ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 25 คนผู้นี้ไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
ตอนที่ 25 คนผู้นี้ไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
เจ้าลิงเมินเรื่องทำสาวท้องโตไป กล่าวตอบว่า “เคยคิด แต่ตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสจริงๆ พักฟื้นอยู่ครึ่งปีถึงหายดี ยังดีที่มีชาวบ้านช่วยดูแล ต่อมาพอถึงช่วงที่ผลผลิตสุกงอม ผมได้เห็นกองทหารบุกมาปล้นด้วยตาตัวเอง ค่อนข้างเลวร้ายจริงๆ ทหารที่นี่ไม่ต่างอะไรกับโจรเลย ทุกครั้งที่ผลผลิตสุกงอมต้องบุกมาปล้นชิงทุกครั้ง”
หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความรู้สึกของเขา รู้ว่าแต่ก่อนเจ้าลิงเคยเป็นทหารในหน่วยรบพิเศษ มีความหลังฝังใจบางอย่าง ส่วนตัวเขาหากไม่เป็นเพราะบังเอิญช่วยดูแลหญิงหม้ายชราผู้เป็นแม่ของเจ้าลิง ทั้งยังเป็นธุระพาไปหาหมอและจัดงานศพให้โดยไม่รู้ว่านั่นคือแม่ของเจ้าลิง ด้วยความสามารถของเจ้าลิงเกรงว่าคงไม่ยอมมาอยู่กับคนแบบตนแน่ เพราะว่าตนกับเขาเดินกันคนละเส้นทางกัน แรกเริ่มที่เจ้าลิงยอมติดตามตนนั้นเป็นเพราะต้องการชดเชยที่ตัวเองอกตัญญูไม่อยู่ดูแลแม่เท่านั้น ภายหลังจึงค่อยๆ ก่อเกิดเป็นสายใยพี่น้อง
“ต่อมาผมคิดว่าถึงออกไปข้างนอกก็ไม่มีทางหาคุณเจออยู่ดี คาดการณ์ว่าไม่ช้าก็เร็วคุณต้องกลับมาเยี่ยมที่นี่แน่ ต้องกลับมาตอบแทนน้ำใจเหมือนที่คุณว่ามาเมื่อครู่นี้ จึงตัดสินใจรอคุณอยู่ที่นี่ ส่วนผมเองก็ต้องตอบแทนน้ำใจชาวบ้านเหมือนกัน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องถูกปล้นสะดมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลยรั้งอยู่ที่นี่ตั้งกลุ่มฝึกฝนชาวบ้านขึ้นมา อีกอย่างก็คือพื้นฐานของร่างนี้ไม่ค่อยดี ผมอาศัยช่วงหลายปีมานี้ออกกำลังฝึกฝนร่างนี้ ไม่อย่างนั้นในโลกที่วุ่นวายขนาดนี้ ถ้าออกไปโดยไม่มีความสามารถป้องกันตัวอะไรเลยสักนิด พอเกิดเรื่องขึ้นมาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้ยังไง”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า ทั้งสองต่างรู้จักอีกฝ่ายดี ดูเหมือนการกลับมาเจอกันอีกครั้งของคนทั้งสองจะเป็นเรื่องที่ถูกลิขิตไว้แล้วเช่นกัน
“คุณล่ะ?” เจ้าลิงพยักเพยิดหน้าไปทางพวกซางเฉาจง “เกิดอะไรขึ้น? เห็นๆ อยู่ว่ามาด้วยกันกับคุณ แต่ทำไมดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับคุณเลย”
“ฮ่า!” หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมอง ถึงนึกขึ้นได้ว่าทำให้คนพวกนั้นตกใจแล้ว เลยตบหลังเจ้าลิงพลางกล่าว “มา จะแนะนำให้นายรู้จักสักหน่อย”
เขานำเจ้าลิงเดินเข้าไปหา หนิวโหย่วเต้าแนะนำพวกซางเฉาจงแก่เจ้าลิงเล็กน้อย จากนั้นก็แนะนำเจ้าลิง “นี่คือสหายสนิทของข้า นามว่า…” เขาเกาท้ายทอย หันไปถามเจ้าลิง “เจ้าชื่ออะไรนะ?” เมื่อครู่ลืมถามไปเลยว่าตอนนี้เขาชื่ออะไร
พวกหลานรั่วถิงแทบอ้าปากหวอ สหายสนิทของเจ้าแต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าชื่ออะไรอย่างนั้นหรือ? เห็นๆ อยู่ว่าพวกเจ้าสนิทกันยิ่งนัก มีใครพูดปดหน้าซื่อตาใสเช่นนี้บ้าง? คนที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่งมาผู้นี้ไม่ค่อยชอบมาพากลเลย!
เจ้าลิงกวาดสายตามองทุกคนอย่างสุขุม “หยวนกัง!”
“โอ้! ใช่ หยวนกัง ออกจากหมู่บ้านไปนาน ลืมชื่อเจ้าไปเลย” หนิวโหย่วเต้าหันไปยิ้มกระอักกระอ่วนกับทุกคนพลางเอ่ยว่า “ตัวข้าความจำไม่ค่อยดีน่ะ”
ส่วนคำพูดนี้ทุกคนจะเชื่อหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตามทุกคนต่างกำลังพิจารณาหยวนกังอย่างละเอียด สายตาต่างจับจ้องไปยังมีดสั้นที่ผูกอยู่บนท้องแขนและต้นขาของหยวนกังโดยไม่รู้ตัว แต่งตัวเหมือนชาวบ้านในป่าเขา แต่บุคลิกท่วงท่ากลับแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาทอแววเมินเฉยต่อพวกเขาอย่างชัดเจนยิ่ง
ชาวบ้านในป่าเขาทั่วไปที่เห็นขบวนของพวกเขาแล้วไม่หวาดผวาตัวสั่นงันงกน่ะสิถึงแปลก ไหนเลยจะสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ได้? ท่านอ๋องเชียวนะ! หรือไม่รู้ว่าท่านอ๋องคืออะไร? พวกซางเฉาจงสบตากันแวบหนึ่ง อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ หรือว่าผู้คนจากหมู่บ้านนี้ล้วนแต่เป็นเช่นนี้?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกเขาก็นึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา อยากเห็นจริงๆ ว่านั่นจะเป็นหมู่บ้านเช่นไรกันแน่
“ให้คนของพวกเจ้าอยู่นิ่งๆ ไว้ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” หยวนกังจ้องมองซางเฉาจงพลางกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
องครักษ์ข้างกายซางเฉาจงแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวในทันใด ทว่าซางเฉาจงกลับยื่นมือไปขวางไว้
หยวนกังส่งสายตาดูแคลนไปทางองครักษ์คนนั้น ก่อนจะหมุนตัวกลับไป สองนิ้วสอดเข้าไปในปาก ผิวปากดัง “วี้ด” เสียงใสกังวาน
ในป่าที่อยู่ด้านข้างพลันมีความเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มห้าหกคนทยอยวิ่งตามกันออกมา มุ่งหน้ามาที่นี่ด้วยสีหน้าระแวดระวัง ดูค่อนข้างหวาดกลัวทหารอย่างเห็นได้ชัด
พวกหลานรั่วถิงสบตากันอีกครั้ง รู้สึกว่านี่สิถึงจะเหมือนท่าทางของชาวบ้านหน่อย
“พี่กัง นี่มันอะไรกัน?” เด็กหนุ่มที่เป็นผู้นำถามหยั่งเชิง
หยวนกังชี้ไปที่หนิวโหย่วเต้า “ต้าปั้ง กลับไปบอกที่หมู่บ้านที บอกว่าหนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว ข้าจะไม่กลับไปอีก จะไปกับเขา ต่อไปพวกเจ้าต้องดูแลหมู่บ้านตามที่ข้าบอก น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” เขาไม่ขอความเห็นจากหนิวโหย่วเต้า ตัดสินใจแทนหนิวโหย่วเต้าทันที ไม่กลับเข้าหมู่บ้าน!
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ พลางยิ้มให้เด็กเหล่านั้น เขาเข้าใจเจตนาของหยวนกัง อีกฝ่ายไม่อยากให้คนเข้าไปขุดคุ้ยประวัติในหมู่บ้าน ส่วนเรื่องที่จะติดตามตนไปนั้น นั่นเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
“หนิวโหย่วเต้า?” ต้าปั้งตะลึงไปแวบหนึ่ง พิจารณาหนิวโหย่วเต้าจากหัวจรดเท้า เผยสีหน้าปรีดาพลางเอ่ยว่า “หวา! พี่เต้า เป็นท่านจริงๆ ด้วย ท่านดูร่ำรวยขึ้นนะเนี่ย หากพี่กังไม่บอก ข้าคงจำท่านไม่ได้แน่ พี่เต้า ข้าคือต้าปั้งไง ต้าปั้งที่เมื่อก่อนชอบตามก้นท่านต้อยๆ ไง!”
“มีข้าด้วย ข้าคือเหมิ่งจึไง!”
“พี่เต้า ข้าคือเสี่ยวโก่วจึ…”
“ข้าคือต้าหว่าน พี่เต้า ท่านไปไหนมาตั้งหลายปี ตอนนั้นท่านหายไป คนในหมู่บ้านตามหาท่านไปทั่ว ภายหลังยังมีคนมาสอบถามถึงท่านที่หมู่บ้านด้วย ซ้ำยังมีคนเคยเห็นท่านในเมืองอีก…”
เด็กหนุ่มหลายคนล้อมวงกันเข้ามา เบียดเสียดยื้อแย่งกันพูด ท่าทางดีใจอย่างยิ่ง
มีคนมาสอบถามที่หมู่บ้านหรือ? แถมยังมีคนในหมู่บ้านเคยเห็นข้าในเมืองด้วย? หนิวโหย่วเต้าตะลึงเล็กน้อย จากนั้นพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ หัวเราะดังฮ่าๆ ยื่นมือชี้เหล่าหนุ่มน้อยที่กรูกันเข้ามา “ต้าปั้ง เหมิ่งจึ เสี่ยวโก่วจึ…” จากนั้นเรียกชื่อที่พวกเขาแนะนำกับตนออกมารอบหนึ่ง “จำได้หมดนั่นแหละ ต้าหว่านเมื่อก่อนตามข้าไปจับปลาที่แม่น้ำจนเกือบจมน้ำตาย…” อย่างไรเขาก็ไม่รู้จักสักคน แค่พูดเรื่องที่คิดว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านน่าจะทำออกมามั่วๆ เท่านั้น
มุมปากหยวนกังกระตุกเล็กน้อย พบว่าเต้าเหยี่ยยังคงเป็นเต้าเหยี่ยคนเดิม!
ต้าหว่านพยักหน้าอย่างมีความสุข “ใช่แล้วๆ!” ทว่าในใจกลับฉงน ดูเหมือนจะเคยจับปลา แต่เกือบจมน้ำด้วยหรือ?
“พี่เต้า กลับมาทั้งทีไม่ไปเยี่ยมดูหมู่บ้านหรือ? พี่กังบอกพวกท่านจะไปด้วยกัน ไปไหนหรือ?” ต้าปั้งถามด้วยความอยากรู้ ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคำว่าไปที่หยวนกังบอกมีความหมายอย่างไร ในภาพจำของพวกเขา คนในหมู่บ้านนี้ไม่เคยไปไหนไกลเลย
หยวนกังตอบสั้นๆ “ไปดูโลกภายนอก อย่าถามมากนัก”
มองออกเลยว่าหยวนกังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากกลุ่มเด็กหนุ่มอย่างยิ่ง เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่ถามอีก
ต้าปั้งเกาหัวกล่าวว่า “พี่กัง พาพวกเราไปดูด้วยสิ”
“โลกภายนอกวุ่นวาย รักษาชีวิตอยู่ในหมู่บ้านสำคัญกว่าทุกสิ่ง เรื่องอื่นรอดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน” หยวนกังกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะหันไปถามหนิวโหย่วเต้า “มีเงินหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าไปทางม้าของตน “ในห่อสัมภาระ กำลังจะเอาไปส่งที่หมู่บ้านพอดี”
หยวนกังเดินเข้าไปยื่นมือควานในห่อสัมภาระอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงแค่ถุงเงินออกมา กะน้ำหนักในมือเล็กน้อย เกิดเป็นเสียงดังกราวๆ เขาเดินกลับมาเปิดถุงเงินดู เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดงเป็นกอง ทั้งเหรียญเงินและเหรียญทองล้วนหล่อขึ้นจากพิมพ์เดียวกับเหรียญทองแดง เหรียญทองมีมากที่สุด เหลืองอร่ามแยงตา
“หวา!” พวกเด็กๆ ไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน ล้อมวงเข้ามาทันที ล้วนอยากยื่นมือออกไปจับดู ท่าทางแลดูละโมบ
หยวนกังรูดเชือกปากถุง มัดให้แน่น โยนให้ต้าปั้งพร้อมเอ่ยกำชับว่า “นำเงินนี้ไปมอบให้พวกผู้เฒ่าดูแลร่วมกัน บอกพวกเขาว่าถึงจะมีเงินมาก แต่อย่านำออกไปซื้อของสุรุ่ยสุร่าย โลกภายนอกมีสงครามวุ่นวาย หากเผยความมั่งคั่งจะชักนำภัยมายังหมู่บ้าน ให้นำออกมาใช้กับเรื่องเร่งด่วนหรือซื้อของที่จำเป็นเท่านั้น จำได้หรือไม่?”
พวกหลานรั่วถิงทั้งสามได้ยินก็สบตากันอีกครั้ง สายตาที่มองหยวนกังทวีความสนใจขึ้นเรื่อยๆ
หนิวโหย่วเต้าเองก็พยักหน้าเอ่ยว่า “อืม ถ้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หากข้ากลับมาทวงเงินที่หมู่บ้านก็อย่ามาว่ากันล่ะ เงินของข้าก็หามาอย่างยากลำบากเหมือนกัน เอามาคลายความเดือดร้อน มิใช่ให้ผู้อื่นใช้จ่ายฟุ่มเฟือย”
เหล่าเด็กหนุ่มต่างพยักหน้ารับ ต้าปั้งตบหน้าอกกล่าวว่า “พี่เต้าวางใจเถอะ พวกเรารู้ว่าเงินทองหายาก ท่านยอมนำเงินมากมายขนาดนี้มาให้คนที่หมู่บ้านด้วยจิตเมตตา จะเอามาใช้ฟุ่มเฟือยได้ยังไง กลับไปข้าจะพูดให้ชัดเจนแน่นอน”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “เช่นนั้นก็ดี”
หยวนกังโบกมือไล่ “เอาล่ะ กลับไปเถอะ”
คำพูดของเขายังคงมีผลยิ่ง เด็กหนุ่มทั้งหลายจากไปอย่างเชื่อฟัง เดินไปพลางหันกลับมาโบกมือให้เป็นระยะ “พี่กัง พี่เต้า พวกเรากลับกันก่อนนะ พวกพี่ก็รีบไปรีบกลับล่ะ!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ โบกมือให้ หยวนกังเพียงยืนมองดูนิ่งๆ
กระทั่งทุกคนหายลับไปแล้ว หยวนกังจึงหันมาเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้า “ไปเถอะ!”
หลานรั่วถิงที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องหยวน ขี่ม้าเป็นหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าหันไปตอบอย่างอารมณ์ดี “อย่าว่าแต่ขี่ม้าเลย เครื่องบินกับรถถังเขาก็ขับได้”
“เครื่องบิน? รถถัง?”
หลานรั่วถิง ซางเฉาจง ซางซูชิงเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน นิ่งทื่อกันไปหมด ท่าทางงุนงงยิ่งนัก ทั้งสามคนมองกันไปมองกันมา ด้วยนึกว่าตนฟังผิดไป แต่เมื่อเห็นคนอื่นๆ ก็มีท่าทางงุนงงเช่นกันถึงรู้ว่าตนไม่ได้ฟังผิดไป
“เครื่องบินกับรถถังคือสิ่งใดหรือ?” ซางซูชิงเอ่ยถาม
หยวนกังท่าทางเย็นชา ไม่ตอบสนองใดๆ
หนิวโหย่วเต้าเองก็ทราบแล้วว่าตนพลั้งปากไป หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ของบ้านๆ น่ะ ไม่เข้าตาพวกท่านหรอก อย่าเอ่ยถึงเลย”
“กลับเป็นพวกเราที่ความรู้ตื้นเขินไปเสียแล้ว” ซางซูชิงเอ่ยด้วยความเสียดาย เมื่อเห็นเขาไม่ยอมเอ่ยอะไรมากนัก จึงไม่ถามต่อเช่นกัน
หลานรั่วถิงกลับพยักเพยิดหน้าไปทางสุดปลายถนน “ในเมื่อฝ่าซือกลับมาถึงบ้านเกิดทั้งที จะไม่กลับไปเยี่ยมหน่อยหรือ?”
หยวนกังที่ไม่ยอมพูดกับพวกเขาพลันเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ทุกครั้งที่ทหารมา ล้วนเข้าปล้นสะดมหมู่บ้านทุกครั้ง ชาวบ้านไม่อยากเห็นกลุ่มทหารจำนวนมากเช่นนี้”
แต่ละคนล้วนฟังความหมายในวาจาเขาออก หลานรั่วถิงและซางเฉาจงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ามิใช่เพราะโกรธเคืองวาจานี้ แต่เป็นเพราะเข้าใจประโยคนี้อย่างถ่องแท้ อย่าว่าแต่ในอดีตเลย เอาแค่ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ก็ได้พบเห็นเหตุการณ์อันน่าสลดอย่างที่หยวนกังพูดมาไม่น้อยแล้ว
แต่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายซางเฉาจงกลับโมโห ถือแส้ชี้หน้าหยวนกังพลางตำหนิ “บังอาจ! ท่านอ๋องไหนเลย…”
หยวนกังปรายตามองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ซางเฉาจงส่งเสียงเตือน บอกให้คนผู้นั้นหุบปาก
สถานการณ์ดูค่อนข้างกระอักกระอ่วน หนิวโหย่วเต้ารีบหัวเราะแหะๆ เอ่ยรอมชอมว่า “เหตุผลหลักคือไม่อยากถ่วงรั้งการเดินทางของท่านอ๋องให้ล่าช้า ไม่ไปก็ได้ ไม่ไปก็ไม่เป็นไรเลย”
ซางเฉาจงหันไปสั่งการ “มอบม้าให้น้องหยวนหนึ่งตัว!” มองออกว่าจากความประทับใจแรกพบ เขารู้สึกดีกับหยวนกังมากกว่าหนิวโหย่วเต้า เหตุผลง่ายดายยิ่ง เขามองเพียงแวบเดียวก็เห็นบุคลิกเช่นเดียวกับกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจากในตัวหยวนกัง ชวนให้สนิทสนม แต่หนิวโหย่วเต้าคนนี้ไม่เคยมีความจริงออกมาจากปากเลย ไม่คล้ายว่าจะเป็นคนดีอันใด
จากนั้นมีคนปลดม้าตัวหนึ่งมาให้ หยวนกังรับบังเหียนมา ก่อนจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว
พวกหลานรั่วถิงลอบสังเกตดูเขา มองออกว่าหยวนกังไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปในป่าเขา ดูมีประสบการณ์ในการควบคุมม้า
ซางเฉาจงโบกมือคราหนึ่ง คนทั้งขบวนไม่ได้เดินหน้าต่อ หากแต่กลับหลังหันย้อนสู่เส้นทางเดิม
………………………………………