ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 229 หุงข้าวสารเป็นข้าวสุก
ตอนที่ 229 หุงข้าวสารเป็นข้าวสุก
ถานเย่าเสี่ยนส่ายหน้า เขาไม่คิดว่าตนได้รับความเดือดร้อนเพราะนาง เพียงแค่ได้พบนาง เขารู้สึกว่าถึงได้รับความคับข้องใจแค่ไหนก็คุ้มค่าแล้ว เขาไม่อยากจะแยกจากนางไปเลยจริงๆ
ด้วยความสะเทือนอารมณ์ เขากุมมือเรียวงามของนางไว้ เอ่ยโพล่งออกไป “หลิ่วเอ๋อร์ ไปกับข้าเถอะ!”
“ไป?” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ผงะไปเล็กน้อย คล้ายจะเข้าใจความหมายของเขา จึงเอ่ยถาม “พวกเราจะไปไหนได้?”
ถานเย่าเสี่ยนรีบเอ่ยขึ้นมา “ออกจากเป่ยโจว ไปยังสถานที่สักแห่งที่บ้านเจ้าตามหาไม่พบ ข้าจะดีต่อเจ้าไปชั่วชีวิต เจ้ายินดีไปกับข้าหรือไม่?”
ส่วนเรื่องที่ลู่เซิ่งจงบอกให้หุงข้าวสารเป็นข้าวสุกอันใดนั่นถูกเขาโยนออกไปจากหัวตั้งนานแล้ว
จะให้เขาหลอกเซ่าหลิ่วเอ๋อร์กระทำเรื่องต่ำช้าไร้ยางอายแบบนั้นก่อน เขาทำไม่ลงจริงๆ ตอนนี้เขาไม่มีความคิดต่ำช้าเช่นนั้นอยู่ในหัวเลย คิดเพียงว่าอยากจะพานางหนี การไม่แยกจากกับนางสิถึงจะเป็นสิ่งที่ตนต้องการ
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์มองเขาด้วยความตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
ถึงแม้นางจะเป็นคนหุนหันพลันแล่นกับความรักเช่นกัน แล้วก็เป็นนางที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน แต่นางก็มีเหตุมีผลมากกว่าเขา
ตระกูลเซ่าประสบคลื่นมรสุม ทรยศแคว้นเยี่ยนไปเข้ากับแคว้นหาน อีกทั้งยามนี้ยังจัดตั้งกองกำลังของตัวเองขึ้นมาอีก นางได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้กับตาตัวเอง เคยเห็นความโหดร้ายตอนที่กองทัพทำศึกสงครามกัน เคยเห็นผู้คนล้มตายเป็นผักปลา เคยเห็นโลหิตนองเป็นสายน้ำ ทราบดีว่าอะไรคืออันตราย มุมมองที่มีต่อโลกของนางไม่ใช่สิ่งที่บัณฑิตอ่อนต่อโลกอย่างถานเย่าเสี่ยนจะเทียบได้ นางรู้ดีว่ามณฑลเป่ยโจวอยู่ในการควบคุมของตระกูลเซ่า พี่ใหญ่คนนั้นของนางก็ยิ่งไม่ธรรมดา ไหนเลยจะหนีรอดได้ง่ายดายปานนั้น โดยเฉพาะหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่ไม่มีความสามารถอันใดอย่างพวกนางสองคน จะหนีรอดได้อย่างไร?
ต่อให้หนีไปได้ แล้วจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันวุ่นวายนี้ได้อย่างไร?
ดวงตาถานเย่าเสี่ยนฉายแววผิดหวังเล็กน้อย “ไม่ยินดีหรือ?”
“ไม่ ข้ายินดี!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์รีบส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “แต่พวกเราจะไปที่ใดเล่า?”
ถานเย่าเสี่ยนตอบว่า “ออกจากเป่ยโจว ไปยังสถานที่สักแห่งที่ครอบครัวเจ้าตามหาไม่พบ”
“ได้!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ฝืนยิ้ม จู่ๆ ก็กางแขนทั้งสองข้างโอบรัดคอเขา ดึงตัวเขาเข้ามาจนศีรษะแนบกัน
เมื่อเห็นว่านางตอบตกลงแล้ว ถานเย่าเสี่ยนก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง โอบกอดนางไว้แน่น ราวกับได้ครอบครองโลกทั้งใบ ถึงตายก็ไม่เสียใจ
แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่ซบไหล่เขากำลังมีสีหน้าลำบากใจเพียงใด นางไม่คิดว่าพวกนางจะหนีรอดไปได้
แต่นางเองก็พอจะเข้าใจความใสซื่อของถานเย่าเสี่ยนเช่นกัน และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่นางชอบเขา ดังนั้นนางจึงตอบตกลงทั้งๆ ที่รู้ว่ายากจะหนีรอดได้ เพราะนางไม่อยากทำให้เขาเสียใจ
“ท่านยินดีจะแต่งข้าหรือไม่?” จู่ๆ เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็กระซิบถามข้างหู
ถานเย่าเสี่ยนพยักหน้าโดยไร้ซึ่งความลังเล “ยินดี!”
“ครอบครองข้าเถอะ!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กัดริมฝีปากพลางกล่าวเสียงแผ่ว
“หือ?” ถานเย่าเสี่ยนมึนงงไม่เข้าใจ ดวงตาทอแววสงสัย
“ให้ข้ากลายเป็นคนของท่าน” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กระซิบริมหูเขา เงยหน้าขึ้นมาจากไหล่เขา ทั้งสองสบตากัน
ถานเย่าเสี่ยนเบิกตากว้าง ทั้งตกใจ และตกตะลึง
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เป็นฝ่ายปล่อยแขนทั้งสองข้างออกก่อน คลายสายรัดเอวออกด้วยตัวเอง
นางไม่อยากเลิกรากับถานเย่าเสี่ยน แต่นางก็ทราบดีเช่นกัน การหนีออกมาจากตระกูลเซ่าด้วยวิธีนี้ไม่ใช่แผนการระยะยาว อีกไม่นานตระกูลเซ่าต้องรู้แน่
หากปล่อยให้ตระกูลเซ่าพบตัวนาง เกรงว่าชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้พบหน้าพี่ถานอีกเลย ดีไม่ดีอาจจะทำให้พี่ถานมีภัยถึงชีวิตด้วย
นางไม่คิดว่าพวกนางสองคนจะหนีรอดไปได้ นางเองก็ทราบเช่นกันว่าทันทีที่ตระกูลเซ่าหาตัวนางพบ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้นางได้มีโอกาสหนีรอดอีกเป็นครั้งที่สอง
ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกที่จะใช้วิธีเปลี่ยนไม้ให้เป็นเรือไปรับมือกับตระกูลเซ่า
ความหวังจะทำข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกของลู่เซิ่งจง ถานเย่าเสี่ยนไม่ได้ทำ สุดท้ายกลายเป็นเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่ตัดสินใจทำเอง เรื่องนี้เกรงว่าต่อให้ลู่เซิ่งจงนอนหลับฝันก็ไม่มีทางคิดถึงแน่
การได้มีสัมพันธ์ทางกายครั้งแรกทำให้ทั้งสองไม่อยากแยกจากกัน แต่ถานเย่าเสี่ยนกลับใจเย็นลงบ้างแล้ว คิดว่าการพาเซ่าหลิ่วเอ๋อร์หนีถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ เวลานี้เพิ่งจะนึกถึงวาจาที่ลู่เซิ่งจงเอ่ยกำชับขึ้นมาได้
“หลิ่วเอ๋อร์ พวกเราต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไปจากเป่ยโจว!” ถานเย่าเสี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น
“อื้ม!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์แย้มยิ้มพยักหน้ารับ คล้อยตามเขาแล้ว
ถึงแม้นางไม่คิดว่าจะหนีรอดไปได้ แต่ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันถึงขั้นนี้แล้ว นางเองก็สบายใจแล้ว จะหนีรอดหรือไม่ นางไม่สนใจแล้ว ว่าตามพี่ถานไปแล้วกัน หากว่าตกไปอยู่ในกำมือของตระกูลเซ่า นางค่อยออกมาบอกความจริงกับพวกเขา ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องเหล่านี้จนทำให้พี่ถานเห็นความโง่เขลาของตัวเอง
ทั้งสองรีบแต่งเนื้อแต่งตัว จูงมือกันเดินออกประตูไป
ถานเย่าเสี่ยนคอยประคองเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ขึ้นรถม้า มุดเข้าไปในรถม้าด้วยกัน นั่งอยู่ในรถม้าด้วยกัน ไม่เคยปล่อยมือนางเลย สีหน้าเผยให้เห็นถึงความปรารถนาที่มีต่อความสุข
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ในรถม้าก็มองเขาอย่างไม่ละสายตาเช่นกัน สีหน้าและอารมณ์เต็มไปด้วยความหวานชื่น
จนกระทั่งรถม้าเริ่มออกวิ่ง โคลงเคลงขึ้นมา เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถึงได้แหวกม่านหน้าต่างมองไปด้านนอก หันกลับมาเอ่ยถาม “พี่ถาน นี่พวกเราจะไปที่ใดหรือ?”
ถานเย่าเสี่ยนตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจ “ใช้ทางลัดไปที่แม่น้ำผิงหลาน เดินทางด้วยเรือ ล่องแม่น้ำไปยังแคว้นซ่ง ขอเพียงเข้าเขตแคว้นซ่งไปได้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว หนีออกจากเขตมณฑลเป่ยโจวไปให้ได้ก่อน พอถึงเวลาค่อยคิดหาทางตั้งตัว เจ้าวางใจเถอะ มีเรือรอรับอยู่ที่แม่น้ำแล้ว ข้าจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว!”
นี่ก็เป็นความคิดของลู่เซิ่งจงเช่นกัน เขากังวลว่าหากความแตกขึ้นมา ตระกูลซ่งจะนึกสงสัยทางหนิวโหย่วเต้าทันที เส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นเยี่ยนจะถูกปิดกั้นเป็นอันดับแรก ด้านการติดตามค้นหาก็เป็นไปได้สูงว่าจะมุ่งไปทางแคว้นเยี่ยนเช่นกัน เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางไปที่แคว้นซ่ง แบบนี้จะมีโอกาสสำเร็จมากกว่า เรื่องที่เหลือหลังจากนั้นค่อยยกให้ทางหนิวโหย่วเต้าไปจัดการ
“มีเรือรอรับหรือ?” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ดูแปลกใจเล็กน้อย กวาดสายตามองดูถานเย่าเสี่ยนจากหัวจรดเท้า คล้ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
ว่ากันตามตรง ตัวนางคิดว่าตนเองรู้สึกคนผู้นี้ดี พี่ถานเป็นคนเช่นไรนางทราบดี ไหนเลยจะมีความสามารถในการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมได้?
นางถามด้วยความฉงน “ท่านจัดการไว้หมดแล้วหรือ? แม่น้ำผิงหลานเกรงว่าจะมีระยะห่างจากที่นี่ห้าสิบลี้ ท่านเตรียมการในสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบลี้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
ถานเย่าเสี่ยนยิ้มอย่างเคอะเขิน “หลิ่วเอ๋อร์ ข้าไม่ขอปิดบังเจ้า ครั้งนี้ข้าได้รับความช่วยเหลือจากสหายคนหนึ่ง หากไม่มีสหายคนนี้ช่วยวางแผนให้ เกรงว่าพวกเราคงไม่ได้พบกัน…” เขาเล่าเหตุการณ์ที่ได้พบหน้าทำความรู้จักกับหลี่ซยงให้นางฟัง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีการปิดบังใดๆ แม้แต่น้อย
หลี่ซยงหรือ? ในใจเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เกิดความระแวงขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าคนผู้นี้ไว้ใจได้?”
ถานเย่าเสี่ยนพยักหน้าเอ่ยรับรอง “เจ้าวางใจเถอะ ไว้ใจได้แน่นอน เขาช่วยข้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้งตัวข้าก็ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้เขาได้ ข้ากับเขาคบหากันด้วยมิตรภาพลูกผู้ชาย ไร้ผลประโยชน์เข้ามาข้องเกี่ยว”
ไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยอย่างนั้นหรือ? เซ่าหลิ่วเอ๋อร์อยากถามเขายิ่งนัก ล่วงเกินตระกูลซ่งในมณฑลเป่ยโจว ท่านคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ หรือ? เขาไม่ได้ประโยชน์อันใดจากท่าน เพิ่งรู้จักกันก็ยอมเสี่ยงอันตรายเช่นนี้มาช่วยท่านอย่างนั้นหรือ?
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์อึกอักลังเลที่จะพูด อีกทั้งไม่สะดวกจะว่าอะไรเขา สุดท้ายก็ค่อยๆ โน้มตัวลงไปซุกในอ้อมอกเขา ปล่อยให้เขาโอบกอด ทว่าในใจกลับปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกที่มืดครึ้มแล้ว
ถานเย่าเสี่ยนกลับก้มหน้าลงมาจุมพิตนางเป็นระยะ มองออกว่ามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ราวกับได้ครอบครองสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลกแล้ว ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เองก็เพลิดเพลินกับสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อตนเองเช่นกัน เพียงแต่การปรากฏตัวขึ้นของ ‘หลี่ซยง’ คนนั้น ทำให้นางยากจะคลายความกังวลได้ ในใจมีความวิตกกังวลปรากฏอยู่เลือนราง
นางกำลังไตร่ตรองอยู่ ในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะเกลี้ยกล่อมพี่ถานอย่างไรว่าอย่าเชื่อใจสหายคนนั้นโดยไม่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา
ในป่าที่อยู่ข้างทาง ลู่เซิ่งจงแอบสะกดรอยตามรถม้ามาอย่างเงียบเชียบ สังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านตลอดเวลา เตรียมพร้อมว่าหากเกิดความผิดปกติขึ้น เขาก็จะเข้าไปชิงตัวเซ่าหลิ่วเอ๋อร์มาทันที ถ้าไม่จับเป็นตัวประกันก็พาตัวไปเลย
แต่แน่นอน ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือยังคงหวังว่าทั้งสองจะไปถึงแม่น้ำผิงหลานได้อย่างราบรื่น ขอเพียงขึ้นเรือไปแล้ว ล่องไปตามแม่น้ำใหญ่ ต่อให้ทหารไล่ตามมา เขาก็ดำหนีลงไปในน้ำได้ทุกเมื่อ เมื่ออยู่ในแม่น้ำสายใหญ่แล้ว การคิดจะจับกุมเขาหาได้ง่ายดายขนาดนั้นไม่ ในจุดนี้เขาค่อนข้างมีความมั่นใจ
……
ณ จวนผู้ว่าการมณฑล ในคุกใต้ดิน เซ่าซานเสิ่งเข้ามาอีกครั้ง ข้างกายมีคนผู้หนึ่งที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำ มีหมวกห้อยปรกลงมา มองไม่เห็นใบหน้า
เมื่อมาถึงห้องขังที่คุมตัวเซ่าผิงปอไว้ เซ่าซานเสิ่งส่งสัญญาณเล็กน้อย ผู้คุมเปิดประตูคุกให้ ก่อนจะถอยออกไปพร้อมกับทหารยาม
ภายในคุก เซ่าผิงปอที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
เซ่าซานเสิ่งก้าวเข้าไปกระซิบรายงานประโยคหนึ่ง “คุณชายใหญ่ คุณหนูซูมาแล้วขอรับ”
เซ่าผิงปอลุกขึ้น เซ่าซานเสิ่งรายงานแล้วถอยออกไป ให้ทั้งสองคนได้อยู่กันตามลำพัง
คนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำที่ยืนอยู่นอกห้องขังถึงจะเดินเข้ามาในห้องขัง เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่ง ก่อนจะยกมือเลิกเปิดหมวกผ้าที่คลุมใบหน้าขึ้น
ดวงหน้างดงามทรงเสน่ห์ สดใสยวนใจคน เป็นซูจ้าวญาติผู้พี่ของเซ่าผิงปอ
เซ่าผิงปอยิ้มขึ้นมา “พี่จ้าว ปีกทองกว่าจะบินไปถึงแคว้นฉีก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยเช่นกัน เหตุใดท่านถึงมาเร็วขนาดนี้ หรือว่าบังเอิญอยู่ระหว่างทางพอดี?”
ซูจ้าวเอ่ยยิ้มๆ “ได้ยินว่าเจ้าอยู่ในสถานการณ์คับขัน ก็เลยเอาพาหนะของหลวงมาใช้ เอาวิหคของสมาคมมาทุ่นแรง ”
เซ่าผิงปอขมวดคิ้วนิดๆ “แบบนี้จะไม่เป็นไรหรือ?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” ซูจ้าวกวาดตามองดูสภาพแวดล้อมภายในห้องขังเล็กน้อย “อยู่ได้ไหม?”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “ใจไม่สงบ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”
ซูจ้าวพยักหน้า “เรื่องรายละเอียดที่เกิดขึ้น เมื่อครู่ข้าได้ฟังจากเหล่าเซ่าแล้ว หนิวโหย่วเต้าคนนั้นช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ แล้วก็โชคดีที่เจ้าตอบสนองว่องไว แต่หากจะว่าไปแล้ว การที่พวกเจ้าทั้งสองดึงดันจะเล่นงานอีกฝ่ายให้ถึงตายนี่มันหมายความว่าอะไร? ถึงอี๋คนนั้นมีเสน่ห์ต่อพวกเจ้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ? เจ้าทำแบบนี้จะให้ข้ารู้สึกอย่างไร?”
เซ่าผิงปอถอนหายใจ เอ่ยไปว่า “พี่จ้าว ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้สนใจถังอี๋ ต่อให้ไม่มีถังอี๋ ช้าเร็วข้าก็ต้องปะทะกับเขาอยู่ดี เพียงแต่เป็นเพราะถังอี๋ การปะทะจึงเกิดเร็วขึ้นเท่านั้น ในอนาคตคนผู้นี้จะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ของข้าอย่างแน่นอน”
ซูจ้าวกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าไม่คิดจะปล่อยเขาไป ที่ผ่านมาเจ้าให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่จะถือสาหาความกับคนผู้หนึ่งถึงขนาดนี้”
เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าข้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อยเขา หากแต่เป็นเขาที่ไม่ยอมปล่อยข้า ท่านเชื่อหรือไม่ ขนาดอยู่ในมหานครเป่ยโจวเช่นนี้ เขาก็ยังหาโอกาสลงมือกับข้าได้ มิเช่นนั้นข้าก็คงจะไม่เชิญท่านให้ถ่อกลับมาถึงนี่เช่นกัน พี่จ้าว บางทีท่านอาจจะไม่เข้าใจสักเท่าไร แต่ข้ารู้ดี นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าปะทะกับเขา ต่างคนต่างรู้แก่ใจดี เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ระหว่างข้ากับเขามีเพียงคนเดียวที่จะเหลือรอดไปได้!”
ซูจ้าวเอ่ยเสียงราบเรียบ “ขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง แต่เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
“……..” เซ่าผิงปอพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าจะโดยดูแคลนตรงๆ แบบนี้ เขาฝืนฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า “พี่จ้าวรู้จักเขาดีหรือ?”
……………………………………………………..