ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 250 กลัวผมจะเป็นตัวถ่วงคุณใช่ไหม
ตอนที่ 250 กลัวผมจะเป็นตัวถ่วงคุณใช่ไหม?
หลังจากก้มหน้าอ่านเนื้อความจดหมายในมือ เฉินถิงซิ่วพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะสาบานเป็นพี่น้องกับลิ่งหูชิว!
เขาเงยหน้ามองเจ้าสำนัก พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสีหน้าของเจ้าสำนักถึงดูแปลกไป
เพราะเรื่องม้าศึก ก่อนที่สำนักหยกสวรรค์จะลงมือก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จัดการได้ยาก ด้วยเหตุนี้ศิษย์ที่ทางนี้ส่งไปยังแคว้นฉีจึงล้วนเป็นศิษย์ชั้นยอดที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ผลคือบ้างก็ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นั่น บ้างก็กระเสือกกระสนกลับมา
สมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์อาจจะมีความอาวุโส มีประสบการณ์และสภาวะสูงกว่าศิษย์ชั้นยอดเหล่านั้น ทว่าไม่ได้แปลว่าความสามารถในการจัดการเรื่องราวจะเยี่ยมยอดไปกว่าศิษย์ชั้นยอดเหล่านั้น ปัญหาบางอย่างในแคว้นฉี อาศัยเพียงพลังการต่อสู้ของสำนักหยกสวรรค์นั้นไม่สามารถจัดการแก้ไขได้ ศิษย์ชั้นยอดเหล่านั้นไร้กำลังจะจัดการเรื่องราวได้ ต่อให้เป็นสมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ก็ไม่แน่ว่าจะจัดการได้ สมาชิกระดับสูงที่ทางสำนักส่งไปภายหลังก็ล้มเหลวเช่นกัน นี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดในจุดนี้
แต่สุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ต้องคิดหาทางแก้ไขปัญหาอยู่ดี ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานกาณณ์อันซับซ้อน การจะส่งผู้ใดไปจัดการจึงกลายเป็นปัญหาขึ้นมา ต่อมาเจ้าสำนักชี้ให้เห็นจุดหนึ่ง บอกว่าในสำนักยังขาดศิษย์ที่มีความสามารถแบบหนิวโหย่วเต้า แนะนำทุกคนว่าหลังจากนี้เวลาที่รับศิษย์เข้ามา ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติในด้านนี้ให้มากหน่อย!
ทุกคนเข้าใจความหมายของท่านเจ้าสำนัก หลังจากสังเกตดูเรื่องบางอย่างมาแล้ว หนิวโหย่วเต้านั้นมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ที่ซับซ้อนจริงๆ เจ้าสำนักอยากให้หนิวโหย่วเต้าไปลองจัดการเรื่องม้าศึกดู ทว่าหนิวโหย่วเต้ามิใช่ศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์ หากให้หนิวโหย่วเต้าไป ภาพลักษณ์ของสำนักหยกสวรรค์คงจะดูไม่ค่อยดีเท่าไร จะให้สำนักหยกสวรรค์ยอมรับว่าตนไร้ความสามารถหรือ?
ไม่สามารถเอ่ยปากออกไปเช่นนี้ได้ ยังต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้บ้าง
เมื่อมีการหารือกัน ความคิดเห็นต่างๆ จึงถูกแสดงออกมา
มีคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต้ามีความสามารถอย่างที่ว่ามา เหตุผลคือหากเขามีความสามารถจริงๆ เหตุใดถึงถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับไล่ออกจากสำนักเยี่ยงสุนัขจรจัดได้?
ความเห็นนี้เอนเอียงไปทางเหยียดหยามดูหมิ่น!
มีคนเสนอความเห็นว่า หรือจะรับหนิวโหย่วเต้าเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักหยกสวรรค์ จากนั้นก็ให้หนิวโหย่วเต้าไปทำงาน เพียงเท่านี้ก็นับว่าถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว
ความเห็นนี้เอนเอียงไปทางข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน!
และในช่วงเวลาที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้เอง หนิวโหย่วเต้าก็ได้ผิดสัญญา เรียกร้องให้ทางนี้แบ่งกำไรจากสุราให้ทั้งสามสำนักด้วย ทางนี้ทราบดีว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต้าและสามสำนักลงเรือลำเดียวกันแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังจากหารือกันแล้ว จึงตกลงกันว่าจะฉวยโอกาสนี้ผลักภาระออกไป แต่ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะยังคงเก็บตัวบำเพ็ญเพียรต่อไป ไม่คิดจะโผล่หน้าออกมาเลย
จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อได้อ่านจดหมายลับ ทำให้ทราบว่าในที่สุดหนิวโหย่วเต้าก็รอไม่ได้แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าลิ่งหูชิวจะเป็นฝ่ายมาหาหนิวโหย่วเต้าด้วยตัวเอง อีกทั้งหนิวโหย่วเต้ายังสาบานเป็นพี่น้องกับลิ่งหูชิวด้วย
ตอนแรกเจ้าสำนักเคยไปขอความช่วยเหลือจากลิ่งหูชิวแล้ว ทว่าลิ่งหูชิวปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ไม่ให้ความช่วยเหลือ หากครานี้หนิวโหย่วเต้าจัดการลิ่งหูชิวได้ สุดท้ายลิ่งหูชิวยอมยื่นมือช่วยเหลือ แล้วแบบนั้นจะให้เจ้าสำนักรู้สึกอย่างไรเล่า?
เฉินถิงซิ่วยื่นจดหมายส่งให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ผลัดกันอ่าน หลังจากอ่านจบ เหล่าผู้อาวุโสพากันนิ่งเงียบไปทีละคนๆ
…..
หลังพักค้างคืนอยู่ในจังหวัดชิงซานหนึ่งวันกว่า ในที่สุดหนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเรื่องม้าศึกขึ้นมาอีกครั้ง
สองพี่น้องพูดคุยกันเป็นอย่างดี ลิ่งหูชิวตอบตกลงอย่างง่ายดาย แล้วก็นัดหมายวันเวลาออกเดินทาง
หงซิ่วและหงฝูมองไปทางลิ่งหูชิวที่ตอบตกลงอย่างง่ายดายบนโต๊ะสุราเล็กน้อย จากนั้นแอบสบตากัน
เรื่องบางอย่างทั้งสองรู้แก่ใจดี เนื่องเพราะเห็นแก่หน้าลิ่งหูชิวจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป หากเรื่องร่วมสาบานไม่ได้เป็นเพราะตงกัวเฮ่าหรานไปเสียทั้งหมด เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นเพราะคำพูดที่หนิวโหย่วเต้าบอกพวกนางทั้งสองว่า ‘อยากได้มาครอบครองจริงๆ’ ความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาคือถ้าไม่ให้ก็จะฉีกหน้าแตกหักกันไปเลย สำหรับคนที่กล้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนแล้ว คำพูดนี้นับว่ามีความเป็นไปได้อยู่
เพียงแต่ท่าทีของหนิวโหย่วเต้าไม่ได้แข็งกร้าวเช่นนั้น มอบทางลงให้แก่นายท่าน รีบเปลี่ยนเรื่องไปที่การสาบานเป็นพี่น้องทันที ด้วยเหตุนี้นายท่านถึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย
เพียงแต่ทั้งสองก็เชื่อว่าสำหรับนายท่านที่คบหาสหายไปทั่วแล้ว ขอเพียงคนที่นายท่านคบหาด้วยเอ่ยเรื่องร่วมสาบานออกมา นายท่านก็คงไม่ปฏิเสธทั้งนั้น แต่ที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดเอ่ยเช่นนี้ แต่เต้าเหยี่ยคนนี้กลับใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งไปพร้อมกัน ดูแล้วน่าจะเป็นการบีบให้นายท่านต้องฝืนยอมรับไว้
จากนั้นมองไปทางเต้าเหยี่ยที่ใบหน้ายิ้มแย้มดูคล้ายไร้พิษภัย พยายามเรียกขานว่า ‘พี่ลิ่งหู’ อยู่ไม่ขาดปาก
ภาพเหตุการณ์ยามที่เจรจาต่อรองกันยังคงปรากฏชัดอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
เพิ่งจะคุยกันได้ไม่กี่ประโยค คนผู้นี้ก็เอ่ยออกมาแล้วว่าต้องการม้าศึก นายท่านแสดงความลำบากใจ ผลคือคนผู้นี้ก็ยังตอบรับไปตามสถานการณ์ แค่ไม่กี่ร้อยตัวก็ได้ ทำให้นายท่านจำเป็นต้องตอบรับ ผู้ใดจะทราบว่าพอนายท่านตอบตกลงแล้ว คนผู้นี้กลับวกไปที่เรื่องเพิ่มจำนวนม้าอีก พอเพิ่มจำนวนม้าไม่ได้ก็วกออกประเด็นทันที ไม่คุยต่อแล้ว หากแต่พุ่งเป้ามาที่พวกนางทั้งสองโดยตรง เมื่อไม่ให้ก็ยังเพิ่มราคาเพื่อจะเอาตัวพวกนางให้ได้ แอบใช้ ‘มีด’ มาจ่อเอาไว้ที่เอวเพื่อข่มขู่ แต่ก็ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเช่นกัน หลังจากทำให้เจ้ารู้แจ้งแก่ใจแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที กระโดดมาที่การร่วมสาบานเลย
ตอนนี้จัดการเรื่องร่วมสาบานได้แล้ว รับรองด้วยสุราอาหารแล้ว ระหว่างพี่น้องพูดคุยกันด้วยดี ประเด็นกลับมาอยู่ที่เรื่องม้าศึกอีกครั้ง วนอ้อมไปมาก็กลับมาที่เดิม ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย!
ทั้งสองต่างรู้สึกสงสัย หากว่าเรื่องร่วมสาบานไม่สามารถตกลงกันได้ เต้าเหยี่ยผู้นี้ยังจะเอาเรื่องอะไรออกมาเป็นข้ออ้างต่อหรือไม่
…..
ณ ทะเลสาบที่อยู่ในช่องเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่นับเป็นเขตหวงห้าม เป็นเขตหวงห้ามของหยวนกัง ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนบุกรุกเข้ามา
หนิวโหย่วเต้าย่อมถือเป็นข้อยกเว้น เขาค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเนินเขา ก้มลงมองดูภาพช่องเขาจากมุมสูง เห็นบนผิวทะเลสาบมีระลอกคลื่นเปล่งประกายระยิบระยับ หากสังเกตดูดีๆ จะพบว่าบนผิวน้ำมีของจำพวกฟางแห้งลอยอยู่ หากมองลงไปจากมุมสูง จะเห็นว่าใต้น้ำมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่รางๆ
ยามที่เข้าใกล้ริมฝั่ง ร่างของแต่ละคนจะผุดขึ้นมาจากน้ำอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ แตะชายฝั่ง
ทันใดนั้น คนกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากพุ่มหญ้า การต่อสู้จับกุมอันดุเดือดเปิดฉากขึ้น
ที่อยู่ในน้ำก็ยื้อยุด ที่อยู่บนฝั่งก็ต่อยตี การต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายมีคนล้มลงไปแล้วคลานลุกขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านมาปีกว่าแล้ว เมื่อได้รับอาหารบำรุงอย่างเพียงพอ ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหรือว่าร่างกาย ล้วนเจริญวัยเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แล้ว
หนิวโหย่วเต้าหันหลังกลับไปมองเล็กน้อย เห็นหยวนกังค่อยๆ เดินขึ้นมาจากด้านล่างเนินเขา หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปชมฉากต่อสู้ริมทะเลสาบต่อ
หยวนกังมายืนอยู่ข้างๆ เขา เอ่ยถาม “จะไปแคว้นฉีเหรอครับ?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “พรุ่งนี้”
หยวนกังพยักหน้า “ผมจะไปเตรียมตัวหน่อย” หันหลังเตรียมเดินไป
หนิวโหย่วเต้าร้องบอก “นายไม่ต้องไป”
หยวนกังหันกลับมา มองเขาด้วยแววตาลุกวาว ต้องการคำอธิบาย
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ครั้งนี้ไม่ได้โดดเดี่ยวอ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว มีคนติดตามไปมากพอ ที่นี่ต้องการคนที่ไว้ใจได้คอยเฝ้า ฉันจะได้ไม่ต้องคอยพะวงหลัง”
หยวนกังเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่เหตุผล กลัวผมจะเป็นตัวถ่วงคุณใช่ไหม?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “ใช่! นายน่าจะรู้ดี ที่นี่ต่างไปจากเมื่อก่อน ไม่มีพื้นที่ให้นายได้แสดงฝีมือมากนัก”
“บอกจุดหมายปลายทางกับผมก็พอ ผมไม่เดินทางไปกับคุณหรอก” หยวนกังพยักเพยิดไปทางกลุ่มคนที่ริมทะเลสาบ “จะเอาแต่ฝึกฝนอยู่ในบ้านไม่ได้ ต้องออกไปเปิดโลกบ้าง ถ้าไม่เคยเจอสถานการณ์อันตรายจริงๆ ก็ไม่มีทางเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการฝึกฝน” กล่าวจบก็หันหลังเดินออกไป
หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว ให้คนปิดบังเจ้าหมอนี่ไว้แล้ว ทำไมยังปล่อยให้เจ้าหมอนี่รู้เรื่องได้อีก?
…..
ภายในรถม้าที่ส่ายโคลงเคลง หนิวโหย่วเต้าและซางซูชิงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน กลับเข้าตัวเมืองจังหวัดชิงซานด้วยกัน
ภายในรถม้าเงียบอยู่เป็นเวลานาน จู่ๆ ซางซูชิงพลันลองถามประโยคหนึ่งว่า “จะไปบอกลาเสด็จพี่ของข้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าที่เกยคางไว้บนสองมือที่กุมด้ามกระบี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “อยู่ว่างมานาน สมควรออกไปสูดอากาศบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงเงียบไป
เมื่อรถม้ามาถึงประตูหลังจวนผู้ว่าการจังหวัด ทั้งสองลงจากรถม้าทีละคน เดินเข้าไปในจวน
หลานรั่วถิงมีงานราชการต้องสะสาง จึงไม่อยู่ มีเพียงซางเฉาจงที่มารอรับด้วยตัวเอง
ซางเฉาจงย่อมมีสีหน้ายิ้มแย้มกระตือรือร้น ไป๋เหยาที่ยืนอยู่ตรงมุมลานเรือนเฝ้ามองอยู่ไกลๆ
เมื่อนั่งลงในโถงรับรองแล้ว ซางเฉาจงยกน้ำชามาให้ด้วยตัวเอง หนิวโหย่วเต้ารีบลุกขึ้นเอ่ยว่ามิบังอาจ
เมื่อทั้งสองฝ่ายนั่งลงอีกครั้ง ซางเฉาจงเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย มาครั้งนี้มีเรื่องใดจะสั่งการหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย “เรื่องม้าศึกน่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเตรียมจะไปดูสถานการณ์ที่แคว้นฉีด้วยตัวเอง”
“เกรงว่าทางนั้นจะไม่ค่อยปลอดภัย เต้าเหยี่ยนั่งสั่งการอยู่ทางนี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงด้วยตัวเองเลย” ซางเฉาจงเอ่ยแสดงความกังวล เพียงแต่เมื่อหันไปสบเข้ากับสายตาแปลกๆ ของน้องสาว เขาก็รู้สึกละอายใจและกระอักกระอ่วนขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “กระหม่อมไม่เข้าใจเรื่องราวและผู้คนของทางนั้นเลยสักนิด แล้วจะนั่งสั่งการได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ยังคงต้องไปดูสักหน่อยจะดีกว่า”
ซางเฉาจงกล่าวว่า “ข้าจะติดต่อสำนักหยกสวรรค์ ให้สำนักหยกสวรรค์ส่งยอดฝีมือมาคุ้มกันเต้าเหยี่ยหน่อย”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “เรื่องคุ้มกันนั้นไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมอยากให้ท่านอ๋องแจ้งกับทางสำนักหยกสวรรค์เอาไว้ ว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ขอให้คนของสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ทางแคว้นฉีให้ความร่วมมือกับกระหม่อมอย่างเต็มที่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้!” ซางเฉาจงพยักหน้าหงึกๆ เอ่ยถามอีกครั้ง “จะออกเดินทางเมื่อไร?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “พรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
……
ตกเย็น ริมทะเลสาบ เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งยืนตัวตรงดั่งทวน ยืนเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย
หยวนกังเดินออกมาจากกระท่อมไม้ที่อยู่ริมทะเลสาบ หยวนเฟิง หนิวหลิน หยวนหั่ว หนิวซานยกเข่งใบใหญ่ออกมาหลายใบ
หยวนกังยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มเด็กหนุ่ม เอ่ยเสียงเข้ม “กินอิ่มกันหมดแล้วใช่หรือไม่?”
“อิ่มแล้วขอรับ!” ทั้งกลุ่มตะโกนตอบ
หยวนกังหันไปสั่งทางด้านหลัง “เอาของไปแจก”
หยวนเฟิงตะโกนเรียกตามลำดับ เหล่าเด็กหนุ่มเดินเวียนกันเข้ามารับของจากมือทั้งสี่คนไป แผนที่ เหรียญทองแดง มีดสั้น ห่อสัมภาระ
เมื่อแจกจ่ายของครบแล้ว เหล่าเด็กหนุ่มกลับไปยืนที่เดิม
หยวนกังเอ่ยเสียงดัง “แต่ละคนจะได้รับเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองแดง มีดสั้นหนึ่งเล่ม สัมภาระหนึ่งห่อ ในห่อมีอาหารแห้งสำหรับหนึ่งวันและเสื้อผ้าสะอาดสำหรับผลัดเปลี่ยนหนึ่งชุด นี่คือของที่แบ่งให้พวกเจ้าใช้ในช่วงเวลาสองสามเดือนหลังจากนี้ ระหว่างทางจะได้กินอิ่มหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าแล้ว หากหิวตายก็สมควร!”
“ทุกคนแยกย้ายกันออกเดินทาง จับกลุ่มห้าคน แต่ละกลุ่มจะได้รับแผนที่หนึ่งฉบับ บนแผนที่ระบุตำแหน่งจุดหมายปลายทางไว้แล้ว ส่วนจะเดิน จะวิ่ง หรือไปอย่างไรนั้น พวกเจ้าจงคิดหาทางเอาเอง สรุปแล้วคือต้องไปถึงที่หมายตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ หากไปถึงไม่ทัน จะไม่มีใครอยู่รอพวกเจ้า”
“หลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว ให้กลับไปพักผ่อนทันที รักษากำลังเอาไว้ พอเลยเที่ยงคืนนี้ไป ให้เดินทางออกทางภูเขาด้านหลังอย่างลับๆ ตามเวลาที่กำหนดไว้! ได้ยินชัดเจนหรือไม่?”
“ได้ยินชัดเจนขอรับ!” มีเสียงตะโกนตอบพร้อมเพรียง
หยวนกังใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ สีหน้าเย็นชา หันหลังเดินออกไปเพียงลำพัง
จากนั้นเฟิง หลิน หั่ว ซานทั้งสี่คนจัดการแบ่งสมาชิกทั้งหมดออกเป็นกลุ่มๆ รวมถึงอธิบายเรื่องบางอย่างที่ต้องระมัดระวังเอาไว้ให้
เป็นไปตามที่หยวนกังบอกไว้ พอเลยเที่ยงคืนไป เงาร่างกลุ่มหนึ่งแหวกฝ่าความมืดไปทางภูเขาที่อยู่ด้านหลัง หายเข้าไปในส่วนลึกของป่าเขาอย่างเงียบเชียบ
หยวนกังเองก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย ออกเดินทางเร็วกว่าหนิวโหย่วเต้า
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรของสามสำนักที่เร้นกายอยู่ในป่าเขาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้จนชินแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
พอฟ้าสาง แสงตะวันสีทองฉาบทั่วท้องนภา ในลานเรือนแห่งหนึ่งของทางสำนักเซียนสถิต ทั้งสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสต่างส่งยอดฝีมือสำนักละห้าคนมารวมตัวอยู่ที่นี่
กงซุนปู้เดินตามหนิวโหย่วเต้าเข้ามา ครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าเจาะจงให้เขาไปด้วยกัน คนที่ติดตามไปด้วยยังมีศิษย์ของสำนักเบญจคีรีอีกห้าคน แต่ละคนล้วนแบกกรงที่บรรจุปีกทองไว้บนหลังด้วย
………………………………………………………………