ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 246 ลิ่งหูชิว
ตอนที่ 246 ลิ่งหูชิว
เมื่อได้ยินนามลิ่งหูชิว เฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเฟยและเซี่ยฮวาต่างสบตากันด้วยความมึนงง คล้ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
หนิวโหย่วเต้ากลับแปลกใจ ฟังออกว่าวาจาของอู๋ซานเหลี่ยงมีความนัยแฝงอยู่ อะไรคือไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า? เขาจึงหันไปถามว่า “ลิ่งหูชิว? มีชื่อเสียงมากหรือ?”
อู๋ซานเหลี่ยงพยักหน้ารัวๆ “มีชื่อเสียงมากขอรับ เพียงแค่เคยได้ยินชื่อเสียงเขา ทว่าไร้วาสนาพานพบ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าผู้ที่มาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม”
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองเจ้าสำนักทั้งสามด้วยความงุนงง คล้ายกำลังถามว่าพวกท่านรู้จักหรือไม่?
เซี่ยฮวาลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ลิ่งหูชิวเป็นคนที่มีชื่อเสียงของแคว้นจิ้น คนผู้นี้คบค้าสหายไปทั่วหล้า ชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน ทว่ายังไม่เคยพบหน้ามาก่อน”
เจิ้งจิ่วเซียวกล่าวว่า “คนผู้นี้ยังเป็นนายหน้าที่มีชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรด้วย ถึงแม้ตัวเขาจะไม่มีอิทธิพลอันใด แต่เส้นสายคนรู้จักกลับกว้างขวางนัก ไม่อาจดูแคลนได้…”
เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยว่า “ได้ยินว่าคนผู้นี้คบค้าสมาคมกับคนมากหน้าหลายตาในโลกบำเพ็ญเพียร พูดทำนองว่าจะผูกมิตรสร้างสหายไปทั่วหล้า ไปที่ใดก็ล้วนแต่มีสหาย…”
จากคำบอกเล่าของทั้งสาม หนิวโหย่วเต้าพอจะทราบแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร เขาเพิ่งเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้เป็นครั้งแรก ใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้
แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้เขารู้สึกสงสัยขึ้นมา เอ่ยถามอู๋ซานเหลี่ยงว่า “เจ้าแน่ใจนะว่ามาขอพบข้า มิใช่ขอพบพวกเขา?” พลางชี้นิ้วไปทางพวกเฟ่ยฉางหลิว
อู๋ซานเหลี่ยงตอบว่า “เขาระบุว่ามาพบเต้าเหยี่ยขอรับ”
พวกเฟ่ยฉางหลิวสบตากันเล็กน้อย ดูจากท่าทางแล้วเหมือนหนิวโหย่วเต้าจะไม่รู้จักกับลิ่งหูชิวผู้นั้นเลย หากว่าเป็นลิ่งหูชิวตัวจริง ไยต้องมาขอพบหนิวโหย่วเต้าด้วยเล่า? หรือว่าคิดจะผูกมิตรกับหนิวโหย่วเต้า
หากว่าเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ ในใจพวกเขาทั้งสามคนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย นี่มันหมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ? มันหมายความว่าลิ่งหูชิวคิดว่าหนิวโหย่วเต้ามีอิทธิพลมากกว่าพวกเขาอย่างไรล่ะ
หนิวโหย่วเต้ายังคงรู้สึกยากจะเชื่อได้ มองดูพวกเขาสามคน ถามว่า “ไม่ได้มาหาพวกท่าน แต่มาหาข้า? พวกท่านคิดว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไร?”
เซี่ยฮวาพลันยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยาก”
หนิวโหย่วเต้าถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เซี่ยฮวาเอ่ยแกมหยอกเย้าเล็กน้อย “หมายความว่าชื่อเสียงของพวกเราสามคนไม่อาจเทียบชื่อเสียงของ ‘เต้าเหยี่ย’ ได้อย่างไรล่ะ บางทีลิ่งหูชิวผู้นี้อาจจะไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อสำนักของพวกเราทั้งสามคนด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับต่างออกไป สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน ก่อเรื่องใหญ่โตวุ่นวาย นั่นเป็นเรื่องที่ทั่วหล้าต่างทราบกันดี! แล้วยังมีข่าวลือที่หอหิมะเหมันต์เรื่องนั้นด้วย เกรงว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้า”
“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก จากนั้นพลันหัวเราะฮ่าๆ ยิ้มหยันตัวเองพลางกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นมันก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าเรื่องดีๆ ไม่มีใครรู้ แต่เรื่องชั่วๆ นี่กลับแพร่กระจายออกไปได้อย่างรวดเร็ว เอาจริงๆ นะ พวกท่านมีใครเคยพบเขาหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่มาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม?”
เซี่ยฮวาและเฟ่ยฉางหลิวส่ายหน้า พากันบอกว่าไม่เคยพบมาก่อน
เจิ้งจิ่วเซียวกล่าวว่า “ข้าเคยพบเขาอยู่สองหน แต่ก็เพียงแค่เห็นอยู่ไกลๆ เท่านั้น ยังไม่เคยพูดคุยทักทายกันมาก่อน ดังนั้นจึงไม่อาจนับได้ว่ารู้จักกัน แต่เรื่องจดจำไม่ใช่ปัญหา จะใช่ตัวจริงหรือไม่ เดี๋ยวเจอหน้าก็รู้”
“แขกคนสำคัญมาเยือนถึงที่ มาด้วยสาเหตุใดกัน? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะเดินทางมาไกลเพียงเพื่อผูกมิตรสร้างสหาย แบบนั้นออกจะไร้สาระเกินไป…” หนิวโหย่วเต้าคล้ายเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
เซี่ยฮวาผายมือออก “แต่คนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องชอบคบค้าสหาย หากเขามีนิสัยเช่นนี้จริง เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิบัติต่อเจ้าต่างไปจากผู้อื่น”
“อย่างนั้นหรือ? คนผู้นี้น่าสนใจ…” มุมปากของหนิวโหย่วเต้ายกขึ้นมาเล็กน้อย เขาเองก็เป็นคนที่ชอบคบค้าสหายเช่นกัน นับว่าทั้งสองมีจุดที่เหมือนกันอยู่ ความรู้สึก ‘เข้าอกเข้าใจ’ เช่นนี้มันช่างน่าลองค้นหาดูยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่อาจเทียบกับความแปลกประหลาดของคนผู้นี้ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแผนที่อย่างช้าๆ อีกครั้ง แววตาวูบไหว หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยถามว่า “มากันกี่คน?”
อู๋ซานเหลี่ยงตอบ “แค่สามคนขอรับ นอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีคู่แฝดสาวงามอีกสองคนติดตามมาด้วย”
เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีทางผิดตัวแน่ ที่ข้าพบเขาสองครั้งนั้น เขาก็มีคู่แฝดสาวงามติดตามอยู่ข้างกายจริงๆ ได้ยินว่าเป็นสาวใช้ประจำตัวของเขา เหมือนจะมีนามว่าหงซิ่ว หงฝูอันใดสักอย่าง”
“สามคนหรือ…” หนิวโหย่วเต้าพึมพำอีกครั้ง ยกมือขึ้นเล็กน้อย “เชิญเข้ามา!”
“ขอรับ!” อู๋ซานเหลี่ยงรับคำสั่งแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังยืนนิ่งๆ อยู่ตรงหน้าแผนที่ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พวกเฟ่ยฉางหลิวสามคนสบตากัน เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยขึ้นว่า “เผชิญหน้ากับคนผู้นี้ไม่ควรประมาท เขามาเยือนด้วยตัวเอง พวกเราควรจะไปต้อนรับสักหน่อยหรือเปล่า?”
“อืม ก็จริง ไม่ควรเสียมารยาท” หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา เอ่ยยิ้มๆ “ไปเถอะ ไปต้อนรับแขกคนสำคัญผู้โด่งดังจากแคว้นจิ้นคนนั้นกันเถอะ”
ทั้งคณะออกมาจากคฤหาสน์ มายืนรออยู่ตรงหน้าประตู
ผ่านไปสักพัก เงาร่างหลายร่างเหินทะยานเข้ามา ผู้นำทางคืออู๋ซานเหลี่ยง เมื่อเห็นพวกหนิวโหย่วเต้ามารอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู เขาก็นำทางคนทั้งสามที่อยู่ด้านหลังร่อนลงตรงหน้าประตู
แขกและเจ้าบ้านพบหน้า ต่างฝ่ายต่างพินิจพิเคราะห์กัน
ผู้มาเยือนสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีเขียว เกล้ามวยผมปักปิ่นไม้จันทน์สีแดงด้ามหนึ่ง คิ้วหนาตาโต สองเนตรสดใสเปล่งประกาย แต่งกายเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับให้ความรู้สึกอิสระเสรีไม่ผูกมัด
หญิงสาวสองนางที่ติดตามอยู่ด้านหลังหน้าตาเหมือนกันทุกประการ ต่างสวมชุดสีขาวดั่งหิมะ ใบหน้างดงาม เพียงแต่คนหนึ่งมีสีหน้าเย็นชา แต่อีกคนกลับมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ทันทีที่เห็นก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งสองเป็นฝาแฝด แม้จะบอกว่าเป็นหญิงสาว แต่อันที่จริงอายุน่าจะไม่น้อยแล้ว ดูเหมือนจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว
เมื่อแขกทั้งสามร่อนลงสู่พื้น หนิวโหย่วเต้าก็เหลือบมองเจิ้งจิ่วเซียวเล็กน้อย เจิ้งจิ่วเซียวพยักหน้าให้นิดๆ สื่อว่าไม่ผิดแน่ เป็นลิ่งหูชิวจริงๆ
ลิ่งหูชิวกวาดตามองดูกลุ่มคนเล็กน้อย จากนั้นสายตาพลันไปหยุดอยู่ที่หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนทันที คล้ายว่ามองแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าเป็นผู้นำ คิดอยู่ในใจ ไม่ผิดไปจากที่เล่าลือเลย อายุยังน้อยจริงๆ ด้วย!
“เต้าเหยี่ย ท่านผู้นี้คือท่านลิ่งหูชิวผู้เลื่องชื่อจากแคว้นจิ้นขอรับ” อู๋ซานเหลี่ยงก้าวเข้ามาเอ่ยแนะนำต่อหนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าเดินออกมาประสานมือคำนับทันที เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ผู้น้อยหนิวโหย่วเต้า ชื่นชมชื่อเสียงของท่านลิ่งหูมานานแล้ว วันนี้ได้พบหน้า นับว่าเป็นบุญของแซ่หนิวยิ่งนัก”
ลิ่งหูชิวหัวเราะฮ่าๆ “กล่าวหนักไปแล้ว ก็แค่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่งเท่านั้น อย่าเอ่ยถึงเลย! น้องหนิวต่างหากถึงจะเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าอย่างแท้จริง กระทั่งราชทูตของแคว้นแคว้นหนึ่งก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา สังหารทิ้งไปง่ายๆ ซ้ำยังรอดมาได้อย่างปลอดภัย ความหาญกล้าเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลิ่งหูจะมีได้!”
ทั้งสองต่างยกยอปอปั้นกันอยู่ครู่หนึ่ง หนิวโหย่วเต้าถึงจะแนะนำพวกเฟ่ยฉางหลิวต่อเขา
ลิ่งหูชิวพลันมีท่าทางประหลาดใจยิ่ง “ได้ยินชื่อเสียงของเจ้าสำนักทั้งสามมานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันที่นี่ ยินดีที่ได้พบ”
พวกเฟ่ยฉางหลิวทั้งสามย่อมสนทนาตามมารยาทไปเล็กน้อย ทว่าในใจทราบดี อีกฝ่ายเพียงเอ่ยไปตามมารยาทเท่านั้น ใต้หล้ามีสำนักนิกายมากมายปานนั้น เกรงว่าคงไม่เคยได้ยินชื่อสำนักพวกเขาด้วยซ้ำ
ความจริงแล้วทั้งสามต่างก็ทราบดี ในใจเองก็ยอมรับเช่นกัน หากว่ากันในเรื่องชื่อเสียงแล้ว พวกเขาสู้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้อย่างแน่นอน ก็เหมือนอย่างที่ลิ่งหูชิวว่ามา หนิ่วโหย่วเต้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนจนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ใต้หล้านี้จะมีอยู่สักกี่คนที่กล้าสร้างชื่อเสียงตัวเองด้วยวิธีการเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าโฉมงามทั้งสองท่านนี้คือ?” หนิวโหย่วเต้ามองไปทางคู่แฝดพลางแสร้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
ลิ่งหูชิวยิ้มออกมา เบี่ยงกายไปด้านข้าง
สตรีทั้งสองนางก้าวขึ้นมาทันที โค้งคำนับอย่างนุ่มนวล “บ่าวหงซิ่ว หงฝู น้อมพบคุณชาย น้อมพบเจ้าสำนักทั้งสามเจ้าค่ะ”
ในเมื่อแสดงตัวว่ามีฐานะเป็นสาวใช้ ทั้งกลุ่มก็ไม่เกรงใจมากนัก พยักหน้าให้เล็กน้อย
ตรงหน้าประตูแค่ทักทายกันตามมารยาทก็พอแล้ว เพราะตรงนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุย หนิวโหย่วเต้าย่อมต้องเชิญแขกเข้าไปด้านใน
ทั้งคณะขึ้นมายังหอชมทิวทัศน์อีกครั้ง น้ำชาที่ยกขึ้นโต๊ะก่อนหน้านี้ถูกเก็บไปแล้ว เฮยหมู่ตานยกชาชุดใหม่ที่เตรียมไว้มาให้
ทั้งห้าคนนั่งล้อมวงอยู่บนหอสูง ดื่มชาชมทิวทัศน์ขุนเขา ลิ่งหูฉิวกล่าวชม “เป็นที่ที่ดี”
หนิวโหย่วเต้าถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านลิ่งหูมาด้วยมีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
“เรื่องชี้แนะนั้นมิกล้าเอ่ย ก่อนหน้านี้ตอนน้องหนิวสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนและมีชื่อเสียงกระฉ่อนเลื่องลือขึ้นมา ตัวข้าก็คิดอยากจะมาทำความรู้จักแล้ว ผู้ใดจะคาดคิดว่าต่อมาน้องหนิวจะสร้างชื่อขึ้นที่หอหิมะเหมันต์อีกครั้ง ข่าวลือสารพัด ทำให้ข้าหวาดหวั่นยิ่ง ข้าไม่กล้าล่วงเกินหอหิมะเหมันต์ จึงรอดูสถานการณ์อยู่สักพัก หลังจากสถานการณ์สงบลงแล้ว บังเอิญเดินทางผ่านมาทางนี้ จึงแวะมาเยี่ยมเยือน”
สิ่งที่ลิ่งหูชิวกล่าวมานั้นเป็นความจริง หนิวโหย่วเต้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนจนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ทำให้คนจำนวนไม่น้อยพากันไปสืบหาด้วยความประหลาดใจว่า ‘หนิวโหย่วเต้า’ เป็นผู้ใด คิดไม่ถึงว่าจะใจกล้าเช่นนี้ แล้วก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสนใจเช่นกัน ตอนนั้นเขาก็มีความคิดอยากจะทำความรู้จักอีกฝ่ายแล้ว
เพียงแต่ช่วงนั้นหนิวโหย่วเต้าหลบลี้ไปทั่วไม่เผยร่องรอย แล้วก็มิใช่ว่าใครนึกอยากหาตัวเขาก็จะหาพบได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นหนิวโหย่วเต้าคงถูกราชสำนักแคว้นเยี่ยนจัดการไปตั้งนานแล้ว จนกระทั่งหนิวโหย่วเต้าเผยร่องรอยขึ้นที่หอหิมะเหมันต์ คิดไม่ถึงว่าราชสำนักแคว้นเยี่ยนจะไม่สามารถทำอะไรหนิวโหย่วเต้าได้ นี่จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกสนใจอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าเดิม
ในฐานะคนที่ชอบคบค้าสหายไปทั่วคนหนึ่ง เขารู้ดี คนบางจำพวกหากอยากรู้จักต้องฉวยโอกาสมาหาแต่เนิ่นๆ หากรอจนถึงในอนาคตจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะปีนขึ้นไปสูงจนเอื้อมไม่ถึงแล้วก็เป็นได้
ผู้ใดจะทราบว่าในระหว่างที่เขากำลังเดินทาง จู่ๆ ก็มีข่าวลือที่ไม่ส่งผลดีต่อหนิวโหย่วเต้าแว่วมาจากทางหอหิมะเหมันต์ ทำเอาลิ่งหูชิวเหงื่อตกเล็กน้อย หากผูกมิตรในสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัว หอหิมะเหมันต์ไหนเลยจะล่วงเกินได้ง่ายๆ เขาจึงได้แต่ต้องระงับความคิดนั้นไว้ชั่วคราว เตรียมรอดูสถานการณ์ไปสักระยะแล้วค่อยว่ากัน
ระยะเวลาล่วงเลยมาปีกว่าแล้ว ก็ไม่เห็นว่าหอหิมะเหมันต์จะทำอะไรหนิวโหย่วเต้าเสียที เขาทราบดีว่ามรสุมน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นจึงเดินทางมาหาอีกครั้ง
เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางโบกมือ กล่าวว่า “ท่านลิ่งหูเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้ข้าละอายยิ่งนัก หากไม่จวนตัวไร้หนทาง ข้าก็คงไม่มีทางทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น”
“ทำไปแล้วก็ยังรอดชีวิตมาได้ นี่ต่างหากที่สำคัญ!” ลิ่งหูชิวยกนิ้วโป้งให้ จากนั้นแย้มยิ้มเอ่ยถามคนอื่นๆ “พวกท่านว่าใช่หรือไม่?”
“ฮ่าๆ!” พวกเฟ่ยฉางหลิวหัวเราะแต่ไม่ออกความเห็น บ้างก็พยักหน้านิดๆ
หนิวโหย่วเต้าเริ่มเปิดหัวข้อสนทนา “ท่านลิ่งหูบอกว่าผ่านมาทางนี้ ไม่ทราบจะไปที่ใดหรือ”
ลิ่งหูชิวชี้ทิวเขาโดยรอย พูดจาเปิดเผย “ตัวข้าไม่มีเป้าหมายอะไร เพียงแค่ท่องเที่ยวไปทั่วเท่านั้น”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ได้ยินว่าท่านคบค้าสหายไปทั่ว เส้นสายกว้างขวาง ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่?”
ลิ่งหูชิวโบกมือ “ไม่นับว่ามีเส้นสายอันใดหรอก แค่มีสหายบางส่วนไว้หน้าให้ความช่วยเหลือบ้างก็เท่านั้น”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามทันที “ไม่ทราบว่าท่านมีสหายอยู่ทางแคว้นฉีหรือไม่?”
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกไป พวกเฟ่ยฉางหลิวก็สบตากันเงียบๆ คล้ายจะเดาความคิดของเขาออก แต่ทุกคนก็สงสัยอีกครั้งว่าเดาผิดไปหรือเปล่า เพิ่งพบหน้ากัน พูดจาได้ไม่กี่คำ ต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้จักมักคุ้นกันก็จะขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือในเรื่องนั้นแล้วหรือ?
ลิ่งหูชิวผงะไปเล็กน้อย หันมองแผนที่ที่แขวนอยู่ในหอแผ่นนั้นแวบหนึ่ง แอบนึกสงสัยในความคิดของหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา ทว่าไม่กล้ามั่นใจ ยกถ้วยชาขึ้นมาค่อยๆ จิบทันที ให้เวลาตนเองได้ไตร่ตรองว่าควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไร
เมื่อวางถ้วยชาลง เขายิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ก็พอจะมีสหายที่รู้จักอยู่สามสี่คน น้องหนิวมีธุระใดหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ท่านลิ่งหูปราดเปรื่องนัก มีเรื่องหนึ่งอยากขอความช่วยเหลือจากท่านอยู่พอดี ไม่ทราบว่าท่านยินดีจะช่วยเหลือสักคราหรือไม่?”
ลิ่งหูชิวเอ่ยถามอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย “ลองว่ามาก่อนสิว่าเป็นเรื่องใด”
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกไปขอกาน้ำชา รินชาให้เขาด้วยตัวเอง “ข้าจะไม่ขออ้อมค้อมกับท่านแล้วกัน ข้ารับใช้ยงผิงจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเยี่ยน ยามนี้ท่านอ๋องต้องการม้าศึกอย่างเร่งด่วน ข้าไหนเลยจะนั่งดูดายได้? แคว้นฉีอุดมด้วยม้าพันธุ์ดี ข้าจึงอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน!”
พวกเฟ่ยฉางหลิวทั้งสามต่างค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเข้าไปช้าๆ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
ลิ่งหูชิวมองหนิวโหย่วเต้าอย่างหมดคำพูด บ่นพึมพำอยู่ในใจ นี่มันคนแบบไหนกันเนี่ย พวกเราสนิทสนมกันหรือ? เพิ่งพบหน้ากันก็จะให้ข้าช่วยเป็นธุระให้เจ้าทันที ช่างไร้ความเกรงใจจริงๆ
…………………………………………………………….