ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 255 หอไร้ขอบเขต
ตอนที่ 255 หอไร้ขอบเขต
สีสันเรียบง่ายธรรมดา สถานที่เปล่าเปลี่ยวรกร้างนัก ทว่ากลับทำให้กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความมั่นใจว่าตนสามารถตะลุยไปทั่วหล้ารับรู้ได้ถึงความเล็กจ้อยของตนเอง
ทั้งกลุ่มสบตากันพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นพากันย่อตัวกระโดดออกไป
สายลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู ทั้งกลุ่มเหินร่อนลงมาจากยอดเขาเป็นกลุ่มก้อน ราวกับมดที่บินอยู่กลางอากาศ ร่อนลงบนเนินทรายแห่งหนึ่ง จากนั้นพุ่งตัวทะยานออกไปอีกครั้ง
ทั้งกลุ่มทะยานขึ้นลงอยู่กลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างต่อเนื่อง มุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของทะเลทรายอย่างรวดเร็ว
สองชั่วยามต่อมา ลิ่งหูชิวยกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบร้อนไป ทุกคนพักสักหน่อยเถอะ ฟื้นพลังกันหน่อย อย่าปล่อยให้เสียพลังมากเกินไป มิเช่นนั้นหากเผชิญปัญหาขึ้นมาเกรงว่าคงยากจะรับมือได้”
ที่เป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขาทราบดี มีคนจับตามองหนิวโหย่วเต้าอยู่ ปลอดภัยไว้ก่อน เผื่อไว้สำหรับเหตุไม่คาดฝัน
ตอนนี้มีเพียงเขาและสาวใช้ทั้งสองที่มีสภาวะระดับโอสถทอง ส่วนทางหนิวโหย่วเต้าล้วนมีสภาวะระดับสร้างฐานกันทั้งสิ้น
ลิ่งหูชิวหยิบถุงน้ำหนังแกะมาถือ ส่งสัญญาณให้สองสาวใช้ระวังภัยไว้ ส่วนตนก็เปิดจุกถุงแล้วค่อยๆ ดื่มน้ำ
พวกหนิวโหย่วเต้าก็ทยอยหยิบถุงน้ำออกมาดื่มน้ำเช่นกัน ขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบๆ
นอกจากท้องฟ้าสีคราม มวลหมู่เมฆสีขาวและเนินทรายแล้ว รอบข้างมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ว่างเปล่าวังเวง มีเพียงสายลมที่พัดโชยมาเป็นครั้งคราว ทำให้เม็ดทรายที่อยู่บนเนินทรายไหลกลิ้งไปมา
“พวกเจ้าเคยมาเยือนหอไร้ขอบเขตหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าที่วางถุงน้ำลงเอ่ยถามเฮยหมู่ตานและต้วนหู่
ทั้งสองพยักหน้ารับ เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “พวกเราเคยมาด้วยกันสามครั้งแล้วเจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ
จากนั้นทั้งสามคนล้วนทยอยนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นทรายอันร้อนระอุ นำโอสถวิญญาณออกมากิน ปรับลมปราณฟื้นฟูพลัง
ลิ่งหูชิวก็ทำแบบนี้เช่นกัน ส่วนหงซิ่วและหงฝูเฝ้าระวังรอบข้างอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของทุกคน
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม มีเสียงเคลื่อนไหวแปลกประหลาดแว่วเข้ามา ทุกคนที่นั่งสมาธิอยู่พากันลืมตาขึ้น ลุกขึ้นแล้วหันหน้ามองไปบนเนินทรายที่อยู่ไม่ไกลทางด้านข้าง เห็นแมงป่องสีดินเหลืองรูปร่างใหญ่โตห้าตัวกำลังสะบัดหัวส่ายหางอยู่บนเนินทราย
หนิวโหย่วเต้าเคยอ่านเจอใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ เจ้าสิ่งนี้มีนามว่าแมงป่องทราย เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายผืนนี้ เคลื่อนไหวในทะเลทรายได้ดุจสายลม ปีนป่ายคืบคลานรวดเร็ว เปลือกหุ้มแข็งแกร่ง พิษที่ปลายหางเป็นพิษร้ายแรง สัมผัสเพียงนิดเดียวก็สามารถคร่าชีวิตได้ พลังโจมตีรุนแรง แต่มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมันกลัวน้ำ!
ได้ยินว่าทันทีที่เปลือกหุ้มของแมงป่องทรายสัมผัสเข้ากับน้ำ เปลือกของมันจะอ่อนยวบลงทันที ดังนั้นมันจึงหวาดกลัวน้ำ
แม้ว่าจะเคยอ่านเจอมาแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแมงป่องที่มีรูปร่างใหญ่โตเช่นนี้ ทั่วทั้งร่างนอกจากดวงตาที่เป็นสีขาวหม่นแล้ว ส่วนอื่นๆ ของมันล้วนเป็นสีเดียวกับสีพื้นทราย นี่ถ้าแอบซ่อนตัวอยู่ในทะเลทรายล่ะก็ เกรงว่าคงมองออกได้ยาก
ได้ยินว่าแมงป่องทรายที่โตเต็มวัย ต่อให้ไม่นับรวมหางของมัน ร่างกายของมันก็ยังยาวได้ถึงหนึ่งจั้งกว่า
แมงป่องทรายห้าตัวส่ายหางไปมาอย่างรุนแรง ราวกับกำลังส่งสัญญาณโจมตี ไถลตัวลงมาจากเนินทรายดังซ่าๆ
ถูกต้อง มันไม่ได้วิ่งลงมา หากแต่อาศัยโครงสร้างพิเศษตรงส่วนหน้าท้อง ไถลตัวลงมาราวกับแผ่นกระดาน อีกทั้งขาของมันยังสามารถเร่งความเร็วต่างไม้พายได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือยามที่ส่วนท้องสัมผัสพื้น มันสามารถไถลได้ ยามที่ส่วนท้องยกขึ้นจากพื้นก็สามารถกระโดดได้ ทันทีที่ดีดขา มันก็สามารถดีดตัวออกจากเนินทราย กระโจนเข้ามาหาได้
หงซิ่วและหงฝูพลิกตวัดฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง ซัดฝ่ามือส่งพลังแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว ซัดแมงป่องทรายที่กระโจนเข้ามาจนกระเด็นออกไป
แมงป่องทรายห้าตัวไม่สามารถเข้าใกล้เนินทรายทางฝั่งนี้ได้เลย ทว่าพวกมันไม่ยอมถอดใจ พุ่งขึ้นมาจากพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปกุมด้ามกระบี่
ลิ่งหูชิวที่สังเกตเห็นก็รีบยื่นมือออกมาปราม เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าสังหารพวกมันไม่ได้ แต่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของทะเลทรายมานานแล้ว เพื่อให้ได้อาหารจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ ประสาทการรับกลิ่นของพวกมันจึงเฉียบไวมาโดยกำเนิด ทันทีที่ได้กลิ่นคาวเลือด แมงป่องทรายที่อยู่ในรัศมีร้อยลี้อาจจะพากันแห่มากันหมด สัตว์ชนิดนี้มีอยู่ทั่วทะเลทรายแห่งนี้ จำนวนน้อยๆ ยังพอจัดการได้ แต่หากกรูกันมาจากทั่วสารทิศจนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด นั่นก็เท่ากับตกอยู่กลางวงล้อมของกองทัพขนาดใหญ่ สังหารไม่หมดไม่สิ้น ยิ่งฆ่ายิ่งเยอะ หากไม่ระวังอาจจะพลาดท่าได้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเรามีแต่ต้องหนีเท่านั้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงโจมตีมันจนมันยอมล่าถอยไปเอง จะสังหารไม่ได้ เดี๋ยวพอพวกมันทนไม่ไหว พวกมันก็จะถอยไปเอง”
ข้อมูลส่วนนี้หนิวโหย่วเต้าทราบดี เขาเคยอ่านพบใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ มาแล้ว ที่ถือกระบี่ไว้ก็แค่เผื่อป้องกันเหตุเหนือความคาดหมายเท่านั้น
“ได้ยินว่าใต้ทะเลทรายผืนนี้มีเมืองโบราณอยู่แห่งหนึ่งหรือ?” หนิวโหย่วเต้าถาม
ลิ่งหูชิวพยักหน้า “เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ว่ากันว่าในอดีตนานเมื่อมาแล้ว ที่นี่คือสถานที่เขียวขจีชุ่มน้ำ ต่อมาฟ้าดินเกิดความเปลี่ยนแปลง ทรายเหลืองเข้าปกคลุมทับถมสถานที่แห่งนี้ เมืองโบราณแห่งนั้นก็ถูกฝังทับอยู่ข้างใต้ด้วยเช่นกัน มีคนบังเอิญพบเมืองโบราณแห่งนั้นโดยบังเอิญบ้าง แต่ต่อให้บังเอิญพบเข้าก็ไม่มีประโยชน์”
ราวกับเป็นการยืนยันคำพูดให้ลิ่งหูชิว แมงป่องทรายห้าตัวนั้นถูกโจมตีจนหมดความอดทน พอเห็นว่าสุดท้ายไม่สามารถทำอะไรทางนี้ได้เลย ในที่สุดพวกมันก็พากันบ่ายหน้าจากไป หายลับไปจากทัศนวิสัยของทุกคนอย่างรวดเร็ว
ทุกคนทำสิ่งที่สมควรทำกันต่อไป ลิ่งหูชิวยืนขึ้น สลับให้หงซิ่วและหงฝูได้ฟื้นฟูลมปราณบ้าง
ลิ่งหูชิวยกมือไพล่หลัง สายตาทอดมองออกไป เห็นเงาคนโฉบผ่านไปมาอยู่ไกลๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มายังหอไร้ขอบเขตแน่นอน
ทั้งกลุ่มออกเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางพักผ่อนแค่ครั้งนี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อจากนี้จะมุ่งตรงไปยังหอไร้ขอบเขต
ภูเขาหินสีดำใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทะเลทราย บนยอดเขามีทะเลสาบน้อยใหญ่หลายแห่ง ดูคล้ายไข่มุกเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ที่วางรวมอยู่ในจานใบหนึ่ง สะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามและมวลหมู่เมฆสีขาว ดูแล้วสดชื่นผ่อนคลาย
สถานที่แห่งนี้แทบจะไม่มีฝนเลย อีกทั้งร้อนแล้ง แต่ระดับน้ำในทะเลสาบบนภูเขาแห่งนี้กลับเท่าเดิมตลอดทั้งปี ไม่เคยลดต่ำลงเลย น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
ลิ่งหูชิวเอ่ยเช่นนี้ ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับทราบดีว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรน่ามหัศจรรย์
หลังจากสถานที่แห่งนี้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรค้นพบ ก้อนหินรูปทรงแปลกประหลาดที่มีขนาดเล็กขนาดใหญ่แตกต่างกันไปที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบก็ถูกทำการดัดแปลง เริ่มขุดเจาะสร้างเป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างและถ้ำต่างๆ กลายเป็นร้านค้าของสำนักนิกายต่างๆ
เหนือทะเลสาบเต็มไปด้วยสะพานหินบ้างสูงบ้างต่ำ เชื่อมต่อสถานที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน หากคนไม่คุ้นทางมาเยือนที่นี่ ไม่หลงทางสิถึงจะแปลก
และเนื่องด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงห้ามไม่ให้มีการต่อสู้กัน หากพบเห็นเข้าจะถูกลงโทษอย่างหนัก การที่มีกฎเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะหากผู้บำเพ็ญเพียรต่อสู้กันขึ้นมา เกรงว่าสะพานบางส่วนคงทนรับการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรไม่ไหว
ณ ยอดเขาที่สูงที่สุดในทะเลสาบ ชายคาและเสาคานแกะสลักลวดลายงามวิจิตร สามารถมองเห็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลได้ทั่ว ที่นี่คือหอไร้ขอบเขต
ด้านล่างหอไร้ขอบเขตมีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งหนึ่ง นามว่าโรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์!
คณะของหนิวโหย่วเต้าย่อมเข้าพักในโรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์ พวกเฮยหมู่ตานเองก็เคยชินกันแล้ว เต้าเหยี่ยท่านนี้มักจะเลือกแต่สิ่งดีๆ ไม่มีทางทำให้ตัวเองต้องลำบาก
ยามที่เดินข้ามสะพานหินกันอยู่ พลันมองเห็นผิวน้ำมีคลื่นไหวเพื่อมขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าหยุดเท้าเพ่งมอง เห็นเงาดำขนาดใหญ่มหึมาเคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำรางๆ
ลิ่งหูชิวที่อยู่ข้างๆ หยุดเท้าตามพลางกล่าวยิ้มๆ “มังกรเจียว[1]แห่งทะเลสาบสวรรค์ เป็นสัตว์เลี้ยงของประมุขหอไร้ขอบเขต ว่ากันว่าขอเพียงถึงเวลาอันเหมาะสม มันก็จะกลายร่างเป็นมังกรในตำนานที่เล่าขานกัน นี่ก็นับเป็นทิวทัศน์อย่างหนึ่งของหอไร้ขอบเขตกระมัง ทุกค่ำคืนยามที่จันทราส่องกลางฟ้า มักจะได้ยินเสียงร้องของมังกรเป็นประจำ เพียงแต่มีน้อยคนนักที่จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกมัน!”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย เรื่องนี้เขาเองก็เคยอ่านพบจากใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ มาแล้วเช่นกัน
เล่ากันว่าเดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นบึงน้ำนิ่งแห่งหนึ่ง ยามนั้นหอไร้ขอบเขตยังไม่ก่อตั้งขึ้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางไปมาล้วนแวะเติมน้ำที่นี่ ต่อมาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในบึง จู่ๆ ก็มีมังกรเจียวสองตัวโผล่ออกมา ไม่ทราบเช่นกันว่ามาจากไหน ว่ากันว่ามุดออกมาจากใจกลางโลก เป็นตัวผู้ตัวเมียอย่างละมัว ก่อพายุสร้างคลื่นรุนแรง ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย
ต่อมาหลานเต้าหลินผู้หนึ่งในเก้ายอดคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของใต้หล้าทราบข่าวก็เดินทางมา ปราบมังกรเจียวทั้งสองตัวให้ยอมสยบ จากนั้นหลานเต้าหลินได้ยึดสถานที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตของตน สร้างหอไร้ขอบเขตขึ้นที่นี่ ส่วนประมุขของหอไร้ขอบเขตก็คือหลานหมิงผู้เป็นบุตรชายของหลานเต้าหลิน!
ต่อมามีมังกรเจียวน้อยอีกตัวปรากฏขึ้นในทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ ทุกคนคาดเดาว่าน่าจะถือกำเนิดขึ้นจากการผสมพันธุ์กันระหว่างมังกรเจียวคู่นั้น
มังกรเจียวที่เล่าขานกัน หนิวโหย่วเต้าย่อมอยากยลโฉมของสัตว์ชนิดนี้ จนปัญญาที่มองเห็นเพียงเงาดำแหวกว่ายเลือนรางอยู่ใต้น้ำ ยืนรออยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่เห็นปรากฏตัวขึ้นมาอีก กระทั่งโครงร่างก็ยังไม่ได้เห็นเลย อดรู้สึกเสียดายอยู่บ้างไม่ได้
หลังจากเข้าพักที่โรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์ หนิวโหย่วเต้าเปิดหน้าต่างออก ตำแหน่งของที่พักอยู่สูงกว่าร้านค้าส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านนอกเล็กน้อย
มองเห็นผู้คนที่สัญจรไปมาบนสะพานหินด้านนอก เขาจ้องมองบึงน้ำสีมรกตด้านล่างอยู่พักใหญ่ หันไปกล่าวกับเฮยหมู่ตานว่า “เจ้าไปดูหน่อยว่าร้านค้าของทั้งสามสำนักอยู่ที่ไหน หากเกิดเรื่องขึ้นจะได้ติดต่อขอกำลังเสริมได้ทันเวลา”
เฮยหมู่ตานกำลังตรวจสอบภายในห้องอยู่ ตอนที่จองห้องพัก นางจัดการเองโดยพลการ เลือกพักห้องเดียวกับหนิวโหย่วเต้า เรียกได้ว่าเข้าพักห้องเดียวกัน
นางไม่ได้คิดอะไร หนิวโหย่วเต้าก็ไม่สนใจว่าคนนอกจะมองอย่างไร
“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตอบรับ หันหลังเดินออกไป
ต้วนหู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว รับช่วงต่อจากเฮยหมู่ตาน ตรวจสอบทุกจุดในห้องพักอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นจุดเตาต้มน้ำชา
ตอนที่เฮยหมู่ตานกลับมาอีกครั้ง ได้พาเถ้าแก่ร้านค้าของสามสำนักมาพบหนิวโหย่วเต้าด้วย
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอยู่สักพัก หนิวโหย่วเต้าถามคำถามไปไม่น้อย หลักๆ เป็นคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของทางหอไร้ขอบเขต
เมื่อมาถึงที่นี่ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ออกจะออกไปเดินเล่นเที่ยวชม เปิดหูเปิดตา ลิ่งหูชิวก็ติดตามไปด้วยตลอด
ทั้งกลุ่มเดินเล่นจนเย็นย่ำถึงได้กลับมายังห้องพักของตน หนิวโหย่วเต้าเพิ่งจะนั่งถือถ้วยชาชมจันทร์อยู่ริมหน้าต่าง ปีกทองตัวหนึ่งก็โบยบินมาจากในท้องฟ้ายามค่ำคืน มุดผ่านหน้าต่างเข้ามา
เฮยหมู่ตานยื่นมือไปคว้าปีกทอง ดึงจดหมายลับในกระบอกตรงขาออกมา ไปหาอุปกรณ์เครื่องเขียน ถอดความเนื้อหาในจดหมายลับออกมา จากนั้นเดินเข้ามาริมหน้าต่าง เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ข่าวจากเป่ยโจวเจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าหันมามอง รับจดหมายไปอ่าน
เขาอ่านนิดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นข่าวที่มาจากเฉินกุยซั่ว ทว่าเนื้อหาในจดหมายกลับทำให้เขาขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ตัวเฉินกุยซั่วก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหมายความว่าอย่างไร
จู่ๆ ก็ถูกเซ่าผิงปอส่งไปทำงาน กะทันหันเกินไป ขาดการติดต่อกับสายข่าวทางมณฑลเป่ยโจวไประยะหนึ่ง อีกทั้งไม่สะดวกจะยืมมือคนอื่นถ่ายทอดข่าวแทน กระทั่งกลับมาถึงจวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจวแล้วถึงได้ส่งข่าวมา
“แผนที่แคว้นหาน!” หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยชาลงพลางลุกขึ้นมา
เฮยหมู่ตานหยิบแผนที่ที่เขาต้องการออกมาจากห่อสัมภาระทันที กางออกบนโต๊ะ
หนิวโหย่วเต้าจ้องมองแผนที่อยู่พักหนึ่ง จากนั้นถือแท่งถ่านไว้ในมือ เปรียบเทียบกับเนื้อความในจดหมาย ตามหาเส้นทางน้ำที่เฉินกุยซั่วเล่าถึง ทำเครื่องหมายเชื่อมโยงตำแหน่งเส้นทางน้ำแต่ละส่วน
ถ้าบอกมาแค่ชื่อสถานที่ล่ะก็ แคว้นหานมีสถานที่มากมายปานนั้น มีแม่น้ำลำคลองมากมายขนาดนั้น ใครจะรู้ได้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ แต่หลังจากทำเครื่องหมายเชื่อมโยง ทุกอย่างก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาแล้ว
“จากเป่ยโจวไปยังปากอ่าว…จากปากอ่าวมายังเป่ยโจว…” นิ้วมือลากไปลากมาบนเส้นทาง หนิวโหย่วเต้าใช้ความคิด มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นมา เผยรอยยิ้มมีเลศนัย เอ่ยพึมพำว่า “ม้าศึก!”
เฮยหมู่ตานลองถามดู “เป่ยโจวจะขนส่งม้าศึกผ่านเส้นทางทะเลหรือเจ้าคะ?”
………………………………………………………………..
[1]มังกรเจียว เป็นมังกรเกล็ดชั้นล่างมีสายเลือดพญามังกร เล่าขานกันว่าสร้างอุทกภัยได้ เมื่อบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้น จะสามารถยกระดับกลายเป็นมังกรทรงฤทธิ์อย่างแท้จริง