ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 245 แคว้นฉีเป็นหลุมพรางใหญ่
ตอนที่ 245 แคว้นฉีเป็นหลุมพรางใหญ่
ซูจ้าวจ้องมองแผนที่พลางใคร่ครวญดูเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า คล้ายว่าโล่งใจ “ในเมื่อเจ้าเตรียมการด้านนี้ไว้ เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่แล้ว”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “ดี ทางแคว้นฉีจัดการตามที่ท่านเห็นสมควรเลย สถานการณ์บีบบังคับ ไม่อาจล่าช้าได้ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”
“อะไรกัน?” ซูจ้าวมองค้อน เอ่ยหยอกเย้าว่า “ข้าเพิ่งกลับมาถึงเอง อยากจะรีบไล่ข้ากลับไปขนาดนี้เชียวหรือ?”
เซ่าผิงปอยิ้มออกมา “ดูท่านพูดเข้าสิ ท่านรู้ดีว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเริ่มหยอกเย้ากันแล้ว เซ่าซานเสิ่งพลันก้มหน้า ถอยออกไปอย่างเงียบๆ ไม่อยู่รบกวน
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ดวงตาของซูจ้าวพลันทอแววหลงใหลขึ้นมาเล็กน้อย เปี่ยมไปด้วยความเสน่หา ค่อยๆ ขยับกายเข้าไปหาเซ่าผิงปอ
เซ่าผิงปอเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ทำทีคล้ายจะหลบเลี่ยง แต่สุดท้ายยังคงยื่นมือออกมากุมมือเรียวงามของนาง อมยิ้มขึ้นมา
ซูจ้าวอิงแอบเข้าสู่อ้อมอกของเขาอย่างแผ่วเบา ทั้งสองโอบกอดกัน แนบชิดคลอเคลีย
“เจ้าจะไม่รังเกียจข้า จะแต่งกับข้าใช่หรือไม่?” ซูจ้าวถามงึมงำอยู่ในอ้อมแขนเขา
เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกไปแล้ว หากมิใช่ท่านข้าไม่แต่ง แต่ท่านก็รู้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา หากข้าไม่มีอำนาจเพียงพอ ท่านก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากสมาคมของท่านได้ ทุกอย่างที่พวกเราทุ่มเทกันในตอนนี้ ทั้งทำเพื่อข้า แล้วก็ทำเพื่อท่านด้วย เพื่ออนาคตของพวกเรา”
ซูจ้าวถอนหายใจเบาๆ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “ดูเหมือนท่านจะไม่เชื่อ”
“เปล่า!” ซูจ้าวส่ายหน้าเบาๆ หลับตาลง มีบางเรื่องที่นางอยากถามและอยากทำมาโดยตลอด แต่นางกังวลกับสถานะของตนจนพูดไม่ออก เกรงว่าจะถูกดูแคลน
โอบกอดกันเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่ง จู่ๆ เซ่าผิงปอพลันไอโขลกๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ดันร่างนางออก หลังจากอาการไอหยุดลงก็เอ่ยถาม “สถานการณ์ทางหนิวโหย่วเต้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูจ้าวมองเขาแล้วส่ายหน้า “เจ้านี่นะ! ข้าว่าหนิวโหย่วเต้าคงกลายเป็นปมในใจเจ้าไปแล้ว พอนึกถึงเขา โทสะจะลุกท่วมใจของเจ้าจนทนไม่ไหว ต้องไอออกมา”
เซ่าผิงปอหันไปหยิบถ้วยน้ำชามาดื่มกลั้วคอ “ท่านคิดมากแล้ว”
ซูจ้าวเอ่ยว่า “ข้าส่งคนไปจับตามองทางจังหวัดชิงซานเอาไว้แล้ว ไม่เคยได้เห็นเงาร่างของหนิวโหย่วเต้าเลย สถานที่ที่เขาซ่อนตัวมีการคุ้มกันแน่นหนา มีผู้บำเพ็ญเพียรจากหลายสำนักรวมตัวกันอยู่ ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหมกตัวทำอะไรอยู่ด้านใน หากให้เดา เขาน่าจะมีอิสระกว่าเจ้ามากนัก ไม่ต้องกังวลเรื่องทางโลก ดูเหมือนจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในหุบเขามาโดยตลอด เขาหดหัวไม่ยอมโผล่ออกมาเช่นนี้ ไม่เผยช่องโหว่ใดๆ เลย ข้าเองก็จัดการเขาไม่ได้เช่นกัน”
เซ่าผิงปอเงียบงันไร้วาจา พบว่าขณะที่ตนพลาดท่าอยู่ที่นี่ หนิวโหย่วเต้ากลับบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอด มีซางเฉาจงคอยจัดการเรื่องทางโลกให้ ไม่ต้องสนเรื่องกองทัพ แล้วก็ไม่ต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการบริหารบ้านเมือง ต่อให้เจ้าอยากปล่อยข่าวลืออันใดออกไปเหมือนอย่างอีกฝ่าย น้ำสกปรกที่สาดออกไปก็เปียกแค่ร่างซางเฉาจงเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อหนิวโหย่วเต้าเลย
ตอนนี้อีกฝ่ายกระทั่งหน้าก็ยังไม่โผล่ออกมา เจ้ายิ่งไม่มีช่องโหว่ให้ลงมือได้
“ยังกังวลอยู่หรือ?” ซูจ้าวถาม จากนั้นเอ่ยปลอบใจ “เจ้าวางใจเถอะ เขาไม่มีทางซ่อนตัวไปได้ตลอดชีวิต ต้องมีสักวันที่โผล่ออกมาแน่นอน ยังไงก็ต้องมีโอกาสให้ลงมือแน่!”
เซ่าผิงปอปฏิเสธ “เปล่า ข้ากำลังคิดว่าสถานการณ์ของทางซางเฉาจงไม่ต่างจากสถานการณ์ของทางเป่ยโจวนัก เรียกได้ว่าตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เกรงว่าพวกเขาก็คงต้องการม้าศึกเช่นเดียวกัน ท่านคอยจับตาดูเอาไว้หน่อยก็ดี”
“อื้ม!” ซูจ้าวพยักหน้ารับพลางใคร่ครวญไปด้วย
เซ่าผิงปอสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ถามอีกครั้ง “ใช่แล้ว ลิ่งหูชิวคนนั้น ช่วยให้ข้าได้เจอเขาหน่อยได้หรือไม่?”
เขาสนใจในตัวคนผู้นี้มาโดยตลอด อยากให้ซูจ้าวช่วยดึงตัวมา ทว่าซูจ้าวก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นเขาจึงอยากพบลิ่งหูชิวสักครั้ง อยากลองดูว่าจะมีโอกาสชักจูงให้อีกฝ่ายมาอยู่กับตนได้หรือไม่
ซูจ้าวยิ้มเจื่อน ถอนหายใจ “บอกไปเจ้าอย่าโกรธก็แล้วกัน”
“โกรธหรือ?” เซ่าผิงปอแปลกใจ “ก็แค่แนะนำให้มาพบไม่ได้ เหตุใดข้าต้องโกรธด้วย?”
ซูจ้าวกล่าวว่า “ไปหาเขามาแล้ว ให้คนไปบอกเขาว่าเจ้าอยากพบเขา แต่เขากลับบอกว่าคนธรรมดาอย่างเจ้ามีอันใดน่าพบกัน เขาบอกว่าเขาจะคบหากับคนในโลกบำเพ็ญเพียรด้วยกันเท่านั้น เขายังเอ่ยถึงเป็นพิเศษด้วยว่ารู้จักมักคุ้นกับหวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหายานเช่นกัน บอกว่าหวงเลี่ยเองก็ยังต้องไว้หน้าเขาอยู่หลายส่วน แล้วยังพูดทำนองว่าใต้หล้ามีคนมากมายปานนั้น จะให้เขาไปทำความรู้จักทุกคนก็คงไม่ไหว”
“….” เซ่าผิงปอถูกตอกหน้าจนพูดไม่ออก ความหมายในวาจาของคนผู้นั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ดูแคลนว่าเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
การที่เอ่ยถึงหวงเลี่ย ความหมายก็ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เขาเป็นเพียงสุนัขรับใช้ของสำนักเขามหายาน ข้ารู้จักกับเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเจ้าก็พอแล้ว จำเป็นต้องไปยุ่งอะไรกับเจ้าอีกหรือ?
เซ่าผิงปอแค่นหัวเราะ ภายในใจมีเพลิงโทสะปะทุขึ้นมา แต่พอคิดดูอีกทีก็สะกดเพลิงโทสะลงไปอีกครั้ง ลองใคร่ครวญแล้วก็พบว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ผิดเลย ไม่จำเป็นต้องข้องแวะอันใดกับคนในโลกธรรมดา หากเกิดเรื่องใดขึ้น อีกฝ่ายไปหากลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังโลกธรรมดาเสียก็สิ้นเรื่อง หากกลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังสั่งการมา เขาจะกล้าไม่ฟังหรือ?
“เห็นทีคงจะไม่มีโอกาสแล้ว เป็นข้าที่คิดมากไปเอง” เซ่าผิงปอเอ่ยด้วยน้ำสียงเรียบเฉย
ซูจ้าวถอนหายใจ “คนผู้นี้คบค้ากับผู้คนมากหน้าหลายตา เบื้องหลังซับซ้อน ข้าเองก็ไม่รู้ถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ของเขาเช่นกัน ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร ตามความเห็นข้า รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำอะไร”
เซ่าผิงปอแค่นเสียงเหอะ “สักวันหนึ่งเขาจะต้องมาขอร้องอ้อนวอนข้า ข้าจะรอดูว่าเขาจะกล้ำกลืนคำพูดนี้กลับเข้าไปอย่างไร!”
ซูจ้าวยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้าเล็กน้อย พบว่าคนผู้นี้มีความสามารถรอบด้าน แต่กลับค่อนข้างใจแคบ เย่อหยิ่งจองหองเกินไป มิเช่นนั้นไหนเลยจะถูกยั่วโทสะจนกระอักเลือดได้
….
เมื่อกลับจากตัวเมือง หนิวโหย่วเต้ากลับไปที่คฤหาสน์กลางหุบเขา
ตัวคฤหาสน์ไม่นับว่าใหญ่โตนัก แล้วก็ไม่นับว่าหรูหรางดงาม หากแต่ดูเรียบง่ายธรรมดา มีดอกไม้ใบหญ้าพฤกษาปลูกประดับไว้ สร้างขึ้นบนยอดเขา ทำเลที่ตั้งค่อนข้างสูง มองเห็นทิวทัศน์ขุนเขารอบด้าน มองเห็นเค้าโครงของจังหวัดชิงซานที่อยู่ไกลออกไปได้
คฤหาสน์หลังนี้สร้างเสร็จเมื่อสามเดือนก่อน หนิวโหย่วเต้าเข้าพักอาศัยมาเดือนกว่าแล้ว
คนที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ ก็ย้ายเข้ามาพำนักเช่นกัน ซางซูชิงก็ตามมาพักที่นี่ด้วย จะปล่อยให้ท่านหญิงอาศัยอยู่ในกระท่อมต่อไปก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ซางซูชิงจึงได้ครอบครองเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งที่ดูประณีตงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่เข้าสู่คฤหาสน์ หนิวโหย่วเต้าที่มีความคิดอยู่ในหัวก็เอ่ยสั่งอู๋ซานเหลี่ยงที่เดินเข้ามา “ไปเชิญเจ้าสำนักทั้งสามมาหน่อย”
“ขอรับ!” อู๋ซานเหลี่ยงตอบรับ รีบเดินออกไป
หนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังเดินขึ้นไปบนหอสูงหลังหนึ่ง ที่แห่งนี้เป็นจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ของขุนเขารอบด้านได้ เมื่อเดินเข้าไปตรงราวกั้นก็จะมองเห็นความยิ่งใหญ่ของขุนเขาที่ทอดตัวเป็นริ้วคลื่นได้ทั้งหมด
เมื่อรู้ว่าเจ้าสำนักทั้งสามกำลังจะมา เฮยหมู่ตานจึงรีบไปจัดเตรียมชาโดยเร็ว
ผ่านไปไม่นาน เฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาต่างพาผู้ติดตามมาจำนวนหนึ่ง ศิษย์ในสำนักหยุดรออยู่ด้านล่างหอสูง ส่วนทั้งสามเหินขึ้นไปหอ
ร่อนลงข้างกายหนิวโหย่วเต้าแล้วหันกลับมา เซี่ยฮวามองไปรอบๆ “ถึงแม้จะไม่ใช่สถานที่งดงามอะไร แต่กลับมีความน่าสนใจไปอีกแบบ พื้นที่แถบนี้นับว่าเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยม”
หนิวโหย่วเต้าหันไปยิ้มพลางเอ่ยว่า “สำนักของพวกท่านก็ก่อสร้างไปได้พอสมควรแล้วกระมัง”
เซี่ยฮวาตอบว่า “ยังขาดอีกนิดหน่อย”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ใครใช้ให้พวกท่านสร้างเสียใหญ่โตเช่นนั้นเล่า”
เซี่ยฮวากล่าวว่า “สร้างให้เรียบง่ายเหมือนเจ้าไม่ได้ ทางเจ้ามีกันแค่ไม่กี่คน สร้างง่ายๆ ก็ใช้ได้แล้ว แต่ในสำนักของพวกเรามีศิษย์มากมาย ไม่สามารถอุดอู้อยู่ในถ้ำไปได้ตลอด จะต้องมีสถานที่พำนักเป็นหลักแหล่ง”
เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยถาม “เรียกพวกเรามาด้วยเรื่องใดหรือ?”
เวลานี้เอง เฮยหมู่ตานยกน้ำชามาให้ หนิวโหย่วเต้าหันมาเอ่ยว่า “ปล่อยให้ทั้งสามท่านยืนคุยมิใช่มารยาทในการการรับรองแขกที่ดีเลย นั่งดื่มชาไปพลางคุยกันไปพลางเถอะ”
เมื่อพวกเขานั่งลง เฮยหมู่ตานก็อยู่ด้านข้างก็รินชาให้
หลังจากจิบชากันไปเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยชาลงพลางเอ่ยว่า “หนึ่งปีมานี้ข้าเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาตลอด ไม่เคยถามไถ่เรื่องราวภายนอกเลย ข้าเพิ่งเข้าไปในเมืองมา ไปสอบถามข่าวคราวมาเล็กน้อย ถึงได้ทราบว่าความต้องการม้าศึกของทางท่านอ๋องเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของทั้งสองจังหวัด พวกท่านเองก็ยังไม่ให้คำตอบเสียที ท่านอ๋องเองก็ไม่สะดวกจะเร่งเร้าตามทวงกับพวกท่าน ข้าจึงเชิญทุกท่านมาเพราะอยากสอบถามดู เรื่องจัดซื้อม้าศึกสรุปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของทั้งสามก็เคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด
เซี่ยฮวาส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “สถานการณ์ไม่สู้ดี ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง ค่อนข้างลำบาก เพราะว่าทางนั้นอยู่ไกลจากทางนี้ อีกทั้งพวกเราที่เป็นคนนอกจัดการเรื่องราวในแคว้นฉีได้ค่อนข้างลำบาก มาตรว่าร่วมมือกับสำนักหยกสวรรค์แล้ว แต่พวกเราสี่สำนักก็ยังสูญเสียศิษย์ไปราวห้าหกร้อยคนแล้ว เสียหายอย่างรุนแรง!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ที่บอกว่าลำบากก็ต้องมีคำอธิบายหรือเปล่า? ข้าขอบอกพวกท่านเอาไว้ก่อนนะ หากไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ทันทีที่พื้นที่ของสองจังหวัดไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพวกเรา พวกเราก็จะกลายเป็นสุนัขจรจัด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องบำเพ็ญเพียรอย่างสงบสุขเลย เตรียมหนีเอาชีวิตรอดกันได้เลย!”
เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยว่า “พวกเราก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว หากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่ยอมแบ่งผลประโยชน์ให้พวกเรา คนจำนวนมากของทั้งสามสำนักล้วนต้องใช้เงิน เจ้าคิดว่าพวกเราไม่ร้อนใจหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “อย่ามาบ่นกับข้าเลย พวกท่านหาเรื่องกันเอง บอกว่ามีปัญหา แล้วปมปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ?”
เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยว่า “ปัญหามีเป็นกอง อย่างแรกคือทางแคว้นฉี พื้นที่ส่วนใหญ่ในแคว้นฉีล้วนเป็นทุ่งหญ้า มีม้าพันธุ์ดีนับไม่ถ้วน ดังนั้นความจริงแล้วการจัดซื้อม้าศึกจากแคว้นฉีจึงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ประเด็นสำคัญของปัญหาคือจะขนส่งม้าศึกออกจากแคว้นฉีอย่างไร”
เซี่ยฮวาเอ่ยด้วยความเจ็บใจ “แคว้นฉีเป็นหลุมพรางใหญ่ ฆ่าคนตายไม่ยอมชดใช้ชีวิต ปล่อยให้มีการซื้อขายม้าภายในแคว้น ให้เจ้าได้จ่ายเงินซื้ออย่างสำราญ แต่สุดท้ายแล้วผู้ใดก็อย่าหมายจะนำม้าศึกออกไปจากแคว้นได้ง่ายๆ สภาพภูมิประเทศแคว้นฉี พื้นที่ที่อยู่รอบนอกส่วนใหญ่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลทราย การจะขนส่งม้าออกมาจากทะเลทรายอันกว้างไพศาลนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แล้วก็เป็นเพราะสภาพภูมิประเทศเช่นนี้ เส้นทางที่เชื่อมต่อเข้าออกแคว้นฉีจึงมีไม่มากนัก ทางนั้นได้ส่งทหารไปคอยเฝ้าเส้นทางเข้าออกบางส่วนไว้ ผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะลอบขนส่งม้าศึกออกไปได้ง่ายๆ”
เจิ้งจิ่วเซียวถอนหายใจ “อุบายนี้ของแคว้นฉีโหดเหี้ยมยิ่งนัก ให้เจ้าจ่ายเงินซื้อม้าได้ แต่ส่งม้าออกมาไม่ได้ สุดท้ายเจ้าจ่ายเงินให้พวกเขาไปแล้ว แต่ม้าก็ยังเป็นของพวกเขาอยู่ดี”
อันที่จริงสถานการณ์ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แค่เล่ามาง่ายๆ ก็เข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเนิบๆ “นอกจากการซื้อขายขนส่งม้ากันระหว่างแคว้นต่อแคว้นตามปกติแล้ว ไม่มีทางแอบขนม้าออกมาได้เลยหรือ?”
เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยว่า “ก็ใช่ว่าจะไม่มี มันไม่มีทางสกัดกั้นได้หมดอยู่แล้ว แต่การจะทำเช่นนั้นได้ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือเจ้าต้องสร้างเส้นสายในด้านนี้เสียก่อน เมื่อสามารถสร้างเส้นสายได้จริงๆ แล้ว เมื่อนั้นก็จะได้รับการปล่อยผ่านออกมาเอง ไอที่ยุ่งยากมันก็ยุ่งยากเรื่องนี้นี่แหละ ม้าศึกคือสิ่งที่แคว้นฉีให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก มีการควบคุมดูแลที่เข้มงวด การจะเข้าไปสร้างเส้นสายนั้นไม่สามารถทำได้โดยง่าย หรือต่อให้เอาม้าออกมาได้แล้ว มันก็ยังมีปัญหาอีกข้อหนึ่ง นั่นคือเรื่องระยะทางที่ยาวไกล ด่านของแคว้นต่างๆ ที่ต้องผ่านระหว่างทางก็จำเป็นต้องสร้างเส้นสายด้วยเช่นกัน เฮ้อ! สำนักหยกสวรรค์เองก็กำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
หนิวโหย่วเต้าให้เฮยหมู่ตานไปหยิบแผนที่มา นำมาแขวนไว้ภายในหอ ยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าแผนที่ คิ้วขมวดแน่นขึ้นมา
ในเวลานี้เอง อู๋ซานเหลี่ยงเข้ามารายงาน “เต้าเหยี่ย ด้านนอกมีคนมาขอเข้าพบขอรับ แจ้งว่าเป็นลิ่งหูชิวจากแคว้นจิ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่าขอรับ!”
…………………………………………………….