ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 225 บัณฑิต
ตอนที่ 225 บัณฑิต
เซ่าซานเสิ่งแอบทอดถอนใจ คุณชายใหญ่วิตกกังวลถึงขนาดนี้ ดูเหมือนจะหวั่นเกรงคนผู้นั้นอย่างมากจริงๆ ตัวอยู่ในคุกใต้ดินของจวนผู้ว่าการมณฑล อยู่ภายใต้การคุ้มครองของยอดฝีมือมากมาย แต่ก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย
แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้ ศัตรูทั้งหมดที่เคยเผชิญหน้ามาไม่เคยมีใครทำให้คุณชายใหญ่เสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน!
“คุณชายใหญ่วางใจเถิดขอรับ พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้าก็รีบติดต่อไปหาคุณหนูซูแต่แรกแล้ว เดี๋ยวพอคุณหนูซูทราบว่าคุณชายใหญ่เกิดเรื่อง นางจะต้องรีบมาในทันทีแน่นอนขอรับ” เซ่าซานเสิ่งกล่าวปลอบใจอีกประโยคหนึ่ง จากนั้นผายมือเชิญ “คุณชายใหญ่ ต้องกินให้อิ่มถึงจะมีแรงนะขอรับ”
เมื่อได้ยินว่าติดต่อไปหาซูจ้าวแต่แรกแล้ว เซ่าผิงปอก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย ถือตะเกียบค่อยๆ คีบกิน
เพียงแต่ รอยฝ่ามือที่เซ่าเติงอวิ๋นทิ้งไว้บนใบหน้าทั้งสองข้างของเขายังคงสะดุดตาอยู่
สังหารแม่เลี้ยง สังหารน้องชายร่วมสายเลือด บทลงโทษนี้นับว่าเบาจนไม่อาจเบาไปมากกว่านี้ได้แล้ว
……
รัตติกาลมาเยือน ชายที่ดื่มจนเมามายสองคนกอดคอกัน ก้าวเดินซวนเซ
ระหว่างทาง ชายคนหนึ่งใช้มือยันกำแพงไว้ ส่วนอีกคนเอ่ยถามทั้งที่เมามายจนส่ายโงนเงน “หลี่ซยง เป็นอะไรไป? เมาแล้วหรือ?”
ชายที่ใช้มือยันกำแพงก้มหน้าพลางโบกมือ “อั้นไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวขอปลดทุกข์หน่อย ท่านไปก่อนเลย ข้ารู้สถานที่แล้ว จะตามไปทีหลัง”
“วะฮ่าๆ เช่นนั้นท่านก็เร็วหน่อยล่ะ” ชายอีกคนพูดจาอ้อแอ้พลางหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
กระทั่งชายคนนั้นเดินไปไกลแล้ว ชายที่ดื่มจนเมามายอีกคนที่ซุกตัวอยู่ในมุมกำแพงก็ยืดตัวขึ้นมา ผูกสายรัดกางเกง ก้าวออกมาจากมุมกำแพง มองไปทางเงาร่างที่เดินซวนเซออกไปไกลแล้ว ดวงตากลับมามีสติแจ่มใสอีกครั้ง ไหนเลยจะมีเศษเสี้ยวความเมามายหลงเหลืออยู่ เขาคือลู่เซิ่งจงที่ปลอมตัวมา
เขาหันหลังเร่งฝีเท้าจากไป หายตัวไปท่ามกลางความมืดมิด ล่วงหน้ามายังละแวกบ้านของเป้าหมายที่มาสังเกตการณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว ซ่อนตัวอยู่บนคาคบไม้ต้นหนึ่ง สังเกตการณ์จากมุมสูง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายที่ดื่มจนเมามายคนก่อนหน้านี้เดินซวนเซเข้ามา หยุดอยู่นอกเรือนเล็กหลังหนึ่ง ยกมือทุบประตูพลางตะโกนเรียก “ถานซยง ถานซยง…”
จากนั้นไม่นาน ประตูเรือนเล็กเปิดออก ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายคล้ายบัณฑิตคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ในมือยังถือม้วนตำราอยู่ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขากำลังท่องตำราอยู่
เมื่อเห็นชายที่ดื่มจนเมามายตรงหน้าประตู เขาก็กล่าวด้วยความแปลกใจว่า “ถังซยง เหตุใดท่านถึงดื่มจนกลายเป็นแบบนี้?”
“ได้รู้จักสหายใหม่คนหนึ่ง อีกเดี๋ยวจะแนะนำให้ท่านรู้จัก” ชายที่ดื่มจนเมามายหัวเราะร่า ยกเท้าข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปโดยไม่ได้รับเชิญ
“ถังซยง…” บัณฑิตหนุ่มดูค่อนข้างจนปัญญา ดื่มจนเมาเช่นนี้แล้วยังมาที่บ้านเขาอีก ทำเอาเขารู้สึกหมดคำพูด
บัณฑิตหนุ่มเดินออกไปมองด้านนอก ไม่เห็นคนที่อีกฝ่ายบอกว่าจะแนะนำให้รู้จักเลย จึงส่ายหน้าแล้วเดินกลับเข้ามา ปิดประตูเสีย
ทันทีที่เกิดภาพเหตุการณ์เคาะประตูก่อนหน้านี้ขึ้น ลู่เซิ่งจงที่แอบสังเกตการณ์จากมุมสูงก็ทำการมองสำรวจรอบด้านอย่างระวัดระวัง ดูว่ามีผู้ใดลอบสะกดรอยตามบัณฑิตคนนี้อยู่หรือไม่
เหตุใดถึงให้ความสนใจบัณฑิตคนนี้ถึงขนาดนี้น่ะหรือ? เป็นเพราะว่าตอนที่อู่เทียนหนานและเถาเยี่ยนเอ๋อร์พูดคุยกันถึงเรื่องกลอนและภาพวาด เพื่อที่จะอวดอ้างว่าตนคุ้นเคยกับบทกลอนแล้ว อู่เทียนหนานเคยเอ่ยถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา เขาบอกว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่เป็นน้องสาวของเซ่าผิงปอเคยจัดตั้งชุมนุมกวีขึ้นมา ตอนนั้นเขาก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมนุมกวีเช่นกัน
เขาเอ่ยขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าในชุมชนกวีมีคนผู้หนึ่งที่มีนามว่าถานเย่าเสี่ยนค่อนข้างสนิทสนมกับน้องสาวของเซ่าผิงปอ
แต่เขาเอ่ยถึงเพียงเล็กน้อยก็รีบหุบปากลงทันที ไม่ยอมกล่าวถึงอีก ไม่ว่าจะถามอย่างไรก็ไม่ยอมเล่าต่อ
ลู่เซิ่งจงเคยเป็น ‘มือสังหาร’ มาก่อน แรกเริ่มเคยคิดหาทางลอบสังหารหนิวโหย่วเต้า การที่เขาทำให้หนิวโหย่วเต้ามองเห็นคุณค่าได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นมือสังหารที่เก่งกาจคนหนึ่ง
ในฐานะมือสังหารผู้เก่งกาจคนหนึ่งแล้ว เขาย่อมต้องมีประสาทสัมผัสที่เฉียบไว ตระหนักได้ว่าในวาจาของอู่เทียนหนานแฝงความนัยไว้อยู่
ทว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกในเวลานั้นคือทำภารกิจที่หนิวโหย่วเต้ามอบหมายให้สำเร็จลุล่วงก่อน ไม่สมควรกระทำการอื่นใดที่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาจึงไม่ได้ไปสืบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ต่อ เพียงเพิ่มชื่อถานเย่าเสี่ยนไว้ด้านหลังชื่อเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่บนผังความสัมพันธ์คนรอบตัวของเซ่าผิงปอเท่านั้น
ครั้งนี้เมื่อกลับมารับภารกิจต่ออีกครั้ง เมื่อครุ่นคิดถึงผังความสัมพันธ์ของเซ่าผิงปอแล้ว เขาพบว่าหาเป้าหมายลงมือได้ยากนัก!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหันมาสนใจถานเย่าเสี่ยนอีกครั้ง เตรียมจะไปสืบดูก่อนว่าคนผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ดูว่าจะพบจุดอ่อนหรือไม่
แม้นหนิวโหย่วเต้าจะบอกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เซ่าผิงปอเปราะบางที่สุด แต่ถึงอย่างไรมณฑลเป่ยโจวแห่งนี้ก็เป็นถิ่นของเซ่าผิงปอ ทำให้เขาจำเป็นต้องระมัดระวังตัว
โดยเฉพาะเมื่อทราบว่าเซ่าผิงปอรอดชีวิตจากหายนะนั้นมาได้ ทั้งยังรอดชีวิตมาได้ด้วยวิธีการโหดเหี้ยมที่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้น นี่ทำให้เขาเข้าใจคำพูดของหนิวโหย่วเต้าได้อย่างลึกซึ้งแล้ว เซ่าผิงปอคนนี้อันตรายอย่างมากจริงๆ!
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัว
หลังจากหาตัวถานเย่าเสี่ยนคนนี้พบ เขาเคยมาสำรวจละแวกบ้านของถานเย่าเสี่ยนแล้ว ทราบว่าถานเย่าเสี่ยนอาศัยอยู่เพียงลำพัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปหาตรงๆ
จากภายนอกเห็นได้ชัดว่าถานเย่าเสี่ยนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ได้ยินว่าเดิมทีเป็นบัณฑิตสอนหนังสือ แต่กลับมีความสัมพันธ์อันดีกับธิดาของจวนผู้ว่าการมณฑลได้ หากยังไม่ทราบถึงรายละเอียดที่แน่ชัด ลู่เซิ่งจงก็จำเป็นต้องระวังตัวไว้เอาไว้ก่อน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับเป้าหมายหลักอีกครั้ง เริ่มลงมือจากคนรอบข้างที่ค่อนข้างปลอดภัยก่อน เขาแอบสืบมาเล็กน้อย พบตัวสหายคนหนึ่งของถานเย่าเสี่ยน จึงคิดหาทางผูกมิตรทำความรู้จักกับอีกฝ่าย ร่ำสุรากันเฮฮา อาศัยช่วงเมามายหลอกล่อให้คนผู้นี้มาหาถานเย่าเสี่ยนในยามวิกาล
การที่ให้คนผู้นี้มาหาถานเย่าเสี่ยนย่อมมิใช่จุดประสงค์ของเขา หากแต่เป็นเพราะเขาต้องการอาศัยจังหวะนี้สังเกตการณ์ดูเล็กน้อย ดูว่าถานเย่าเสี่ยนเป็นเพียงคนธรรมดาจริงหรือไม่ รอบข้างมีคนคอยสะกดรอยตามหรือไม่ โดยเฉพาะพวกผู้บำเพ็ญเพียร
มาตรว่าหนิวโหย่วเต้าจะบอกว่าตอนนี้เซ่าผิงปออ่อนแอ หรือแม้แต่ชายที่ดื่มจนเมามายผู้นั้นก็บอกว่าถานเย่าเสี่ยนเป็นคนธรรมดา ถึงกระนั้นเขาก็ยังระมัดรักษาตัวเป็นอย่างมาก
หลังสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ลู่เซิ่งจงถึงได้เบาใจลง ไถลตัวลงมาจากยอดไม้ อาศัยเงามืดของมุมกำแพงดอดจากไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อกลับมาอีกครั้ง เขาปรากฏตัวขึ้นในตรอกสายนี้อย่างสง่าผ่าเผย ในมือถือห่อสุราอาหารมาด้วย
ก่อนหน้านี้บอกชายที่ดื่มจนเมามายผู้นั้นไว้ว่าจะตามมาทีหลัง เขาใช้เวลาสังเกตการณ์นานถึงเพียงนั้น เสียเวลาไปไม่น้อย เขาจึงไปซื้อสุราอาหารเพื่อเอามาใช้เป็นข้ออ้าง
เมื่อมาถึงบ้านสกุลถานก็เคาะประตู
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถานเย่าเสี่ยนที่หน้าตาหล่อเหลาเปิดประตูออกมา เมื่อเห็นคนแปลกหน้าอยู่ที่ประตู ดวงตาฉายแววสงสัย เอ่ยถามว่า “ท่านคือ?”
ลู่เซิ่งจงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ท่านคือถานซยงกระมัง? ข้าคือหลี่จี๋ ถังซยงให้ข้ามาที่นี่ บอกว่าอยากแนะนำให้พวกเรารู้จักกัน”
“เอ่อ…” ถานเย่าเสี่ยนผงะไปเล็กน้อย เมื่อครู่ได้ยินคนผู้นั้นเอ่ยออกมา นึกว่าพูดจาตามประสาคนเมาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาจริงๆ
เมื่อเป็นบัณฑิตก็ย่อมมีมารยาท เขารีบประสานมือคำนับ “ที่แท้เป็นหลี่ซยงนี่เอง” จากนั้นเปิดประตูออกแล้วเชิญอีกฝ่ายเข้ามา
แล้วก็ไม่ได้นึกสงสัยหรือมีคำถามอันใดเลย อีกทั้งบ้านเขาก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรที่ล่อตาล่อใจคนได้ด้วย
หลังจากอีกฝ่ายเข้ามาแล้ว ถานเย่าเสี่ยนปิดประตู เชื้อเชิญเข้าไปนั่งในโถงรับแขกอย่างเป็นมิตร
ลู่เซิ่งจงสังเกตคนผู้นี้ จากนั้นสำรวจสภาพภายในบ้าน
เมื่อเข้ามาในโถงรับแขก ก็เห็นว่าแทบจะไม่มีเครื่องเรือนอันใดมากนัก บางอย่างดูเก่าโทรมอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน มองออกว่าเป็นคนยากจนคนหนึ่ง แล้วก็เห็นได้ว่าเจ้าของบ้านเป็นคนพิถีพิถันที่มีการศึกษา ยากจนเงินทองแต่ไม่จนปณิธาน
“เอ๊ะ ถังซยงไม่ใช่ว่ามาถึงก่อนแล้วหรือ? เหตุใดถึงไม่เห็นเขาล่ะ?” เมื่อเห็นว่าคนไม่ได้อยู่ในโถงรับแขก ลู่เซิ่งจงจึงเอ่ยถาม
ถานเย่าเสี่ยนยิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “ทันทีที่ถังซยงมา พอนั่งลงก็กรนขึ้นมาเลย ข้าจึงทำได้เพียงพยุงเขาไปพักผ่อนในห้องพักแขก”
ลู่เซิ่งจงร้อง “เฮ้อ” คำหนึ่ง จากนั้นบอกว่าจะไปดูสักหน่อย
ถานเย่าเสี่ยนจึงทำได้เพียงพาเขาออกมาจากโถงรับแขก มาที่ห้องพักแขกที่ดูเรียบง่ายห้องหนึ่ง
เมื่อเข้าไปด้านใน มองเห็นคนผู้หนึ่งนอนกรนอยู่บนเตียง บนร่างมีผ้าห่มเก่าๆ ผืนบางที่มีรอยเย็บปะคลุมไว้
ลู่เซิ่งจงก้าวเข้าไปหาคนที่นอนอยู่ “ถังซยง…ถังซยง…” ขณะที่ร้องเรียก เขาถือโอกาสลงมือสกัดจุดอย่างเงียบเชียบ ทำให้อีกฝ่ายยากจะตื่นขึ้นมาได้
“บอกว่าจะพาข้ามาพบสหาย แต่ตัวเขากลับหลับสนิทไปแล้ว แบบนี้ใช้ได้เสียที่ไหน!” ลู่เซิ่งจงยืนข้างเตียง เมื่อเห็นว่าปลุกคนไม่ตื่น ก็ส่ายหน้าถอนใจ
“เขาดื่มเยอะเกินไป” ถานเย่าเสี่ยนยิ้มออกมา ผายมือเชิญลู่เซิ่งจงกลับออกไปนั่งที่โถงรับแขก
เมื่อกลับมาที่โถงรับแขก ลู่เซิ่งจงชวนอีกฝ่ายคุยตามมารยาท แกะห่อสุราอาหารที่นำมา ถานเย่าเสี่ยนไปหยิบตะเกียบถ้วยชามในบ้านมาทันที สุดท้ายทั้งสองก็มานั่งร่ำสุราทำความรู้จักกัน
เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตหน้าขาวอย่างถานเย่าเสี่ยนคออ่อน สุรานี้ฤทธิ์ไม่แรงนัก แต่เพิ่งดื่มกับแขกไปไม่เท่าไรก็หน้าแดงแล้ว ได้แต่โบกมืออยู่ตรงนั้น สื่อว่าดื่มไม่ไหวแล้ว
แต่เมื่อสุราออกฤทธิ์ อีกทั้งสนิทสนมกันแล้ว การพูดจาจึงไม่ได้ดูระมัดระวังเหมือนอย่างในตอนแรกอีก ลู่เซิ่งจงลองถามหยั่งเชิงประโยคหนึ่ง “ได้ยินว่าถานซยงเชี่ยวชาญเรื่องบทกลอน ซ้ำยังเคยเข้าร่วมชุมนุมกวีที่บุตรสาวของท่านผู้ว่าการมณฑลเซ่าจัดขึ้นด้วยหรือ?”
ไม่เอ่ยถึงเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็ยังพอว่า แต่พอเอ่ยถึงเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ขึ้นมา ถานเย่าเสี่ยนที่เอาแต่โบกมือบอกว่าดื่มไม่ไหวแล้วกลับเป็นฝ่ายหยิบไหสุราไปรินสุราให้ตัวเอง ดื่มเข้าไปชามแล้วชามเล่า บ่นอุบอิบพึมพำกับตัวเอง ไม่นานก็ทำให้ตนเมามายเลื่อนลอย
ดวงตาลู่เซิ่งจงเป็นประกาย“ถานซยง ไยถึงเงียบเล่า?”
ถานเย่าเสี่ยนสะอึกออกมาคำหนึ่ง โบกมือพลางเอ่ยว่า “ใจเจ็บช้ำ ไม่อยากกล่าวถึงเท่านั้น” จากนั้นบนใบหน้าก็มีสีหน้าเศร้าใจ
ลู่เซิ่งจงยื่นมือไปคว้าไหสุรา ช่วยรินสุราให้เขา เอ่ยถามว่า “หรือข้ากล่าวอันใดผิดไป?”
ถานเย่าเสี่ยนส่ายหน้า “หลี่ซยงเข้าใจผิดแล้ว ชุมนุมกวีถูกยุบไปแล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์” กล่าวจบก็เชิดหน้าดื่มสุรารวดเดียวหมดชาม
ลู่เซิ่งจงรินสุราให้เขาอีก “เหตุใดจู่ๆ ถึงยุบไปเสียเล่า? หรือธิดาท่านผู้ว่าการมณฑลจะเบื่อเสียแล้ว?”
ถานเย่าเสี่ยนเงยหน้าทอดถอนใจ “ไม่เกี่ยวกับนาง สุดท้ายแล้ว เป็นข้าเองที่ไม่ได้เรื่อง…”
ทันทีที่เปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมา ผนวกกับฤทธิ์สุรา จึงเอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกมาโดยไม่ยั้งคิดแล้ว
ลู่เซิ่งจงได้ฟังก็แปลกใจ พอจะฟังความหมายในวาจาของอีกฝ่ายออกรางๆ ดูเหมือนคนผู้นี้จะเกิดจิตปฏิพัทธ์กับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เข้าแล้ว
ถานเย่าเสี่ยนคล้ายจะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามึนเมาจนไม่ได้สติ ยั้งปากตนเองไม่อยู่แล้ว
โอกาสดีเช่นนี้ ลู่เซิ่งจงไหนเลยจะยอมพลาดได้ หัวข้อสนทนาที่ถานเย่าเสี่ยนพยายามเลี่ยงถูกลู่เซิ่งจงลากกลับมาอีกครั้ง จงใจใช้คำพูดกระตุ้น ถานเย่าเสี่ยนเป็นบัณฑิตอ่อนต่อโลก ไหนเลยจะทันเล่ห์เหลี่ยมเขา เพียงครู่เดียวก็ถูกหลอกถามเรื่องราวระหว่างตนและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไปไม่น้อย
ได้พบหน้าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ครั้งแรกที่ชุมนุมกวี ทั้งสองบังเอิญชนกันในขณะก้มหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่หล่นอยู่บนพื้น เมื่อเงยหน้าสบตากัน ยามนั้นทั้งสองต่างจดจำอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ต่อมาอยู่ในชุมนุมกวีมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ถานเย่าเสี่ยนก็หลงรักเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ แต่เขาทราบดีว่าฐานะชาติตระกูลของตนไม่คู่ควรกับอีกฝ่าย จึงเก็บซ่อนไว้ในใจเรื่อยมา ไม่กล้าเผยความในใจออกมา แต่ใครจะไปรู้ว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์กลับใจกล้ากว่าเขามากนัก เป็นฝ่ายทำลายกำแพงก่อน เปิดเผยความในใจออกมา ถามว่าเขารู้สึกกับนางอย่างไร
ถานเย่าเสี่ยนยากจะควบคุมตัวเองได้ สารภาพรักออกไปเช่นกัน
หากเทียบกันแล้ว ถานเย่าเสี่ยนค่อนข้างมีอิสระ ทางบ้านของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ค่อนข้างเข้มงวด ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงได้แต่ต้องอาศัยการรวมตัวที่ชุมนุมกวีถึงจะได้พบหน้ากัน
ยามที่ได้อยู่ด้วยกัน เรื่องที่นอกลู่นอกทางที่สุดที่ทั้งสองเคยทำคือแอบจับมือกันอย่างเขินอายเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้ทำเรื่องเกินเลยมากกว่านั้น ที่สำคัญคือถานเย่าเสี่ยนค่อนข้างเคร่งครัดขนบธรรมเนียม ส่วนเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็ค่อนข้างเกรงกลัวพี่ใหญ่ผู้มีอำนาจที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของผู้อื่นได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของตนเองคนนั้น
ต่อมา ถานเย่าเสี่ยนอดทนต่อความทรมานที่ต้องอยู่ห่างกันไม่ไหว ได้บอกต่อเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ว่าเตรียมจะทำเรื่องไม่เจียมตัวด้วยการไปสู่ขอนางที่ตระกูลเซ่า
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรนางก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าพี่ชายของนางเป็นคนอย่างไร จึงให้ถานเย่าเสี่ยนอดทนรอไปก่อน บอกว่านางจะหาโอกาสเกลี้ยกล่อมคนที่บ้าน
ผลคือเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ยังไม่ทันได้เกลี้ยกล่อม กลับกลายเป็นว่าชุมนุมกวีถูกยุบเสียก่อน ต่อมาจึงไม่ได้พบหน้าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์อีกเลย
ฟังจากที่เซ่าหลิ่วเอ๋อร์พูดมา สาเหตุมาจากการที่เซ่าผิงปอพี่ใหญ่ของนางไม่เห็นด้วย เซ่าผิงปอคล้ายจะทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางแล้ว
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งจงก็เอ่ยด้วยความแปลกใจ “ถานซยง ท่านบอกว่าภายหลังไม่ได้พบคุณหนูเซ่าอีกมิใช่หรือ? แล้วไปได้ยินคุณหนูเซ่าเล่ามาจากไหน? หรือว่าหลังจากนั้นได้พบหน้ากันอีก?”
…………………………………………………………….