ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 232 ตกม้าตาย
ตอนที่ 232 ตกม้าตาย
ลู่เซิ่งจงที่นั่งขัดสมาธิอยู่สบตากับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่ว่ายอยู่ในน้ำ เรือยังคงล่องตามแม่น้ำต่อไปเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ทิ้งระยะห่างกันไป
เห็นเขานั่งนิ่งอยู่ที่ท้ายเรือไม่ขยับเขยื้อน คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะติดกับแล้ว เซ่าหลิ่วเอ๋อร์จึงถอนใจด้วยความโล่งอก หันกลับไปทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อว่ายน้ำเข้าไปหาถานเย่าเสี่ยนที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนผิวน้ำ
ถุงลมหนังแกะถูกดันเข้าไป มือที่ตะเกียกตะกายอยู่บนผิวน้ำคว้าเชือกตาข่ายที่อยู่ด้านบนเอาไว้ เสมือนคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ ถานเย่าเสี่ยนที่ในที่สุดศีรษะก็โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำได้พยายามปีนป่ายอย่างสุดกำลัง ปีนขึ้นมาก็ร่วงตกลงไปใหม่ ร่วงตกลงไปก็ปีนขึ้นมาใหม่ เรียกได้ว่าร้อนรนอยากจะเอาชีวิตรอด รีบสูดหายใจ แต่กลับสำลักน้ำอยู่หลายครั้ง
“พี่ถาน พี่ถาน…” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตะโกนเรียกอยู่ด้านข้าง เรียกเพื่อให้เขาใจเย็นลง จากนั้นก็ดำลงไปในน้ำ กอดขาเขาแล้วดันขึ้นมา
ทุลักทุเลกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดถานเย่าเสี่ยนก็ปีนขึ้นไปบนถุงลมหนังแกะได้สำเร็จ สีหน้าประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวคล้ำ สภาพดูเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด สำลักน้ำออกมาเป็นครั้งคราว
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์คว้าเชือกตาข่ายของถุงลมไว้ จับถุงลมให้มั่น ไม่ปล่อยให้มันไหลไปตามผิวน้ำ มิเช่นนั้นถานเย่าเสี่ยนจะร่วงตกลงไปในน้ำอีก
ดวงหน้างามลออ สะบัดผมที่เปียกชื้น เรือนร่างบอบบางกำลังออกแรงว่ายอยู่ในน้ำ ลากถุงลมหนังแกะไปด้วย พยายามว่ายเข้าหาฝั่ง
ลู่เซิ่งจงที่นั่งอยู่ท้ายเรือมองภาพเหตุการณ์ช่วยชีวิตบนผิวน้ำ เรียกได้ว่าแค้นใจจนกัดฟันกรอด เขาเคยใกล้ชิดคลุกคลีกับถานเย่าเสี่ยนมาแล้ว ทราบว่าถานเย่าเสี่ยนไม่มีควาดคิดเช่นนี้ แล้วก็ไม่มีทางปกปิดสายตาเขาได้ด้วย เขาติดกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เข้าเสียแล้ว
หลงนึกว่านังเด็กนั่นโง่งม ถูกหลอกออกมาง่ายๆ ทั้งยังถูกหลอกให้ทอดกายง่ายๆ ผู้ใดจะทราบว่านี่กลับเป็นแผนแสร้งปลอมเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ
ไหนบอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น? ภาพเหตุการณ์ที่ช่วยชีวิตคนในแม่น้ำเมื่อครู่นี้เรียกว่าว่ายน้ำไม่เป็นหรือ? วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ขึ้นเรือมาแล้วชัดๆ
แย่งทำงานด้วยเพราะรู้หน้าที่อย่างนั้นหรือ? ต้องการหาโอกาสวางยาพิษชัดๆ
เห็นๆ อยู่ว่าแสร้งทำเป็นอ่อนแอมาโดยตลอด ทำให้ตนคลายความระแวงจนดื่มสุราที่นางนำมาคารวะ แล้วก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกนังเด็กนั่นหลอกเอาอาวุธประจำตัวไปอีก
สมแล้วที่นังเด็กนั่นเป็นน้องสาวมารดาเดียวกับเซ่าผิงปอ เจ้าเล่ห์โหดเหี้ยมเหมือนกัน เมื่อดูจากการที่สามารถวางยาคนรับใช้ใกล้ตัวได้โดยไร้ซึ่งความลังเลแล้ว ตนควรจะต้องระมัดระวังถึงจะถูก เพียงแค่นึกสงสัยว่าคนแจวเรือจะนำมาซึ่งอันตรายด้วย ถึงขนาดตัดสินใจจัดการแม้แต่คนแจวเรืออย่างไม่ลังเล นี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นในจุดนี้แล้ว
เขามองคู่หญิงร้ายชายโง่ลอยห่างออกไปเรื่อยๆ ทว่าเขากลับจนปัญญาจะจัดการได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห คิดไม่ถึงว่าจะตกม้าตายในตอนสุดท้าย!
แต่เขาก็จำเป็นต้องข่มโทสะลงไป ทำให้อารมณ์ของตนสงบลง สงบใจโคจรลมปราณขับพิษ!
ในที่สุดถานเย่าเสี่ยนที่เกาะอยู่บนถุงลมหนังแกะก็สงบใจลงได้ มองสภาพแวดล้อมรอบตัว กอดถุงลมไว้แน่น ไม่กล้าขยับเขยื้อนด้วยกลัวว่าจะหล่นลงไปอีก
เขาเงยหน้ามองดูเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่พยายามออกแรงว่ายไปด้านหน้า จากนั้นเหลียวมองดูเรือที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง เขาตะโกนถามว่า “หลิ่วเอ๋อร์ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงผลักข้าลงน้ำล่ะ?”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่ว่ายน้ำอยู่หันกลับมาตอบ “ไม่ใช่ว่าผลักท่านตกน้ำ ท่านมองไม่ออกหรือว่าพวกเรากำลังหนีเอาชีวิตรอดอยู่? ”
“หนีเอาชีวิตรอดหรือ?” หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ เกรงว่าต่อให้เขาใจเย็นแค่ไหนก็คงจะโมโหขึ้นมาแล้ว แต่เวลานี้กลับมีสีหน้ายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “นี่มันใช่หนีเอาชีวิตรอดแน่เหรอ? เราเกือบจะจมน้ำตายกันทั้งคู่แล้วนะ หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าว่ายน้ำเป็นแท้ๆ…นี่เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่! หรือว่านึกเสียใจไม่อยากหนีไปกับข้าแล้ว”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กล่าวว่า “พี่ถาน หนีไปไหนกับท่านข้าก็ไม่เสียใจทั้งสิ้น แต่หลี่ซยงคนนั้นของท่านไม่ใช่คนดีเลย เขาไม่ได้ช่วยท่าน หากแต่กำลังปองร้ายท่านต่างหาก”
ถานเย่าเสี่ยนตกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์อธิบาย “เขามิใช่บัณฑิตอันใดเลย หากแต่เป็นฝ่าซือในโลกบำเพ็ญเพียร วิธีการนั่งขัดสมาธิของเขาเมื่อครู่นี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าข้อสันนิษฐานของข้าถูกต้อง เรื่องบางเรื่องถึงพูดไปตอนนี้ท่านก็ไม่มีทางเข้าใจ แต่ข้ากล้าฟันธงเลยว่าเขาไม่ได้ทำไปเพื่อช่วยท่าน หากแต่ต้องการล่อข้าออกมา ต้องการใช้ประโยชน์จากตัวข้าไปจัดการตระกูลเซ่า อีกเดี๋ยวพวกเราก็ต้องถูกพวกเขาควบคุมตัวแน่นอน แบบนั้นพวกเราหนีออกไปจากเป่ยโจวจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
“นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร?” ถานเย่าเสี่ยนมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “หากว่าเขาเป็นฝ่าซือ ไฉนเจ้ากับข้าถึงหนีรอดมาได้ล่ะ?”
เขาไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์แอบใช้ลูกไม้อันใดลงไป
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เองก็ไม่อยากให้เขาทราบว่าคนแจวเรือคนนั้นก็คงไม่รอดด้วยเช่นกัน กลัวเขาจะรับความโหดเหี้ยมของนางไม่ได้ นางหันหน้ากลับไปทันที ว่ายน้ำไปด้วยพลางเอ่ยถามว่า “พี่ถาน ท่านไม่เชื่อข้าหรือ?”
ถานเย่าเสี่ยนพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ข้าเชื่อ!”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ยิ้มออกมา ผู้ชายคนนี้บางทีก็โง่งมนัก แต่นางกลับชอบ นางไม่ต้องการให้ผู้ชายในอนาคตของตนเป็นคนแบบพี่ใหญ่ เรียบง่ายหน่อยเนี่ยแหละดี
แม้ว่าตอนนี้จะเหนื่อยยิ่งนัก แต่ในใจนางกลับเปี่ยมไปด้วยความหวานชื่น
“พี่ถาน ข้าเป็นคนของท่านแล้ว เรื่องที่ข้าจะหนีไปกับท่านก็เป็นเรื่องระหว่างท่านกับข้า ข้าตัดสินใจเลือกด้วยตัวข้าเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่าในอนาคตท่านจะดีกับข้าหรือไม่ นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ข้าควรจะเลือกแบกรับเอาไว้เอง ข้าไม่อาจนำความเดือดร้อนมาให้ตระกูลเซ่าเพราะเรื่องส่วนตัวของตนได้ ดังนั้นข้าถึงได้ยอมเสี่ยงผลักท่านลงน้ำ ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะ!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์พูดพลางหอบหายใจ ค่อนข้างเหนื่อยแล้ว ทักษะการว่ายน้ำของนางก็ไม่นับว่าดีนัก
“หลิ่วเอ๋อร์ ข้าจะดีต่อเจ้าไปชั่วชีวิต”
“ข้าเชื่อท่าน ต่อให้ท่านไม่ดีกับข้า ข้าก็ยอมรับ เส้นทางที่ตัวเองเลือก ข้าก็ต้องแบกรับมันเอง!”
“ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ หากกล้าทรยศหลิ่วเอ๋อร์ ขอให้ข้าไม่ตายดี!”
“อย่าพูดเหลวไหล ท่านต้องมีชีวิตที่ดีเพื่อข้า!”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่ถานเย่าเสี่ยนที่เกาะอยู่บนถุงลมหนังแกะยังคงเหลียวมองจุดสีดำที่ลอยห่างออกไปไกลบนแม่น้ำเป็นระยะๆ ยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าหลี่ซยงจะมุ่งร้ายต่อเขาได้
ทว่าในยามที่ทั้งสองกำลังจะถึงฝั่ง ด้านหน้าพลันมีเสียงฝีเท้าม้ากุบกับดังแว่วมา
ถานเย่าเสี่ยนที่เกาะอยู่บนถุงลมหนังแกะเงยหน้าขึ้นมา เซ่าหลิ่วเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีทันที
ม้าสิบกว่าวิ่งควบมายังริมแม่น้ำแล้วหยุดลง เพียงแต่คนที่อยู่บนหลังม้าดูเหมือนจะไม่ใช่คนของจวนผู้ว่าการมณฑล นางไม่เคยเห็นเลยสักคน
นอกจากคนสองคนแล้ว คนที่เหลือต่างสวมหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้า สวมอาภรณ์สีดำ
หรือจะเป็นพรรคพวกของหลี่ซยงคนนั้น? หัวใจนางดิ่งวูบลงในชั่วพริบตา จู่ๆ พลันได้ยินเสียงวิหคร้องดัง ‘วี้ด’ แว่วมาจากด้านบน นางเงยหน้าขึ้นมอง ถึงได้พบว่าบนอากาศมีวิหคยักษ์สามตัวกำลังบินวนอยู่ ค่อยๆ บินลดระดับลงมา ไม่นานก็ร่อนลงบนฝั่งของแม่น้ำ
คนหกคนกระโดดลงมาจากวิหคทั้งสามตัว มีห้าคนที่สวมผ้าคลุมสีดำมีหมวกคลุมหน้า ยกเว้นเซ่าผิงปอ เขายืนอยู่ริมแม่น้ำ ผ้าคลุมสีดำที่คลุมอยู่บนไหล่ปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม จ้องมองน้องสาวที่พยายามลากใครคนหนึ่งขึ้นฝั่งด้วยสายตาเย็นชา
สายตาที่มองไปยังถานเย่าเสี่ยนยิ่งแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและเยียบเย็น
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ใจฝ่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอยากหนีก็หนีไม่รอดแล้ว
ถานเย่าเสี่ยนที่เกาะอยู่บนถุงลมหนังแกะเห็นว่าคุณชายใหญ่แห่งมหานครเป่ยโจวมาด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่ใจฝ่อเท่านั้น ยังค่อนข้างประหม่าหวาดกลัวด้วย โดยเฉพาะเมื่อเห็นภาพที่วิหคยักษ์ร่อนลงมาจากบนฟ้า ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองช่างเล็กจ้อยเสียเหลือเกิน
ในที่สุดก็ถึงฝั่ง นางพยุงถานเย่าเสี่ยนขึ้นมาบนฝั่ง เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งบนแม่น้ำ “คนที่ล่อข้าออกมาอาจจะยังอยู่บนเรือ”
เซ่าผิงปอมองไปตามทิศทางที่นางชี้
ซูจ้าวที่อยู่ด้านข้างหันไปส่งสัญญาณทันที มีคนสี่คนกระโจนขึ้นหลังวิหคอย่างรวดเร็ว วิหคสองตัวกระพือปีกก่อให้เกิดลมกระโชกรุนแรง เหินทะยานขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่…” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เรียกเสียงอ่อยๆ เส้นผมที่เปียกชุ่มแนบติดใบหน้า น้ำไหลหยดลงมา
เพียะ! เซ่าผิงปอตวัดมือฟาดออกไปฉาดหนึ่ง ตบหน้าน้องสาวอย่างรุนแรง “เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าพี่ใหญ่อีกเรอะ เจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าอยู่เรอะ?”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถูกตบจนกัดปากนิ่งเงียบ แล้วก็ไม่ขุ่นเคืองเลยที่ถูกตบ นางทราบดีว่าตนทำผิด ไม่สนใจความรู้สึกของคนในครอบครัว
เซ่าผิงปอโมโหจนยากจะสงบอารมณ์ได้ เหวี่ยงมือหมายจะตบหน้านางอีกครั้ง แต่กลับถูกมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาจากด้านข้างคว้าข้อมือเอาไว้
ซูจ้าวจับข้อมือเขาเอาไว้ ถอนใจพลางกล่าวว่า “คนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“พี่ซู?” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์คล้ายจะจดจำเสียงของซูจ้าวได้
ซูจ้าวเลิกหมวกออก มองดูนาง ทอดถอนใจพลางส่ายหน้า
ส่วนถานเย่าเสี่ยนก็รวบรวมความกล้า ออกมายืนขวางอยู่ด้านหน้าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ “นี่ไม่เกี่ยวกับหลิ่วเอ๋อร์ มีเรื่องใดก็มาลงกับข้า”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ลากเขาออกไป กระซิบว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องท่าน หลบไปซะ” ภายในใจกำลังร้อนใจ กังวลว่าเขาจะไปยั่วโทสะพี่ใหญ่เข้า นี่ใช่เรื่องที่เขาจะมาขวางได้เสียทีไหนกัน
ถานเย่าเสี่ยนกลับไม่รู้ความ จ้องมองเซ่าผิงปอ ปกป้องเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ยอมถอย
“เฉินกุยซั่ว” เซ่าผิงปอเอ่ยเสียงเย็นชา
เฉินกุยซั่วที่อยู่ข้างๆ ซ่งซูรีบก้าวออกมาทันที รอฟังคำสั่ง
เนื่องจากซูจ้าวรีบเดินทางมายังเป่ยโจว วิหคสามตัวสามารถบรรทุกคนมาได้ไม่มากนัก ทำให้เมื่อมาถึงที่นี่จึงต้องระดมกำลังคนบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้มาอีก
ในการค้นหาครั้งนี้ เซ่าผิงปอเองก็กังวลว่าจะมีคนไม่มากพอ อีกทั้งไม่กล้าให้ทางสำนักเขามหายานทราบเรื่อง แล้วก็ไม่สะดวกจะเรียกใช้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หากข้างกายไม่มีคนของตัวเองอยู่เลยก็ไม่วางใจเช่นกัน ดังนั้นจึงได้พาซ่งซูและเฉินกุยซั่วที่พอจะน่าเชื่อถือมาด้วยกัน
เซ่าผิงปอเอ่ยเนิบๆ “ลากออกไป สับเขาเป็นอาหารปลาซะ!”
“ขอรับ!” เฉินกุยซั่วปราดเข้าไปคว้าตัวถานเย่าเสี่ยนเตรียมจะลากตัวออกไป
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์คลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที โผเข้าไปดึงตัวเอาไว้ จับแขนเฉินกุยซั่วขึ้นมา อ้าปากกัดทันที
เฉินกุยซั่วกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ทว่าไม่กล้าทำอะไรเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ จะให้ฉุดกระชากลากถูกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็ไม่เหมาะ จึงต้องรีบปล่อยมือ
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์รีบดึงมือกลับมา ดึงถานเย่าเสี่ยนที่ตกใจจนหน้าขาวซีดไว้ด้านหลัง “ข้าเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ใครกล้าแตะต้องเขา ข้าจะขอสู้ตาย!”
สองมือของเซ่าผิงปอพลันกำแน่น เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ประกาศชัดเจน “ตัวข้าเป็นของเขาแล้ว บางทีอาจจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแล้วด้วย ข้าจะแต่งกับเขาแค่คนเดียว ผู้ใดกล้าสังหารของผู้ชายของข้าก็ลองดู!”
“เจ้า…เจ้า…เจ้ามันหน้าไม่อาย!” เซ่าผิงปอชี้หน้านางพลางตวาดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว จากนั้นไอขึ้นมาอย่างแรง ไอจนตัวงอเหมือนกุ้ง
ซูจ้าวรีบยื่นมือออกไป ใช้พลังช่วยให้ลมหายใจเขาสงบลง
…..
ถึงแม้ลู่เซิ่งจงจะแล่นเรือออกไปไกลแล้ว แต่ไหนเลยจะสู้ความเร็วของวิหคที่ไล่ตามมาได้
ลู่เซิ่งจงที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่ท้ายเรือเพื่อขับพิษเห็นวิหคสองตัวที่โบยบินเข้ามา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขมขื่น ทราบดีว่าคงจะหนีไม่รอดแล้ว เวลานี้เขากินยาถอนพิษเข้าไปแล้ว สลายพิษได้ทันเวลา น่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ด้วยสภาพร่างกายของเขาในยามนี้ไม่มีทางซ่อนตัวใต้น้ำได้นานนัก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคงพลิกตัว กระโจนลงไปในน้ำ มุดลงไปซ่อนตัวใต้น้ำ แม้ว่าจะมีโอกาสรอดเพียงน้อยนิดก็ตาม
บนร่างของวิหคที่โบยบินเข้ามาอย่างรวดเร็วมีเงาร่างสองร่างพุ่งลงมา หนึ่งนำหน้าหนึ่งตามหลัง ละอองน้ำสาดกระจาย พุ่งตัวลงไปไล่ล่าในน้ำ
ส่วนวิหคตัวนั้นบินโฉบลงต่ำ กรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่งตวัดขวับ เกิดเสียงดังโครม ประทุนเรือถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ พละกำลังมหาศาล
สภาพภายในเรือถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่มีใครซ่อนตัวอยู่
จากนั้นใครคนหนึ่งกระโดดลงมาจากบนหลังวิหคที่กระพือปีกลอยตัวอยู่กลางอากาศ ร่วงตกลงมาบนเรือ ตรวจสอบภายในเรืออย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
ตูม! ผิวน้ำระเบิดกระจาย ลู่เซิ่งจงที่กระอักโลหิตพุ่งขึ้นมาจากในน้ำ กล่าวให้ถูกคือถูกคนลากขึ้นมาจากในน้ำ
วิหคตัวก่อนหน้านี้บินเข้ามาอย่างรวดเร็ว กรงเล็บแหลมคมที่ราวโลหะตะปบเข้าไปที่ร่างของลู่เซิ่งจง
“อ๊าก!” ลู่เซิ่งจงร้องโหยหวนอยู่ในอากาศ โลหิตสาดกระจายออกมาจากแผ่นหลัง กระดูกสันหลังเส้นหนึ่งถูกกรงเล็บอันแหลมคมของวิหคที่แทงทะลุแผ่นหลังเกี่ยวเอาไว้ ทำให้เขาเจ็บปวดจนสลบไปแทบจะในทันที
………………………………………………………