ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 243 เรื่องเร่งด่วน
ตอนที่ 243 เรื่องเร่งด่วน
สุดท้าย ไห่หรูเยวี่ยก็จากไปด้วยความห่อเหี่ยวอยู่ลึกๆ
ภายในรถม้าที่ส่ายโคลงเคลง มือหนึ่งถือคันฉ่องส่องหน้า มืออีกข้างลูบไล้ใบหน้าของตนเบาๆ ค้นหาจุดบกพร่องบนใบหน้าของตนอย่างละเอียด
แก่แล้วหรือ? ไม่แก่เสียหน่อย! นางยืนยันได้จากเหล่าบุรุษรอบข้างที่มองตนด้วยสายตาแฝงนัยยะ สายตาแบบนั้นนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี รู้ดีว่าบุรุษเหล่านั้นอยากจะทำอะไรกับตน นั่นคือความปรารถนาที่จะปลดเปลื้องร่างกายนางให้เปลือยเปล่า
แต่ไม่ว่าจะเป็นหยวนกังที่พูดจาเย็นชา หรือว่าหนิวโหย่วเต้าที่พูดจาปลิ้นปล้อน ในสายตาของทั้งสองกลับไม่มีสายตาที่นางปรารถนาจะเห็นเลย จุดนี้ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
ถูกต้อง! ไม่มีความปรารถนาที่จะล่วงละเมิดนาง นี่กลับทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัย
นางวางคันฉ่องในมือลง มองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้า ความกระวนกระวายใจในตอนที่เดินทางมาถึงที่นี่ยังคงไม่สงบลง หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมรับว่าเป็นฝีมือของเขา
ตัวนางในยามนี้ ไม่ใช่เด็กสาวที่หลงรักซางเจี้ยนปั๋วอย่างแทบเป็นแทบตายเหมือนอย่างในกาลก่อนแล้ว นางไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีการช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่ เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน นางมักจะรู้สึกว่ามีหลุมดำขนาดใหญ่หลุมหนึ่งอยู่ด้านหลังตน ราวกับพร้อมจะดูดกลืนตนเข้าไปทุกเมื่อ
…..
เมื่อส่งแขกจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ากลับมา เห็นกงซุนปู้ยืนอยู่นอกกระท่อม
“มีธุระใดหรือ?” หนิวโหย่วเต้าถามด้วยรอยยิ้ม
กงซุนปู้เอ่ยถาม “ยังไม่มีข่าวของลู่เซิ่งจงหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากไม่ถูกเซ่าผิงปอสังหาร ก็อาจจะสวามิภักดิ์ต่อเซ่าผิงปอไปแล้ว สรุปคือเซ่าผิงปอไม่มีทางปล่อยเขากลับมาอีก”
พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมเล็กน้อย หลังจากคิดทบทวนเรื่องราวดู บางทีการตัดสินใจของตนอาจจะทำให้พลาดโอกาสสุดท้ายที่จะยื้อตัวลู่เซิ่งจงกลับมาแล้วก็เป็นได้
เขาไม่ควรสั่งระงับการเดินทางของคนที่ทั้งสามสำนักส่งไปรับตัวลู่เซิ่งจงที่แคว้นซ่งเลย เมื่อเซ่าผิงปอไม่พบตัวคนที่ไปรอรับ ก็คงจะรู้ว่าความแตกแล้ว แล้วก็ไม่มีทางปล่อยลู่เซิ่งจงกลับมาอีก ไม่อย่างนั้นบางทีเซ่าผิงปออาจจะส่งตัวลู่เซิ่งจงกลับมาเป็นหนอนบ่อนไส้ก็ได้
กงซุนปู้เอ่ยสั้นๆ “ตายไปนั่นแหละดีแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
……
ช่วงกลางฤดูร้อนมาเยือนอีกครั้ง พริบตาเดียวก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว
ภายใต้ธารน้ำตกที่ไหลซัดสาดลงมาจากบนหน้าผา บนก้อนหินที่อยู่ใต้น้ำตก เงาร่างคนผู้หนึ่งยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในม่านน้ำตก
เฮยหมู่ตานทะยานเข้ามา ร้องเรียก “เต้าเหยี่ย!”
เงาร่างที่อยู่ในม่านน้ำตกพลันเคลื่อนไหว ดีดตัวขึ้นไปตามกระแสน้ำที่ไหลซัดสาดลงมา
เขาพุ่งย้อนขึ้นไป รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีละอองน้ำที่ผิดปกติใดๆ สาดกระเซ็นออกมาแม้แต่น้อย
คนผู้นั้นชักกระบี่ออกมาท่ามกลางม่านน้ำตก ตูม! ด้านบนของน้ำตกมีละอองน้ำระเบิดออก ละอองน้ำสาดกระเซ็น คนผู้หนึ่งกุมกระบี่ชี้ขึ้นฟ้า พุ่งออกมาจากกระแสน้ำ
เขาตีลังกากลางอากาศ กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝัก ตัวคนพลิกเปลี่ยนทิศทาง เหินทะยานลงสู่ด้านล่าง ร่อนลงข้างกายเฮยหมู่ตาน
เฮยหมู่ตานตะลึงงัน กระแสน้ำไหลบ่าลงมารุนแรงเช่นนี้ เหตุใดถึงรู้สึกคล้ายไม่มีแรงต้านอันใดต่อคนผู้นี้เลย?
ไอน้ำระเหยออกมาจากร่าง หนิวโหย่วเต้าค้ำกระบี่ลงบนพื้น เอ่ยถามว่า “มีอะไร?”
เฮยหมู่ตานรายงานว่า “เรื่องที่ท่านบอกข้าไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ หาใช่สายสืบอันใดไม่ หากแต่เป็นเพราะว่าตอนนี้ประชากรของจังหวัดชิงซานเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างฉับพลัน พ่อค้าวาณิชมารวมตัวกัน ที่นี่ก็นับว่าอยู่ไม่ไกลจากตัวจังหวัด จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนพลัดหลงเข้ามาบ้าง ท่านอ๋องทราบว่าเป็นการรบกวนการบำเพ็ญเพียรของเต้าเหยี่ย จึงสั่งให้คนเร่งทำป้ายศิลาห้ามผ่านทาง ประเดี๋ยวจะให้คนนำไปติดตั้งรอบๆ เจ้าค่ะ”
อย่างนี้นี่เอง! หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ก่อนหน้านี้ได้ยินหยวนกังเอ่ยถึงเรื่องนี้ บอกว่ามักจะมีคนพยายามล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่นี้อยู่บ่อยครั้ง เขาจึงให้ไปสอบถามดูสักหน่อย
“ฟังจากที่เจ้าว่ามาเช่นนี้ ตอนนี้จังหวัดชิงซานรุ่งเรืองเป็นอย่างมากใช่หรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม
“รุ่งเรืองเจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานพยักหน้ารับ “รุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เทียบกับปีก่อนแล้วต่างกันราวฟ้ากับดินเลยเจ้าค่ะ”
“หลังจากท่านอ๋องใช้ระเบียบการปกครองรูปแบบใหม่ ชาวบ้านทั่วทุกสารทิศได้ยินข่าวก็หลั่งไหลกันเข้ามา ประชากรในสองจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเจ็ดแปดเท่า พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ในจังหวัดชิงซานที่ถูกปล่อยร้างในกาลก่อนได้รับการปรับปรุง ท่านอ๋องจัดสรรให้ผู้อพยพเข้าอยู่อาศัย เรียกได้ว่าให้ผู้อพยพได้ตั้งถิ่นฐานในสองจังหวัดอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่จะจัดสรรที่นาเท่านั้นนะเจ้าคะ แต่ยังออกงบประมาณพิเศษหนึ่งแสนเหรียญทอง รับสมัครบัณฑิตจำนวนมากเข้ามาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ จัดตั้งโรงเรียนให้ความรู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามพื้นที่ต่างๆ ในสองจังหวัด ให้ผู้อพยพที่มีที่นาเพาะปลูก ให้ลูกหลานของผู้อพยพได้เรียนหนังสือ ยามนี้พื้นที่รอบๆ ที่นาและโรงเรียนกำลังก่อตัวขึ้นเป็นหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว จากที่หลานรั่วถิงว่ามา ขอเพียงทรัพย์สมบัติของครอบครัวอยู่ที่นี่ หากไม่ถูกบีบคั้นจนถึงที่สุด ผู้อพยพเหล่านี้ก็ไม่มีทางที่จะย้ายออกไปจากสองจังหวัดนี้ง่ายๆ เจ้าค่ะ”
“และเมื่อมีประชากรมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับภาษีการค้าที่ลดลง ทำให้ดึงดูดพ่อค้าวาณิชจากทั่วทิศให้มาชุมนุมกัน พ่อค้าที่เข้ามาก็ได้จ้างวานผู้อพยพจำนวนมากให้ทำงานให้ จังหวัดชิงซานในปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปจากวันวานอย่างแท้จริง ในเมืองคึกคักมากเจ้าค่ะ แต่ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน คนเยอะเกินไป พื้นที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งพ่อค้าเหล่านั้นก็มีข้อเรียกร้อง ท่านหลานกำลังเจรจากับพ่อค้าเหล่านั้นอยู่เจ้าค่ะ”
“เจรจาหรือ?” หนิวโหย่วเต้ามึนงงไปเล็กน้อย “เจรจาอะไร?”
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ท่านอ๋องเตรียมจะทำให้ตัวเมืองในตอนนี้กลายเป็นเมืองชั้นในเจ้าค่ะ ทำให้เมืองชั้นในกลายเป็นศูนย์กลาง จากนั้นขยายเมืองออกไปในรัศมีห้าลี้ แล้วค่อยสร้างเมืองชั้นนอกขึ้นมาอีกชั้นนึงเจ้าค่ะ”
ขยายออกไปห้าลี้อย่างนั้นเหรอ? หนิวโหย่วเต้าแปลกใจเล็กน้อย “เขาไปเอาทุนทรัพย์มากขนาดนั้นมาจากไหน?”
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ดังนั้นท่านหลานถึงต้องไปเจรจากับพ่อค้าเหล่านั้นเจ้าค่ะ เตรียมจะจัดสรรที่ดินในเขตเมืองชั้นนอกให้พ่อค้าเหล่านั้นสร้างร้านได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่เงื่อนไขคือพ่อค้าเหล่านั้นต้องออกเงินลงขันสร้างกำแพงเมืองของเมืองชั้นนอก โดยขนาดของที่ดินที่จะได้รับการละเว้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจะอ้างอิงจากความยาวของกำแพงเมืองที่สร้าง เช่นนี้ผู้อพยพที่ยังไม่สามารถลงหลักปักฐานได้ในระยะเวลาสั้นๆ เหล่านั้นก็จะมีงานทำหาเลี้ยงจุนเจือครอบครัวได้ ได้ยินว่าเจรจาไปพอสมควรแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังมีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์บางอย่างที่ยังอยู่ระหว่างเจรจาตกลง”
หนิวโหย่วเต้าถาม “นี่เป็นแนวทางการบริหารของหลานรั่วถิงหรือ?”
เฮยหมู่ตานพยักหน้า “ดูเหมือนจะใช่เจ้าค่ะ ในด้านการบริหารจัดการ ดูเหมือนท่านอ๋องจะมอบอำนาจให้หลานรั่วถิงดูแล ส่วนท่านอ๋องดูแลด้านกองทัพเป็นหลักเจ้าค่ะ”
“หลานรั่วถิงผู้นี้มีความสามารถจริงๆ แผนการใหญ่โตทีเดียว!” หนิวโหย่วเต้าทอดถอนใจเล็กน้อย ความคิดล่องลอยไปถึงทางมณฑลเป่ยโจว
เขาบำเพ็ญเพียรอย่างสงบอยู่ที่นี่ แทบไม่เคยไต่ถามเรื่องของทั้งสองจังหวัดเลย กลับเป็นเรื่องของทางมณฑลเป่ยโจวที่เขาค่อนข้างให้ความสนใจมากกว่า
จากข่าวที่ได้รับมา ดูเหมือนแผนการของเซ่าผิงปอจะใหญ่โตมากกว่า ดึงดูดนักปราชญ์และช่างฝีมือเข้าไปเป็นจำนวนมาก คิดจะสร้างระบบชลประทานขึ้นทั่วทั้งมณฑลเป่ยโจวขึ้นในยุคที่มีสงครามวุ่นวายเช่นนี้ ได้ยินว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ปีกว่าก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาแล้ว มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
คล้ายว่าเซ่าเติงอวิ๋นจะมอบอำนาจให้เซ่าผิงปอมากกว่า ทำให้เซ่าผิงปอมีข้อจำกัดน้อยลง
ตอนนี้เซ่าผิงปอเข้ามาดูแลด้านกองทัพ พร้อมกับดูแลบริหารราชการไปด้วย ความสามารถเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา ด้วยแผนการและความสามารถด้านการปกครองอันยอดเยี่ยม ทำให้ทั่วทั้งมณฑลเป่ยโจวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในระยะเวลาสั้นๆ เพียงปีกว่า ความแข็งแกร่งของมณฑลเป่ยโจวเรียกได้ว่ากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แทบจะดูดดึงกำลังคนและกำลังทรัพย์ในพื้นที่รอบข้างเข้าไปใช้ประโยชน์เกือบหมดแล้ว ทำให้หลายมณฑลที่อยู่รอบข้างลำบากและกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมณฑลเป่ยโจวได้
ความสามารถในด้านนี้ แม้แต่ตัวหนิวโหย่วเต้าเองก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าตนห่างชั้นจากเซ่าผิงปอ
แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้ ความเปลี่ยนแปลงของมณฑลเป่ยโจวนั้นทำให้หนิวโหย่วเต้าแอบรู้สึกกังวลใจขึ้นมา ยิ่งมณฑลเป่ยโจวแข็งแกร่งขึ้นเท่าไร ก็หมายความว่าอำนาจในการเรียกใช้กลุ่มอิทธิพลในโลกบำเพ็ญเพียรของเซ่าผิงปอก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ตามข่าวที่ได้รับมาจากมณฑลเป่ยโจว สำนักเขามหายานให้ความสำคัญกับความสามารถของเซ่าผิงปอเป็นอย่างมากจาก ส่งยอดฝีมือเข้าไปคุ้มกันเซ่าผิงปอเพิ่มขึ้น
เมื่อได้สติกลับมา มองดูเฮยหมู่ตานที่กำลังพูดจาเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า หนิวโหย่วเต้าอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย พบว่าสตรีนางนี้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ค่อยๆ ให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถบอกเล่าอย่างชัดเจนเช่นนี้ได้
“หยวนกังล่ะ?” หนิวโหย่วเต้าถาม
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ดูเหมือนจะไปที่โรงหลอมเจ้าค่ะ ช่วงนี้เขามักจะไปหากงซุนเถี่ยหนิวค่อนข้างบ่อยเจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้ออกจากหุบเขานานแล้ว ไปเถอะ ไปดูในเมืองกันหน่อย”
เฮยหมู่ตานไปเชิญยอดฝีมือจากสามสำนักมาคอยคุ้มกันทันที
ทันทีที่เข้าใกล้ตัวเมืองของจังหวัดชิงซาน หนิวโหย่วเต้าที่ไม่ได้ออกจากหุบเขามานานรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปได้ทันที
มีผู้คนสัญจรไปมาตามเส้นทางหลวงไม่ขาดสาย ทั้งเกวียนทั้งม้าต่างวิ่งสวนกันขวักไขว่ มีเจ้าหน้าที่ระดับล่างกำลังวัดพื้นที่ ตีเส้นและปักหมุดระบุตำแหน่งอยู่นอกเมือง ดูเหมือนเรื่องขยายเมืองจะกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการแล้ว
พอเข้าเมืองไป เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย ตามท้องถนนคราคร่ำไปด้วยผู้คน เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังแววเข้าหูอยู่ไม่ขาด เทียบกับท้องถนนที่เงียบสงัดในกาลก่อนแล้ว หนิวโหย่วเต้าเกือบนึกว่าตนมาผิดเมืองเสียแล้ว
ถึงแม้เสื้อผ้าของคนมากมายจะยังซอมซ่อไม่เข้าที แล้วก็ยังมีคนมากมายถือขันขอทานอยู่ แต่มันก็เปลี่ยนไปจากในอดีตอย่างมากจริงๆ
มีคนอยู่ทั่วทุกแห่งหน ทำให้หนิวโหย่วเต้าที่บำเพ็ญเพียรอย่างเงียบสงบมาเป็นเวลานานไม่ค่อยชินสักเท่าไร แล้วก็ไม่ได้สนใจจะเดินดูให้ทั่วๆ ด้วย หากแต่มุ่งตรงไปยังจวนผู้ว่าการจังหวัดเลย
องครักษ์ของซางเฉาจงรู้จักเขาดี ให้ทหารยามที่ขวางอยู่ถอยออกไป นำทางหนิวโหย่วเต้าเข้าไปด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงนอกโถงว่าราชการ ได้ยินเสียงซานเฉาจงและหลานรั่วถิงกำลังหารือกันอยู่ด้านใน
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปขวางเล็กน้อย ไม่ให้องครักษ์เข้าไปรายงาน เงี่ยหูฟังอยู่ด้านนอก
เสียงหลานรั่วถิงดังออกมาจากด้านใน “ท่านอ๋องดูตรงนี้สิพ่ะย่ะค่ะ ท่าเรือทางใต้คือข้อได้เปรียบของพวกเรา หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ถูกปิดกั้นจากรอบด้าน เราสามารถขนส่งทรัพยากรเข้าออกผ่านเส้นทางทางทะเลได้ สำหรับเหล่าพ่อค้าแล้วนับว่าสะดวกเป็นอย่างยิ่ง กระหม่อมขอแนะนำว่าเราควรขยายเมืองไปทางท่าเรือด้วยพ่ะย่ะค่ะ สร้างเมืองสักแห่งขึ้นในละแวกท่าเรือ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและจัดเก็บสินค้าให้เหล่าพ่อค้า…”
“แค่กๆ…” องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างพลันกระแอมขึ้นมา เขาคิดว่าการปล่อยให้คนมาแอบฟังบทสนทนาของท่านอ๋องนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสมจริงๆ จึงไม่สนใจการขัดขวางของหนิวโหย่วเต้า เอ่ยรายงานว่า “ท่านอ๋อง เต้าเหยี่ยมาพ่ะย่ะค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าจ้องเขาแล้วยิ้มออกมา เดินเข้าไปด้านใน
ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงก็เดินออกมาเช่นกัน ล้วนค่อนข้างประหลาดใจ เพราะคนผู้นี้ไม่โผล่หน้าออกมาเป็นปีแล้ว
“เต้าเหยี่ย ท่านมาได้อย่างไร?” ซางเฉาจงประสานมือพลางเอ่ยถาม “มีธุระใดหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตามพวกเขาเข้าไปในโถงว่าราชการ เมื่อกวาดตามองก็เห็นแผนที่ที่แขวนอยู่ในห้อง จึงเดินไปหยุดตรงหน้าแผนที่แล้วมองดูเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ตอนอยู่ด้านนอกกระหม่อมได้ยินพวกท่านอ๋องคุยกันเล็กน้อย ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ รอบข้างกำลังปิดกั้นพวกเราหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หลานรั่วถิงตอบ “ขณะนี้ยังไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น แต่การพัฒนาของทางนี้ได้ทำให้พื้นที่รอบข้างเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาแล้ว เรื่องถูกปิดกั้นเส้นทางการค้าช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้น ไม่มีใครยินดีเห็นทางนี้แข็งแกร่งขึ้นมา จึงต้องวางแผนกันล่วงหน้า เร่งสร้างเส้นทางเชื่อมออกทะเลโดยเร็ว มหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เดินทางไปได้ทุกแห่งหน กลุ่มอิทธิพลในพื้นที่รอบข้างปิดกั้นได้เพียงเส้นทางทางบกเท่านั้น แต่คิดจะปิดกั้นเส้นทางทางทะเลมิใช่เรื่องง่าย แล้วก็ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือทันทีที่พื้นที่รอบข้างเพิ่มกำลังสกัดกั้น เกรงว่าคงจะนำม้าศึกเข้ามาได้ยากขึ้นเช่นกัน เส้นทางทางทะเลจึงถือเป็นทางออกหนึ่งเช่นกัน”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “ท่านหลานปราดเปรื่อง วิสัยทัศน์ยาวไกล!”
ซางเฉาจงขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คนของสามสำนักและสำนักหยกสวรรค์ที่เดินทางไปยังแคว้นฉียังไม่ให้คำตอบกลับมาเสียที”
หลานรั่วถิงกล่าวอธิบาย “เต้าเหยี่ย ความหมายของท่านอ๋องคือการพัฒนาของพวกเราไม่อาจล่าช้าได้ ทันทีที่ทำให้พื้นที่รอบข้างรู้สึกว่าเราเป็นภัยคุกคามที่น่าหวาดกลัวแล้ว เกรงว่าคงจะมิได้แค่ถูกปิดกั้นเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องมีกองกำลังที่แข็งแกร่งเอาไว้ข่มขวัญ ทางเราต้องการม้าศึกอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นจะโยกย้ายกำลังพลไม่ทัน ทำได้เพียงรอรับการโจมตีเท่านั้น! ยิ่งกองทัพของทางนี้ล้าหลัง ศัตรูภายนอกก็จะยิ่งเกิดความคิดที่จะรุกรานได้ง่ายขึ้น!”
หนิวโหย่วเต้าถาม “แต่จะตั้งความหวังกับทางแคว้นฉีเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ทางฝ่ายเราไม่ได้ลองคิดหาวิธีอื่นเอาไว้บ้างหรือ?”
ซางเฉาจงเอ่ยว่า “เราได้กว้านซื้อม้าส่วนหนึ่งจากพื้นที่รอบข้างอย่างต่อเนื่อง ได้ม้ามานับพันตัวแล้ว เพียงแต่ม้าศึกและม้าบรรทุกสัมภาระธรรมดามีความแตกต่างกันอย่างมาก ม้าที่สามารถจู่โจมอย่างรวดเร็วและสามารถทำศึกในสนามรบได้นั้นมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับม้าที่ใช้บรรทุกสัมภาระธรรมดา ม้าศึกที่ทางเรามีอยู่แต่เดิมก็ค่อยๆ แก่ตัวลง ทางเรายังขาดแคลนม้าศึกอยู่อีกนับหมื่นตัว การคิดจะกว้านซื้อจากพื้นที่รอบข้างภายในระยะเวลาสั้นๆ นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ ทว่าทางแคว้นฉีกลับมีม้าสายพันธุ์ดีอยู่นับไม่ถ้วน”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไป…
………………………………………………………..