ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 253 มีคนจ้องจะลงมือกับหนิวโหย่วเต้า
ตอนที่ 253 มีคนจ้องจะลงมือกับหนิวโหย่วเต้า
ภายในป่ามีเสียงเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเล็กน้อย เสียง ‘ฟุบ’ ดังขึ้น แว่วมาจากหน้าไม้ที่อยู่ในมือของหยวนหั่ว ไก่ฟ้าตัวหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้บนเนินเขาบินโผออกมา จากนั้นร่วงลงพื้นอีกครั้ง
หลังกวาดสายตามองไปมาเล็กน้อย ทั้งคณะก็ออกเดินทางต่อโดยไม่หยุดชะงักใดๆ
หยวนกังคอยเปิดทางอยู่ด้านหน้า ทั้งสี่เฝ้าระวังรอบข้าง เสียงฝีเท้าม้าดังหนักแน่น มุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าเขา
หน้าไม้ที่ทั้งสี่ถืออยู่ในมือออกแบบโดยหยวนกัง สามารถประกอบรวม แล้วก็สามารถถอดแยกชิ้นส่วนได้ ชิ้นส่วนในการประกอบถูกสร้างขึ้นโดยกงซุนเถี่ยหนิว
เดิมทีกงซุนเถี่ยหนิวไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย มอบหมายให้ศิษย์ของตนเป็นคนทำงานนี้แทน ผู้ใดจะรู้ว่าศิษย์ของเขากลับทำให้สำเร็จไม่ได้ พูดให้ถูกคือตอบสนองความต้องการของหยวนกังไม่ได้ เนื่องจากความต้องการของหยวนกังสูงเกินไป
หยวนกังทราบดีว่าคนที่ตนฝึกฝนอยู่กลุ่มนี้จะถูกนำไปใช้ทำงานอะไร บางครั้งในเรื่องของอาวุธจำเป็นต้องใช้อาวุธที่พกพาและเก็บซ่อนได้สะดวกเป็นพิเศษ บางครั้งเวลาต้องเข้าออกสถานที่บางแห่ง ถึงขนาดที่ต้องทำให้คนมองไม่ออกด้วยว่าเป็นอาวุธ มิเช่นนั้นหากแบกอาวุธเข้าไปโทงๆ เผลอๆ กระทั่งเมืองบางแห่งก็ยังผ่านเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาจึงต้องการหน้าไม้ที่ถอดแยกส่วนได้ตลอดเวลา สะดวกในการเก็บซ่อนและพกพา อีกทั้งเมื่อประสบกับสถานการณ์ที่หน้าไม้ได้รับความเสียหายก็ต้องการให้ปรับเปลี่ยนไปใช้เสริมกับหน้าไม้คันอื่นได้ตลอดเวลา นี่ก็เท่ากับว่าขนาดชิ้นส่วนของหน้าไม้ต้องมีขนาดที่ได้มาตรฐานเท่ากันทั้งหมด
สำหรับช่างตีเหล็กที่ต้องขึ้นรูปด้วยมือแล้ว ข้อเรียกร้องนี้ยากเกินไป ชิ้นส่วนที่ผลิตออกมาถูกหยวนกังปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายกงซุนเถี่ยหนิวจึงต้องลงมือด้วยตัวเอง อาศัยทักษะฝีมืออันล้ำเลิศ ถึงได้ตอบสนองความต้องการหยวนกังได้
เดิมทีกงซุนเถี่ยหนิวคิดว่าหยวนกังจงใจหาเรื่องอยู่ จึงโมโหขึ้นมา ไล่หยวนกังออกไป หยวนกังจึงไปขอให้เหมิงซานหมิงช่วยออกหน้า ถึงได้เกลี้ยกล่อมให้กงซุนเถี่ยหนิวยอมลงมือได้
แต่ความเร็วในการสร้างกลับไม่อาจเร่งได้ คนอื่นๆ ทำไม่ไหว อาศัยแค่กงซุนเถี่ยหนิวเพียงคนเดียว จะสร้างได้เร็วแค่ไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว
เวลาผ่านมาปีกว่า กงซุนเถี่ยหนิวเพิ่งผลิตชิ้นส่วนของหน้าไม้ให้หยวนกังได้แค่ไม่กี่สิบคันเท่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังเติมเต็มความต้องการของหยวนกังที่อยากให้จัดเตรียมหน้าไม้สำหรับคนสองถึงสามร้อยคนไม่ได้
แรกเริ่มหยวนกังคิดจะสร้างปืนจำนวนหนึ่งขึ้น ไม่ใช่แบบที่ใช้กันในยุคนี้ หากแต่เป็นปืนแบบที่เขาใช้อย่างคล่องแคล่วในชาติก่อน
ผลคือกระทั่งจะผลิตหน้าไม้ให้ได้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมดก็ยังเป็นปัญหา ยิ่งไม่ต้องคาดหวังกับปืนที่เขาต้องการสร้างขึ้นมาเลย
อาศัยความเชี่ยวชาญของเขาที่มีต่อองค์ประกอบของปืน ผนวกเข้ากับทักษะของกงซุนเถี่ยหนิวแล้ว น่าจะสร้างปืนสักกระบอกได้ไม่มีปัญหา แต่ลูกกระสุนกลับเป็นปัญหาใหญ่ การผลิตลูกกระสุนนั้นต้องการมาตรฐานและความแม่นยำที่สูงยิ่งกว่าปืน หากว่าสร้างออกมาแล้วขนาดไม่ได้มาตรฐานเท่ากัน เกิดยิงออกไปแล้วระเบิดขึ้นมา นอกจากจะฆ่าคนอื่นไม่ได้แล้ว เผลอๆ อาจตายเองด้วย อีกทั้งองค์ประกอบในด้านเชื้อปะทุของกระสุนนั้นยิ่งต้องมีความละเอียดแม่นยำ ทำให้เขายิ่งไม่ตั้งความหวังเข้าไปอีก หากยิงออกไปสองนัดแล้วมีนัดหนึ่งด้าน ในช่วงเวลาสำคัญ เหตุการณ์เช่นนั้นถือเป็นเรื่องร้ายแรง หากเป็นแบบนั้นสู้ถือมีดหั่นผักเอาไว้ดีกว่า
เขาย่อมต้องรู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แต่เขาไม่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเลย เต้าเหยี่ยเองก็ไม่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเหมือนกัน ถึงแม้จะรู้ว่าควรลงมือจากส่วนไหน แต่ถ้าต้องการแก้ไข เขาก็จำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอีกนาน
ดังนั้นสำหรับความคิดที่ทำให้เป็นจริงไม่ได้บางอย่างแล้ว เขาจึงทำได้เพียงล้มเลิกไปก่อน
ส่วนในด้านการฝึกขี่ม้าศึก หยวนกังไปขอคำแนะนำจากเหมิงซานหมิง
ชาติก่อนเขาก็ขี่ม้าเป็น แต่ทักษะยังไม่ถึงขั้นที่จะนำมาใช้สู้รบฆ่าฟันบนหลังม้าได้ ในเรื่องของเทคนิคไม่อาจเทียบทหารม้าของยุคนี้ได้ เขาทราบถึงความสำคัญของการบังคับม้าศึกในยุคสมัยนี้ดี ขับรถยนต์ไม่เป็น ขับเครื่องบินไม่เป็นหรือขับรถถังไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่การบังคับม้าศึกจะต้องชำนาญ ดังนั้นเขาจึงต้องไปหาเหมิงซานหมิงเพื่อขอคำแนะนำอีกครั้ง
คนที่สามารถฝึกฝนกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจนเป็นที่หวั่นเกรงไปทั่วหล้าได้ย่อมต้องมีวิธีในการฝึกขี่ม้าแน่นอน ซึ่งความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคิดถูกต้อง เหมิงซานหมิงมีส่วนช่วยเหลือเขาเป็นอย่างมาก เปิดโลกทัศน์ให้เขา เสริมจุดอ่อนที่เขาขาดไปได้
ระยะเวลาปีกว่านี้ เขาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ทุกวัน หรือก็คือสิ่งที่เขาเรียกว่าใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย จะให้เขาเอาแต่นั่งทำสมาธิอยู่ในห้องคนเดียวทั้งวันเหมือนอย่างหนิวโหย่วเต้า ในมุมมองของเขาแล้ว เขายากจะชินได้!
ในแถบพื้นที่ป่าเขาระยะทางสิบกว่าลี้ ม้าห้าตัวทะยานไปอย่างรวดเร็ว คลายการเฝ้าระวังแล้ว มุ่งหน้าต่อไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง
….
ณ จุดพักม้าที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็น กลุ่มของหนิวโหย่วเต้าเดินทางมาถึง ลงจากหลังม้า มีคนเข้ามารับม้าไปดูแล
เมื่อทั้งกลุ่มเช่าห้องพักผ่อน อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องร่วมสาบานก็นั่งกินข้าวด้วยกัน
“เฮ้อ น้องหนิว กินดื่มอยู่ที่บ้านเจ้าตั้งหลายวัน พอมากินของพวกนี้แล้ว นี่มันใช่สิ่งที่มนุษย์กินกันจริงๆ หรือ?” ลิ่งหูชิววางจอกสุราลงพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็พอใช้ได้ พี่ลิ่งหูก็จุกจิกเกินไป”
ลิ่งหูชิวกลอกตาทีหนึ่ง “ข้าจุกจิก? ดูอาหารที่บ้านเจ้ากินกันซิ เป็นผู้ใดที่จุกจิกกันแน่? คาดว่าทั่วหล้านี้คงหาคนที่จุกจิกเหมือนเจ้าไม่ได้แล้ว! เอาอย่างนี้ไหม เจ้าถ่ายทอดวิธีทำอาหารเหล่านั้นให้หงซิ่วกับหงฝูดีไหม?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ใช่ว่าข้าไม่อยากสอน แต่ตอนอยู่ที่บ้านข้าพี่ลิ่งหูเองก็เห็นแล้ว ในพื้นที่ห้องครัวเหล่านั้นแขวนป้าย ‘วัดหนานซาน’ เอาไว้ นั่นเป็นสูตรเฉพาะของทางวัดหนานซาน ไม่สะดวกจะแพร่งพรายต่อภายนอก ไม่ยอมให้ใครเข้าไปดูด้วยซ้ำ ข้าเองก็ไม่สะดวกจะไปทำลายกฎเกณฑ์ของเขาเช่นกัน ต้องการใช้เขาทำงานให้ ก็ต้องให้เกียรติเขาบ้างมิใช่หรือ?”
หลังจากทำหมูตุ๋นน้ำแดงแล้วเจอเซ่าผิงปอ เวลาออกมาด้านนอกเขาก็ไม่เผยทักษะง่ายๆ อีก ยิ่งไปกว่านั้นคือเขารับปากหยวนฟางเอาไว้ว่าจะไม่เที่ยวถ่ายทอดให้คนอื่นส่งเดช ส่วนกลุ่มเด็กหนุ่มที่หยวนกังฝึกสอนเหล่านั้น เขาจัดการไม่ได้ หยวนฟางก็ยิ่งจัดการหยวนกังไม่ได้ หากหยวนกังยอมฟังหยวนฟางสิแปลก เมื่อเผชิญหน้ากับหยวนกัง หยวนฟางจึงทำได้เพียงไปแอบต่อว่าอย่างเงียบๆ
ลิ่งหูชิวลูบคางร้องจุ๊ๆ กล่าวไปว่า “คิดไม่ถึงว่าสมณะแห่งวัดหนานซานจะมีฝีมือทำอาหารเช่นนี้ด้วย น้องหนิวช่างโชคดีจริงๆ!”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ก็ใช่ มิเช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องพาสมณะกลุ่มหนึ่งไปไหนมาไหนด้วยเลย!”
ลิ่งหูชิวคิดๆ ไปก็พบว่าจริงดั่งว่า ทำได้เพียงส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความอิจฉา “นี่เป็นช่องทางทำเงินมหาศาลเลยนะ!”
หนิวโหย่วเต้าเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ เขาไม่คิดว่านี่จะเป็นช่องทางทำเงินอันใดเลย เนื่องจากเขาทราบดีว่าการทำอาหารเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะสูงส่งอันใดเลย อีกทั้งอาหารที่ทำออกมาก็เก็บรักษาไว้ได้ไม่นาน ยากจะขนส่งในระยะไกลได้ หากคิดจะทำให้มันเป็นช่องทางหาเงินก็ต้องเปิดร้านตั้งสาขาไปทั่ว ทันทีที่เปิดร้านขึ้นมา ก็ไม่มีทางเก็บเป็นความลับเอาไว้ได้อีก ไม่ช้าก็เร็วก็จะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างแน่นอน
แต่ถ้าเป็นสุรา สุราที่กลั่นออกมาสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้นาน ขอเพียงควบคุมต้นทางการผลิตเอาไว้ก็พอ ยังพอใช้เป็นแหล่งรายได้สร้างเงินได้ แต่ถ้าจะใช้การปรุงอาหารมาเป็นช่องทางทำเงินนั้นดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร หากว่าซางเฉาจงสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้ สามารถควบคุมสถานการณ์ของทั่วหล้าได้ นั่นก็อาจจะใช้เป็นช่องทางทำเงินได้ แต่ในตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ใต้หล้าในปัจจุบันนี้ ประชาชนจำนวนมากกระทั่งเสื้อผ้าอาหารก็ยังเป็นปัญหา หวังเพียงได้กินอิ่มท้องก็พอ เขาจึงคิดว่าการเผยแพร่ทักษะการทำอาหารเหล่านี้ออกไปในเวลานี้จึงไม่มีประโยชน์อันใด มีแต่จะทำให้ครอบครัวชนชั้นสูงผู้มั่งมีเหล่านั้นได้เสพสุขเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาเติมเต็มความต้องการของชนชั้นสูงล้วนแต่คือหายนะสำหรับชาวบ้านธรรมดา
ตัวอย่างเช่นการผลิตสุรา ชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางได้ดื่มแม้แต่คำเดียว ตอบสนองกิเลสของชนชั้นสูง แต่กลับสิ้นเปลืองธัญพืชมหาศาล สำหรับประชาชนที่ทุกข์ร้อนเรื่องความเป็นอยู่เหล่านั้นแล้วมิใช่เรื่องดีอันใดเลย การนำกรรมวิธีผลิตสุราแบบนี้มาใช้ในยุคนี้ถือเป็นการก่อกรรมทำเข็ญ!
ดังนั้นของบางอย่างจึงเก็บไว้ในมือให้ดูเหมือนของล้ำค่าก่อนดีกว่า ส่วนของบางอย่างที่เอาออกมาได้ ก็นำออกมารับรองแขกให้พึงพอใจก็นับเป็นเรื่องดี
“ได้ยินว่าอาจารย์ของน้องหนิวคือตงกัวเฮ่าหรานแห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?” จู่ๆ ลิ่งหูชิวที่ถือตะเกียบอยู่ก็เอ่ยถามขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย “นับว่าใช่กระมัง”
ลิ่งหูชิวถาม “อะไรคือนับว่าใช่? ข้ากับอาจารย์เจ้าเคยมีวาสนาได้พบกันหนหนึ่ง นับว่ารู้จักกัน เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าตาเจ้าอีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พี่ลิ่งหูเข้าใจผิดแล้ว ถึงแม้เขาจะรับข้าเป็นศิษย์ แต่กลับไม่ได้ถ่ายทอดวิชาอันใดให้เลย หลังจากข้าไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เนื่องจากการแก่งแย่งอำนาจกันภายในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาเลยกักบริเวณข้าไว้หลายปี แม้แต่ประตูก็ไม่ให้ก้าวออกไป อันสิ่งที่เรียกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรก็แค่โยนหนังสือไว้ให้ข้าศึกษาเอง ซ้ำยังลงมือกับข้าอย่างโหดเหี้ยมหลายต่อหลายครั้ง เกือบจะเอาชีวิตข้าไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่มีความรู้สึกดีอันใดต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย”
เขาไม่อยากให้คนนอกคิดว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ตัดความสัมพันธ์ให้ชัดเจนไม่ว่าจะพูดกับผู้ใด
ลิ่งหูชิวเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ในเมื่อตงกัวเฮ่าหรานรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว เหตุใดถึงไม่ถ่ายทอดวิชาให้เล่า หรือว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้น?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “เรื่องราวไม่น่าฟัง อย่าเอ่ยถึงเลย”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยินดีพูดอะไรมาก ลิ่งหูชิวที่แสร้งถามหยั่งเชิงดูเล็กน้อยก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก รู้ว่ามิตรภาพระหว่างตนกับอีกฝ่ายยังไม่ลึกซึ้ง ตอนนี้ไม่เหมาะจะซักไซ้อะไรให้ละเอียดนัก ต่อไปยังมีเวลาอีกมาก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน จึงหยุดพูดถึงประเด็นนี้ทันที เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “หลังพักผ่อนที่จุดพักม้าแห่งนี้แล้ว เมื่อออกเดินทางอีกครั้งก็จะพ้นเขตมณฑลจินโจว หากน้องหนิวจัดหาม้ากลับมาได้ เกรงว่าคงต้องผ่านทางมณฑลจินโจว ถึงแม้มณฑลจินโจวจะเป็นพันธมิตรกับซางเฉาจง แต่หากว่ามีม้าศึกจำนวนมหาศาลผ่านทางมา ก็ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าพวกเขาจะเกิดความละโมบแล้วยึดเอาไว้หรือเปล่า เจ้าไม่ถือโอกาสเปิดทางเอาไว้หน่อยหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่างนั้นตลอดเส้นทางนี้คงมีอีกหลายที่ที่ต้องเปิดทางไว้ เรื่องเปิดทางยกให้สำนักหยกสวรรค์ไปจัดการเอาแล้วกัน ข้าไปทุ่มเททำงานให้ที่แคว้นฉีก็นับว่าดีมากแล้ว สถานที่อื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องไปกังวล อีกอย่างข้าก็จัดการไม่ไหวด้วย”
อันที่จริงขอเพียงหาม้าศึกมาได้ เขาก็ไม่ได้วางแผนจะขนมาทางบกอยู่แล้ว ทั้งสองจังหวัดมีพื้นที่ติดทะเล หากมีเงื่อนไขที่สะดวกสบายเช่นนี้อยู่แล้วยังไม่ใช้เส้นทางทะเลอีก เกรงว่าสมองคงจะมีปัญหาแล้ว ได้ยินพวกเฟ่ยฉางหลิวบอกว่าอันที่จริงทางสำนักหยกสวรรค์ก็คิดไว้เช่นนี้แต่แรกเหมือนกัน ขอเพียงหาม้าศึกมาได้ก็จะขนมาทางทะเล จนปัญญาที่ไม่สามารถนำม้าออกมาจากแคว้นฉีได้
…..
จันทร์สว่างกลางนภา ปีกทองตัวหนึ่งบินโฉบลงมา มุดผ่านหน้าต่างห้องพักห้องหนึ่งของจุดพักม้าเข้าไป
หงฝูยื่นมือไปคว้าปีกทอง ดึงจดหมายลับฉบับหนึ่งที่อยู่ในท่อเล็กๆ ตรงขาปีกทองออกมา ยื่นส่งให้หงซิ่ว ส่วนตนก็ไปดูแลจัดการปีกทอง
หงซิ่วเปิดจดหมายถอดข้อความลับด้านในออกมา จากนั้นเดินไปที่หน้าตะเกียง เผาจดหมายลับจนเป็นเถ้าธุลี ก่อนจะเดินไปที่ข้างเตียง รายงานลิ่งหูชิวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นายท่าน พวกเราถูกคนของ ‘หอจันทร์กระจ่าง’ จับตามองอยู่เจ้าค่ะ”
ลิ่งหูชิวค่อยๆ เก็บลมปราณ ลืมตามองนาง เอ่ยถามคล้ายสงสัยว่า “คนของหอจันทร์กระจ่างจับตามองข้าอย่างนั้นหรือ?”
หงซิ่วเอ่ยว่า “พูดให้ถูกคือกำลังจับตามองหนิวโหย่วเต้า มีคนจ้องจะลงมือกับหนิวโหย่วเต้าเจ้าค่ะ!”
ลิ่งหูชิวขมวดคิ้ว “เป็นคำสั่งของใคร?”
หงซิ่วตอบว่า “ไม่มีใครสั่งเจ้าค่ะ หากแต่มีคนลงมือโดยพลการ คนผู้นั้นเคยติดต่อกับท่านมาก่อนแล้ว เป็นสตรีที่มีนามว่าซูจ้าวคนนั้น เถ้าแก่หอคณิกาคนนั้นที่เป็นฝ่ายเข้ามาตีสนิทกับท่านในครั้งก่อนเจ้าค่ะ”
ลิ่งหูชิวถามด้วยความฉงน “นางไปมีปัญหากับหนิวโหย่วเต้าได้อย่างไร? สตรีคนนั้นก็เป็นคนของหอจันทร์กระจ่างอย่างนั้นหรือ?”
หงซิ่วตอบ “เกรงว่าจะใช่เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะเรียกใช้คนของหอจันทร์กระจ่างได้อย่างไร อาจจะมีตำแหน่งบางอย่างในหอจันทร์กระจ่าง ส่วนจะเป็นตำแหน่งใดนั้น ในจดหมายไม่ได้แจ้งไว้เจ้าค่ะ”
ลิ่งหูชิวแค่นหัวเราะเหอะๆ ออกมาหนึ่ง “นางคิดจะทำอะไร? รีบส่งข้อความไป ให้คนหยุดนางซะ!”
หงซิ่วส่ายหน้า “ไม่สะดวกจะหยุดเจ้าค่ะ จะทำให้คนสงสัยในฐานะของท่านได้ง่ายๆ จากที่แจ้งมาในจดหมาย ขอเพียงท่านไม่ออกห่างหนิวโหย่วเต้า นางก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้าค่ะ เพราะเคยเตือนนางเอาไว้แล้ว!”
………………………………………………………..