ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 226 เรียนหนังสือมาเสียเปล่า
ตอนที่ 226 เรียนหนังสือมาเสียเปล่า
เขานึกว่าถานเย่าเสี่ยนพูดเพ้อเจ้อด้วยความเมามาย
ถานเย่าเสี่ยนที่ใช้แขนข้างหนึ่งประคองศีรษะหัวเราะเยาะตัวเอง ดวงตาฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์สุรา ค่อยๆ กล่าวพึมพำออกมา “ใช้ใบไม้แห้งถ่ายทอดความในใจ…”
กระทั่งเขาเผยความจริงออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ลู่เซิ่งจงพลันพูดไม่ออกไปทันที พบว่าหนุ่มสาวที่อยู่ในห้วงแห่งความรักคู่นี้ช่างเก่งกาจจริงๆ เก่งกาจกว่าตัวเขาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าการป้องกันอันแน่นหนาของจวนผู้ว่าการมณฑลจะถูกหนุ่มสาวคู่นี้ทำลายลงเสียได้
ในสวนของจวนผู้ว่าการมณฑลมีคลองเชื่อมต่อกับด้านนอก คนผ่านเข้าไปไม่ได้ ทว่าใบไม้สามารถล่องผ่านเข้าไปได้ หนุ่มสาวคู่นี้สลักอักษรลงบนไบไม้ แล้วปล่อยใบไม้ล่องเข้าล่องออกเพื่อสื่อสารฝากความในใจ คลายความคะนึงหาระหว่างทั้งสอง
ทั้งสองนัดแนะกันไว้แล้วว่าช่วงที่ล่องใบไม้ หากใช้ใบไม้ใบเดียวเกรงว่าจะดูผิดสังเกต จึงเพิ่มเข้าไปให้มากหน่อย นี่ต้องมีแรงจูงใจมากเพียงใดถึงจะอดทนกระทำเรื่องประเภทนี้ได้
ถานเย่าเสี่ยนจะนำใบไม้ที่จัดเตรียมไว้ปล่อยให้ล่องไปตามสายน้ำ ส่วนเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็จะมารอเก็บใบไม้ที่ล่องมาในสวนตามช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ จากนั้นเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จะปล่อยใบไม้ที่สลักอักษรเอาไว้เรียบร้อยตามช่วงเวลาที่นัดแนะกันไว้อีกครั้ง ส่วนถานเย่าเสี่ยนก็จะมารอเก็บใบไม้ที่ล่องไปถึงปลายน้ำนอกจวนผู้ว่าการมณฑลตามช่วงเวลาที่นัดแนะไว้เช่นกัน
ทั้งสองติดต่อสื่อสารกันเช่นนี้มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ถานเย่าเสี่ยนจึงทราบว่าเรื่องที่ชุมนุมกวีถูกยุบมีความเกี่ยวข้องกับเซ่าผิงปอ ทราบว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถูกเซ่าผิงปอควบคุมเอาไว้ไม่ปล่อยให้ออกมา
เดิมทีถานเย่าเสี่ยนคิดจะพึ่งพาความกล้าของคนหนุ่มไปขอพบเซ่าผิงปอ ยอมทุ่มหมดหน้าตักเพื่อสู่ขอเซ่าหลิ่วเอ๋อร์อะไรทำนองนั้น
ผู้ใดจะทราบว่าความจริงที่ถาโถมเข้ามาจะทำให้เขาต้องล้มหน้าคว่ำ อย่างแรกคือเขาถูกโรงเรียนที่เขาสอนหนังสืออยู่ไล่ออก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปสมัครสอนหนังสือที่โรงเรียนอื่น ตัวเขาก็นับว่าพอมีชื่อเสียงในมณฑลเป่ยโจวอยู่บ้าง มิเช่นนั้นบัณฑิตยากไร้คนหนึ่งที่ไม่มีเงินและไม่มีฐานะชาติตระกูลคงไม่มีคุณสมบัติพอจะได้เข้าร่วมชุมนุมกวีของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ ดังนั้นจึงนับว่าพอหางานได้ไม่ยาก ทว่าปัญหาคือขณะที่เขาเพิ่งทำงานได้แค่ไม่กี่วัน นายจ้างก็หาข้ออ้างไล่เขาออกทันที
หากมีแค่แห่งเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่หลังจากนั้นยังคงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาเรื่อยๆ ภายหลังเขาถูกบีบคั้นจนไร้ทางออก ได้แต่ต้องเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นแทน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่
เมื่อเวลาผ่านไป เขาหางานทำไม่ได้ ถูกตัดแหล่งรายได้เลี้ยงชีพ ถูกความเป็นอยู่บีบคั้น เขาจึงเริ่มนำของใช้ในบ้านไปจำนำเพื่อยังชีพ ถึงพอจะอยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้
เขาเองก็ไม่โง่เช่นกัน ตระหนักได้แล้วเช่นกัน เกรงว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซ่า
ถึงแม้ตระกูลเซ่าจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่นี่ก็เท่าเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่เห็นด้วยที่เขาและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จะอยู่ด้วยกัน
เจตนาสื่อชัดเจนยิ่ง เจ้าเลี้ยงตัวเองยังไม่รอดด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาขอแต่งกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์?
ซึ่งในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนั้น กระทั่งการเลี้ยงชีพที่เป็นพื้นฐานยังเป็นปัญหา แล้วจะเอาอะไรไปทุ่มหมดหน้าตักกับเซ่าผิงปอ? อีกฝ่ายสะกิดจุดอ่อนเจ้าก็เพื่อเตือนสติเจ้า เจ้ายังจะวิ่งไปหาเขาเพื่อให้เขาพูดออกมาต่อหน้าอีกหรือ? ฐานะชาติตระกูลของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเกินไป
ยิ่งยากจนเท่าไรก็ยิ่งคิดถึงด้านนี้มากขึ้นเท่านั้น คิดว่าอาหารการกินตามปกติทั่วไปของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เป็นอย่างไรกันเล่า? ต่อให้ตระกูลเซ่าไม่ได้กดดันตน แล้วตนจะเลี้ยงดูนางไหวหรือ?
ในใจเศร้าหมอง ในที่สุดก็ถูกความเป็นจริงตอกหน้า จึงล้มเลิกความคิดนั้นไป ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดคือทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดต่อไปได้
เขาเองก็ทราบแล้วเช่นกัน หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงอยู่ในมณฑลเป่ยโจวต่อไปได้อีกไม่นาน ข้าวของในบ้านที่จำนำได้ก็ล้วนเอาไปจำนำจนแทบไม่เหลือแล้ว หากอยากอยู่รอดต่อไป อีกไม่นานเขาคงต้องเดินทางออกจากมณฑลเป่ยโจวแล้ว
เขาเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้วเช่นกัน หลังจากไม่เหลือข้าวของในบ้านให้จำนำแล้ว เขาจะนำบ้านที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่หลังนี้ขายทิ้งไป เก็บเงินก้อนหนึ่งเป็นค่าเดินทาง ไปจากบ้านเกิดแห่งนี้ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว สมควรตื่นจากความฝันที่ไม่มีทางเป็นความจริงได้แล้ว!
พอเล่ามาถึงตรงนี้ ถานเย่าเสี่ยนก็น้ำตาไหล ฟุบลงไปนอนบนโต๊ะ เพียงแต่ยังคงพึมพำออกมาคล้ายละเมอว่า “หลิ่วเอ๋อร์…หลิ่วเอ๋อร์…”
“ถานซยง…ถานซยง…” ลู่เซิ่งจงเขย่าไหล่อีกฝ่าย ตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง ปลุกไม่ตื่นเลย อีกฝ่ายหลับไปจริงๆ แล้ว
ลู่เซิ่งจงกลับมานั่งที่ของตน นับว่าพอจะมองออกแล้ว คนผู้นี้ถูกบีบคั้นจนมาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่ยอมจากไป ยังคงต้องการรอจนกว่าในบ้านจะไม่เหลือข้าวของให้จำนำแล้วถึงจะจากไป มองออกว่าในใจยังคงปล่อยวางเรื่องเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ ยังคงโอบกอดความหวังเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้อยู่
เมื่อได้ยินเสียงละเมอเพ้อพกของถานเย่าเสี่ยนที่หลับไปแล้ว ลู่เซิ่งจงส่ายหน้า รู้สึกว่าน่าขบขันนัก
เขาพบว่าคนผู้นี้ช่างคร่ำครึเสียจริง เกี้ยวพาได้หัวใจเซ่าหลิ่วเอ๋อร์มาแล้ว แต่กลับไม่คิดจะปีนป่ายใฝ่สูงไปพึ่งพาอำนาจบารมีของตระกูลเซ่าเลย กลับเอาแต่คิดเรื่องที่ตนเองเลี้ยงดูเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ไหว ตัวเองทรมานตัวเอง หาเรื่องทำให้ตัวเองลำบากเอง หากเจ้าได้แต่งกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จริงๆ เมื่อมีตระกูลเซ่าอยู่ เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ยังจะเป็นปัญหาอีกหรือ? มัวแต่กังวลในเรื่องที่ไม่จำเป็น!
แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายหลักเหตุผลนี้กับถานเย่าเสี่ยน พูดเรื่องพวกนี้กับบัณฑิตที่หยิ่งในศักดิ์ศรีไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายกลับจะคิดว่าเจ้ากำลังดูถูกเขาอยู่ คนประเภทนี้ต้องปล่อยให้ไปเผชิญชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงในอนาคตจนยอมแพ้จริงๆ ก่อน เขาถึงจะยอมก้มหัวลงมา
ลู่เซิ่งจงลุกขึ้นเดินไปเดินมาในบ้าน ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เดิมทีมาเพื่อสืบดูนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะสืบพบเรื่องแบบนี้
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นอู่เทียนหนานถึงไม่ยอมพูด ไม่ใช่ว่าไม่ยอมพูด แต่เป็นเพราะกริ่งเกรงในอำนาจตระกูลเซ่าจึงไม่กล้าพูดเหลวไหล
แม้แต่อู่เทียนหนานก็ยังมองออก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างถานเย่าเสี่ยนและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ในชุมนุมกวีนั้นมิใช่ความลับอะไรเลย คนอื่นมองออกตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนโง่ทั้งสองที่เป็นเจ้าของเรื่องกลับนึกว่าไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น เรียกได้ว่าคนในมองไม่ชัด แต่คนนอกกลับมองเห็นทะลุปรุโปร่ง!
เรื่องที่ทำให้ลู่เซิ่งจงสงสัยคือเซ่าผิงปอมิใช่คนมีจิตเมตตาอันใด เป็นคนลงมือโหดเหี้ยมเด็ดขาด ทั้งที่ไม่เห็นด้วย แต่ถานเย่าเสี่ยนคนนี้กลับยังอยู่รอดปลอดภัยอยู่ในมณฑลเป่ยโจวอย่างนั้นหรือ? หากบอกว่าเซ่าผิงปอคร้านจะมาสนใจ อย่างนั้นเหตุใดต้องใช้วิธีการเช่นนี้มาจัดการกับคนตัวเล็กๆ อย่างถานเย่าเสี่ยนด้วย
……
วันรุ่งขึ้น ถานเย่าเสี่ยนที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนงง ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา นึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นได้ ตนน่าจะดื่มมากเกินไป
เขามองซ้ายมองขวา เป็นห้องนอนของตัวเอง ไม่ทราบเช่นกันว่าตนกลับมานอนที่ห้องได้อย่างไร
เขาเคาะศีรษะที่ค่อนข้างปวดเล็กน้อย รู้สึกว่าเมื่อคืนดื่มเยอะไปจริงๆ ไม่เคยดื่มสุรามากขนาดนั้นมาก่อนเลย
เขาได้กลิ่นโจ๊กโชยมาจากด้านนอก จึงใส่รองเท้า สวมเสื้อคลุมตัวนอก เปิดประตูออกไป เดินออกไปด้านนอกแสงตะวันส่องแยงตา เวลานี้ถึงได้พบว่าตนหลับยาวจนถึงยามเที่ยงแล้ว
“ถานซยงตื่นแล้วหรือ?”
ถานเย่าเสี่ยนได้ยินเสียงจึงหันไปมอง เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา หากมิใช่หลี่ซยงที่มานั่งดื่มกับเขาเมื่อคืนแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้?
เขาค่อนข้างประดักประเดิด ไม่อยากเสียมารยาทต่อหน้าแขก รีบดึงเสื้อคลุมตัวนอกที่อยู่บนร่างมาผูกให้เรียบร้อย
หลังจากเรียนหนังสือรู้มารยาท น้อยครั้งนักที่เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นในสภาพที่สวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
จากนั้นเขารีบเดินเข้าไปพลางประสานมือ เอ่ยว่า “หลี่ซยง เป็นข้าที่เสียมารยาท”
ลู่เซิ่งจงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “ปลดปล่อยเสียบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา ถานเย่าเสี่ยนก็เอ่ยถาม “ถังซยงเล่า?”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาตื่นแต่เช้าแล้ว เห็นท่านหลับสนิทอยู่ จึงกลับไปแต่เช้าตรู่ บอกว่าวันหลังจะมาหาท่านใหม่”
ถานเย่าเสี่ยนตบหน้าผากเล็กน้อย ถอนหายใจ ตนรับรองแขกไม่ได้เรื่องเลย
ลู่เซิ่งจงชี้ไปทางห้องครัว “ข้าต้มโจ๊กไว้ในหม้อ รอถานซยงตื่นมากิน ถานซยงไปล้างหน้าล้างตาเถอะ”
ถานเย่าเสี่ยนประสานมืออย่างกระอักกระอ่วน รีบออกไปล้างหน้าล้างตาโดยเร็ว
กระทั่งเขาจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ลู่เซิ่งจงเองก็ยกโจ๊กหม้อใหญ่มาวางที่โถงรับแขกแล้ว ทั้งสองพูดคุยกันพลางนั่งกินกันไปช้าๆ
บนโต๊ะเองก็ไม่มีผักอะไรที่จะใส่ลงไปในโจ๊กได้ ในห้องครัวมีเพียงผักดองเล็กน้อย ลู่เซิ่งจงรู้ว่าฐานะของเขาไม่ดี จึงได้แต่ฝืนใจทนกินไปด้วย
ถานเย่าเสี่ยนกินอย่างมีมารยาท กลับเข้ากับบุคลิกบัณฑิตที่ดูสะอาดสะอ้านของเขา
ถ้อยคำบางอย่างเดิมทีคิดจะรอให้เขากินเสร็จก่อนแล้วค่อยพูด แต่เมื่อเห็นวิธีกินที่เชื่องช้าละเมียดละไมแบบนี้ของเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกินเสร็จตอนไหน ลู่เซิ่งจงจึงได้แต่ต้องเสียมารยาท เอ่ยไปว่า “ใช้ใบไม้ถ่ายทอดความในใจ ถานซยงฉลาดนัก”
ถานเย่าเสี่ยนเงยหน้าขึ้นด้วยความตะลึง จ้องมองเขาอย่างประหม่า เอ่ยถาม “วาจานี้ของหลี่ซยงหมายความว่าอย่างไร?”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยยิ้มๆ “ถานซยง เมื่อคืนท่านดื่มมากไป เล่าเรื่องบางอย่างที่อยู่ในใจออกมา เรื่องของท่านกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ข้ารู้หมดแล้ว”
สีหน้าถานเย่าเสี่ยนแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ลุกพรวดขึ้นทันที แววตาค่อนข้างลนลาน ภายในใจนึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง กล่าวโทษตัวเองที่เมาจนทำเสียเรื่อง!
ลู่เซิ่งจงกดมือลง สื่อให้เขานั่งลง “ถานซยงจริงใจกับข้า ข้าเองก็ไม่มีทางนำออกไปพูดเหลวไหลหรอก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวล”
ถานเย่าเสี่ยนเม้มปากแน่น กำตะเกียบในมือแน่น ก้มหน้าแล้วค่อยๆ นั่งลง
แต่ผู้ใดจะทราบว่าขณะที่ก้นเพิ่งสัมผัสกับม้านั่งไม้ เขาก็ได้ยินลู่เซิ่งจงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “แต่ขออภัยที่ข้าจำต้องกล่าววาจาอันไม่สมควรเสียหน่อย คนอย่างถานซยงเนี่ย ทำให้ข้ารู้สึกดูแคลนยิ่งนัก ร่ำเรียนหนังสือมาเสียเปล่า แต่กลับกระทำตัวเป็นคนถ่อย!”
“เอ่อ…” ถานเย่าเสี่ยนเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง
ลู่เซิ่งจงเอ่ยเสริมต่อว่า “อีกฝ่ายเป็นอิสตรี ยังกล้าเผยความในใจต่อท่านก่อนเลย แต่ท่านล่ะ? ถานซยง ที่นางกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะท่าน สูญเสียอิสระออกไปไหนไม่ได้นั่นเป็นเรื่องเล็ก แต่นางเป็นสตรีมีชาติตระกูล มาผูกสมัครรักใคร่กับท่าน ชื่อเสียงอันดีงามป่นปี้อยู่ในมือท่านแล้ว วันหน้าจะให้นางออกเรือนอย่างไร? เคยลักลอบคบหากับชายอื่นมาแล้ว หากสามีในอนาคตของนางทราบเข้าจะมองนางอย่างไร? ทางบ้านจะลงโทษนางอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ไม่รู้เลยว่านางจะได้รับความขุ่นข้องหมองใจเพียงใด นางกลัวว่าท่านจะเป็นห่วง เคยมาบ่นให้ท่านฟังบ้างหรือไม่?”
ถานเย่าเสี่ยนลุกพรวดขึ้นมาอีกครั้ง ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างสะเทือนอารมณ์ สีหน้าขมขื่น เต็มไปด้วยความรู้สึกโทษตัวเอง
ลู่เซิ่งจงเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “แล้วตัวท่านล่ะถานซยง? รู้ดีว่าคุณหนูเซ่ายอมลำบากเพื่อท่าน แต่กลับไม่รู้จักคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา ไม่รู้จักหาทางต่อสู้เพื่อนาง ดีแต่หดหัว ห่วงหน้าพะวงหลัง ปล่อยให้สตรีคนหนึ่งต้องทนทุกข์ทรมานไปเงียบๆ เพื่อศักดิ์ศรีอันน้อยนิดที่น่าสมเพชของตัวเอง ถึงขนาดคิดจะหนีไป ปล่อยให้คุณหนูเซ่าต้องแบกรับความทุกข์ยากทั้งหมดไว้เพียงคนเดียว! ถานซยง ท่านยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า? หากท่านมิใช่คนถ่อยแล้วจะเป็นอะไรได้? เป็นคนถ่อยที่ไร้คุณธรรมแล้งน้ำใจ เห็นแก่ตัว ตำราทั้งหมดที่ร่ำเรียนมาคงลงท้องสุนัขไปหมดแล้วกระมัง!” เขาชี้หน้าด่าทออีกฝ่าย
ถานเย่าเสี่ยนยากจะทนรับความละอายจากการถูกด่าทอไหว เขาก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด “เป็นข้าที่ไม่คู่ควรกับนาง!”
ลู่เซิ่งจงถามจี้ต่อทันที “ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่คู่ควรกับนาง แล้วเหตุใดถึงไปเกี้ยวพานาง? ท่านมีแผนร้ายอันใดอยู่? หากท่านใจซื่อมือสะอาดไร้ความคิดสกปรกแอบแฝง ท่านก็สมควรปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไปตั้งแต่ตอนนั้น ตัดขาดแต่แรกซะ จะได้ไม่ทำให้ชื่อเสียงของนางต้องมัวหมอง และนางก็จะได้ไม่ต้องเผชิญกับวิบากกรรมเช่นนี้ ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าตอนนั้นไม่ได้มีความคิดไม่ซื่อตรงต่อคุณหนูเซ่าเลย? เกี้ยวพาได้ใจนางมาแล้วกลับมาบอกว่าตนไม่คู่ควร ท่านจะต่างกับคนถ่อยต่ำช้าที่เล่นเบื่อแล้วก็ทิ้งเหล่านั้นตรงไหน?”
ถานเย่าเสี่ยนหลับตาลง น้ำตาอุ่นๆ สองสายไหลอาบหน้า เงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจยาวๆ “หลี่ซยง ท่านอย่าได้พูดอีกเลย เป็นข้าเองที่ทำร้ายนาง เป็นความผิดของข้า ตายนับหมื่นครั้งก็ยากจะชดใช้ได้!”
“เฮ้อ!” ลู่เซิ่งจงถอนใจ เดินอ้อมโต๊ะเข้ามา ยื่นมือไปตบไหล่เขา “ถานซยง วาจาอาจระคายหูไปบ้าง แต่ว่ากันตามหลักแล้ว มันก็ไม่ใช่หน้าที่คนนอกอย่างข้าที่จะมาพูดจาระคายหูเช่นนี้เลย แต่ในเมื่อเมื่อคืนถานซยงเปิดใจเล่าให้ข้าฟังอย่างจริงใจแล้ว แล้วจะให้ข้าทนมองถานซยงหลงทางเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร! ถานซยงลองไตร่ตรองดูดีๆ ท่านมีคุณธรรมความสามารถอันใด? ท่านมีอำนาจมีอิทธิพลหรือว่ามีทรัพย์สินเงินทอง? ในเมื่อคุณหนูเซ่าตกลงปลงใจกับท่านแล้ว ไยต้องพะวงยึดติดกับของนอกกายเหล่านั้นด้วยเล่า?”
………………………………………………………………………..