใจเล็กน้อย จังหวัดชิงซานออกจะใหญ่โต แต่กลับมอบเงินให้เขาแค่หมื่นเหรียญทอง เขาจะเชื่อหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงเอ่ยว่า “ในเมื่อเต้าเหยี่ยสามารถขอให้สำนักหยกสวรรค์ฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนได้ เช่นนั้นเขาก็น่าจะเป็นคนที่มีเหตุผล ข้าเป็นสตรีคุยได้ง่ายกว่า เดี๋ยวข้าเอาไปให้เขา พยายามอธิบายให้เขาฟัง เขาน่าจะเข้าใจ”
………………………………………………………