ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 257 มังกรเจียวคำรณจันทร์
ตอนที่ 257 มังกรเจียวคำรณจันทร์
เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย มีลิ่งหูชิวอยู่ สำนักเขามหายานอาจจะไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายจริงๆ ก็ได้เจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทั้งที่หันหลังอยู่ “ต่อให้ลิ่งหูชิวไม่อยู่ สำนักเขามหายานก็ไม่มีทางมาวุ่นวายกับข้า ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องระหว่างข้ากับหวงเลี่ยที่หอหิมะเหมันต์ก่อนหน้านี้ แต่สำนักเขามหายานเองก็ไม่มีทางมาหมกมุ่นยึดติดอยู่กับความแค้นส่วนตัวของเซ่าผิงปอแน่ ต่อให้เปลี่ยนเป็นสำนักหยกสวรรค์ สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่มีทางมายุ่งกับความแค้นส่วนตัวของท่านอ๋องเช่นกัน สำนักเหล่านี้ หากไม่กระทบถึงผลประโยชน์ของพวกเขาจริงๆ พวกเขาไม่มีทางไปหาเรื่องวุ่นวายส่งเดช ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นอย่างที่เจ้าว่ามา มีลิ่งหูชิวอยู่ สำนักเขามหายานต้องไว้หน้าเขาบ้างไม่มากก็น้อย”
เฮยหมู่ตานผงะไปอีกครั้ง คิดมาตลอดว่าเต้าเหยี่ยวางแผนเพื่อจัดการสำนักเขามหายาน คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่เพื่อจัดการกับสำนักเขามหายาน จึงอดถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นแขกที่เต้าเหยี่ยรออยู่คือผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็อย่างที่บอกไป ข้ากังวลว่ากลุ่มอิทธิพลลึกลับนั้นจะยื่นมือมาช่วยเหลือเขา กระทั่งสำนักเขามหายานก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่าม ความเป็นไปได้ที่เซ่าผิงปอจะเรียกใช้กลุ่มอิทธิพลเล็กกลุ่มอื่นจึงยิ่งต่ำเข้าไปอีก เพราะว่าโอกาสที่จะทำสำเร็จมีไม่สูง อีกทั้งเคยถูกข้าเล่นงานมาแล้ว เขาไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจง่ายๆ แน่”
“ดังนั้น ขอเพียงมีแขกมา มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นกลุ่มอิทธิพลลึกลับนั่น หากว่ากลุ่มอิทธิพลลึกลับนั่นช่วยเหลือเขาในเรื่องแบบนี้จริงๆ เรื่องม้าศึกก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย กลุ่มอิทธิพลลึกลับนั่นน่าจะมีส่วนร่วมเช่นกัน…ไม่สิ ไม่ใช่แค่น่าจะ แต่ใช่แน่นอน! เรื่องม้าศึกสำคัญต่อเซ่าผิงปอเป็นอย่างยิ่ง ราคาที่ต้องจ่ายหากทำล้มเหลวมีสูงมาก!”
พูดๆ อยู่ก็แค่นหัวเราะหึหึออกมา “หากไม่รู้แน่ชัดว่าคนที่อยู่ฝั่งเซ่าผิงปอเหล่านั้นเป็นใคร ศัตรูอยู่ในที่ลับ ข้าอยู่ในที่แจ้ง แบบนั้นข้าจะเสียเปรียบอย่างมาก! ห่านผ่านทางย่อมส่งเสียง คนย่างผ่านย่อมทิ้งรอย หากว่าอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว กระทั่งศัตรูเป็นใครเราก็คงจะไม่รู้ และข้าก็จะไร้ช่องให้ลงมือ แต่ขอเพียงอีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็จะต้องหลงเหลือร่องรอยเอาไว้อย่างแน่นอน ข้าก็อยากเห็นนักว่าแท้ที่จริงแล้วกลุ่มอิทธิพลลึกลับนั่นเป็นใครกันแน่!”
เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “เส้นสายของลิ่งหูชิวอาจจะทำให้อีกฝ่ายหวั่นเกรงจริงๆ ก็ได้เจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าทั้งๆ ที่หันหลังอยู่ “ลิ่งหูชิวน่าจะไม่ถึงขั้นที่ทำให้กลุ่มอิทธิพลลึกลับนั้นกริ่งเกรงได้!”
เฮยหมู่ตานแปลกใจ “รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้าเงียบงันไม่ตอบ ในใจเขาทราบดี เส้นสายของลิ่งหูชิวไม่ได้ถึงขั้นสามารถทำได้ทุกอย่าง บางทีอาจจะมีอิทธิพลต่อสำนักนิกายอย่างสำนักเขามหายานแบบนั้น แต่สำหรับกลุ่มอิทธิพลที่ใช้งานสัตว์ปีกพาหนะถึงสามตัวได้ ที่บอกว่ามีตำแหน่งในหอเลือนสลัวก็คงไม่เกินจริง อีกฝ่ายไม่แน่ว่าจะเห็นนายหน้าอย่างลิ่งหูชิวอยู่ในสายตาเลย เรื่องที่จะเกรงกลัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมื่อเห็นเขาไม่เล่าถึงเหตุผล แต่ในฐานะคนที่คอยชมอยู่ด้านข้างแล้ว เฮยหมู่ตานจึงมีหน้าที่เสนอความเห็นให้พิจารณา กล่าวเตือนไปว่า “เต้าเหยี่ย ท่านอย่าลืมนะเจ้าคะ ท่านเองก็ทราบว่าม้าศึกสำคัญกับเซ่าผิงปอเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ม้าศึกต่างหากถึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วน บางทีสมาธิความสนใจของเซ่าผิงปออาจจะไปอยู่ที่ม้าศึกหมดแล้ว ตอนนี้เลยไม่มีสมาธิมาจัดการท่าน”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “เขาต้องอยากกำจัดข้าแน่นอน ข้าเก็บตัวไม่เผยตัวมาปีกว่า เขาไม่สบโอกาสลงมือเลย ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะออกมาสักครั้ง หากกลับไปเก็บตัวอีก เขาคิดจะลงมืออีกก็เกรงว่าไม่รู้ต้องรอไปจนถึงเดือนไหนปีใด เขาจะทนอยู่เฉยได้หรือ?”
“ข้าสามารถจับตามองทางมณฑลเป่ยโจวได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่จับตามองจังหวัดชิงซาน ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่วางสายลับไว้ในจังหวัดชิงซานเลย ข้าจงใจไปตระเวนภายในเมืองแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้เรื่องที่ข้าออกมาจากหุบเขา”
“เหตุผลที่ข้าไม่รีบร้อนเดินทาง เหตุผลที่ข้ากำลังรอแขก ก็เพราะข้าอยากรู้ว่ากลุ่มอิทธิพลลึกลับนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ หากไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เดิมทีเรื่องที่พวกเราจะไปจัดการในแคว้นฉีมันก็อาจจะยากลำบากอย่างมากอยู่แล้ว แล้วถ้าเกิดยังมีกลุ่มอิทธิพลลึกลับที่พร้อมจะลงมือกับเจ้าได้ตลอดเวลาเช่นนี้ เรื่องราวมันจะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่…”
สุดท้ายก็ถอนใจออกมา
เฮยหมู่ตานสัมผัสได้ถึงความกังวลที่อยู่ภายใต้ความสงบเยือกเย็นของเขา พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ นางก็พอจะเข้าใจถึงความพยายามในการวางแผนเพื่อออกมาจากหุบเขาของเขาเล็กน้อยแล้ว แล้วก็ทราบแล้วว่าที่เต้าเหยี่ยออกจากหุบเขามาจัดการเรื่องม้าศึกนั้นทั้งลำบากและอันตรายกว่าทางสำนักหยกสวรรค์มากนัก ในใจอดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมาเช่นกัน
“เก็บกวาดซะ” หนิวโหย่วเต้ายื่นจดหมายที่ถือไว้ด้านหลังให้นาง พลางชี้ไปยังแผนที่
เฮยหมู่ทำลายจดหมายลับทิ้งทันที เครื่องหมายตามเส้นทางน้ำบนแผนที่ก็ถูกลบจนเกลี้ยง
“อู้ว…อู้ว…อู้ว…”
ในเวลานี้เอง มีเสียงร้องสามครั้งดังสะท้อนไปมาจากด้านนอก เสียงไม่นับว่าดังมากนัก แต่กลับทรงพลังทะลุทะลวง ราวกับต้องการให้ทะลุไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย พุ่งไปที่ริมหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
แสงจันทร์ที่ดูคล้ายสายน้ำอาบไล้ลงบนหอไร้ขอบเขต แล้วก็ทำให้ทะเลสาบเปล่งประกายระยิบระยับ เมื่อมองไปตามทิศทางที่เสียงแว่วมา เห็นเสาสามต้นลอยพ้นผิวขึ้นมารางๆ สองต้นใหญ่หนึ่งต้นเล็ก ผิวน้ำไหวกระเพื่อมเป็นระลอก
ขนาดร่างกายของเสาต้นใหญ่ทั้งสองต้นใหญ่พอๆ กับต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่มานาน ส่วนขนาดของเสาต้นเล็กเทียบกันแล้วเล็กกว่าเกินครึ่ง
เห็นได้ชัดเจนว่ามีเกล็ดปกคลุมร่างกาย ภายใต้การหักเหของแสงจันทร์ ดูคล้ายกับมีรัศมีเลือนสลัวปกคลุมเอาไว้อยู่
การขยับตัวเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่ามันกำลังเชิดหน้ากู่ร้องต่อจันทราอยู่ มังกรเจียวคำรณจันทร์!
จนใจที่พวกมันอยู่ใจกลางทะเลสาบ ห่างออกไปค่อนข้างไกล ซ้ำยังเป็นตอนกลางคืน ประกอบกับมีการรบกวนจากแสงจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน
หนิวโหย่วเต้าโบกมือคราหนึ่ง คิดจะใช้พลังปราณชี้นำผีเสื้อจันทราให้บินเข้าไปส่องสว่าง เพื่อจะได้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
ผู้ใดจะคาดว่ามีคนที่อดใจรอไม่ไหว บนสะพานหินที่พาดยาวแห่งหนึ่ง มีคนชี้นำผีเสื้อจันทราให้บินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าในขณะที่ผีเสื้อจันทรากำลังจะเข้าใกล้ พลันเกิดเสียงซ่าดังสนั่น หางขนาดใหญ่หางหนึ่งตวัดขึ้นมาจากในน้ำ ถึงแม้หางจะใหญ่ แต่กลับว่องไวเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาก็ฟาดผีเสื้อจันทราจนหายไปแล้ว
“ฮ่าๆ…” มีเสียงหัวเราะที่สะกดไว้ไม่อยู่แว่วมาจากด้านนอกทันที
หนิวโหย่วเต้าผงะไป จำเป็นต้องหยุดผีเสื้อจันทราของตนไว้
“อู้ว…อู้ว…อู้ว…”
มีเสียงมังกรกู่ร้องสามเสียงแว่วมาจากผิวทะเลสาบอีกครั้ง ต่อเนื่องและยาวนาน ดึงดูดสายตาของเหล่าผู้คน
ภายใต้สายตาของทุกคนที่มองดูอยู่ ศีรษะของมังกรเจียวทั้งสามตัวค่อยๆ จมลงไปใต้ผิวน้ำ สุดท้ายก็หายลับไปจากผิวน้ำที่เปล่งประกายระยิบระยับ
ลิ่งหูชิวที่ยืนมองอยู่ริมหน้าต่างเช่นกันหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา ตอนที่เงยหน้ามองจันทราบนท้องฟ้ายามราตรี กลับมีเสียงเคาะประตูแว่วมาจากด้านนอกดัง ‘ก๊อกๆ’
หงซิ่วไปเปิดประตู ด้านนอกมีชายร่างท้วมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เอ่ยถามว่า “ท่านลิ่งหูอยู่หรือไม่?”
หงซิ่วถามด้วยความฉงน “ท่านคือ?”
ชายร่างท้วมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าคือพนักงานของร้านสำนักเลิศเมฆา เถ้าแก่ฝานของพวกเราเป็นสหายเก่าของท่านลิ่งหูเช่นกัน ได้ยินว่าท่านลิ่งหูมา จึงส่งข้ามาคารวะขอรับ”
“รอสักครู่!” หงซิ่วเอ่ยอย่างสุภาพ สำหรับคนของสำนักเลิศเมฆานางไม่กล้าชักช้า หันหลังเดินกลับไปแจ้งลิ่งหูชิวอย่างรวดเร็ว
แต่ลิ่งหูชิวกลับไม่กังวลอันใด เมื่ออยู่ที่นี่ เขาไม่กลัวว่าจะมีคนมาก่อเรื่องวุ่นวาย จึงรีบเอ่ยว่า “เชิญเข้ามา”
ชายร่างท้วมถูกเชิญเข้ามาอย่างรวดเร็ว “หลี่เจินพนักงานของร้านสำนักเลิศเมฆา คารวะท่านลิ่งหู”
“หลี่เจิน?” ลิ่งหูชิวมองพินิจอีกฝ่ายหัวจรดเท้าพลางเอ่ยว่า “ดูไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย คล้ายว่าเมื่อก่อนจะไม่เคยเห็นเจ้าในร้านค้าของสำนักเลิศเมฆาที่อยู่ทางนี้เลย”
หลี่เจินที่เป็นชายร่างท้วมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาประจำที่นี่หลายปีแล้วขอรับ ไม่เคยพบท่านมาก่อนเช่นกันขอรับ”
“อย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าบังเอิญคลาดกันพอดี” ลิ่งหูชิวหัวเราะฮ่าๆ เขาไม่ได้มาที่นี่หลายปีแล้วจริงๆ เมื่อครู่เพียงลองหยั่งเชิงเท่านั้น หากเมื่อครู่พอเขาบอกว่าไม่เคยพบกันมาก่อน แล้วอีกฝ่ายตอบว่าเพิ่งมาใหม่อะไรทำนองนั้น เช่นนั้นกลับอาจจะมีปัญหาได้ เขาถามด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่ฝานมีคำสั่งใดหรือ?”
หลี่เจินเอ่ยว่า “เถ้าแก่เชิญท่านลิ่งหูไปที่ร้านค้าขอรับ บอกว่ามีเรื่องจะหารือกับท่านขอรับ”
ลิ่งหูชิวลังเลเล็กน้อย ถามว่า “เรื่องใด?”
หลี่เจินส่ายหน้า “เรื่องนั้นข้าไม่ทราบจริงๆ ขอรับ เถ้าแก่ไม่ได้บอกไว้ ข้าเองก็ไม่สะดวกจะถามมาก ท่านไปถึงย่อมทราบเองขอรับ”
ลิ่งหูชิวพยักหน้า เจ้าสำนักเลิศเมฆาคือคนที่มีตำแหน่งอยู่ในหอเลือนสลัว เมื่อคนของสำนักเลิศเมฆาส่งคำเชิญมา เขาก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ
แต่เขาก็นึกห่วงทางหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน หากเขาไม่อยู่ ก็เป็นห่วงว่าจะมีคนมาทำอะไรวุ่นวาย แต่พอใคร่ครวญดูเล็กน้อย ต่อให้ใครบางคนใจกล้าแค่ไหน ก็คงไม่ถึงกับกล้ามาก่อเรื่องที่นี่ จึงตอบไปว่า “น้องหลี่กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการอะไรสักหน่อยแล้วจะรีบตามไป”
หลี่เจินขมวดคิ้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านลิ่งหูโปรดเร็วหน่อยนะขอรับ อย่าให้เถ้าแก่ต้องคอยนาน”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” ลิ่งหูชิวเอ่ยรับรองเต็มปากเต็มคำ
หลี่เจินประสานมือคำนับ ขอตัวลา
กระทั่งเขาไปแล้ว ลิ่งหูชิวแทบจะตามออกจากห้องไปทันที ที่บอกว่าจะจัดการอะไรสักหน่อยเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วเขาเป็นห่วงทางหนิวโหย่วเต้า
เขาพาหงซิ่วและหงฝูมาหาหนิวโหย่วเต้า เคาะประตูแล้วเข้าไป
สองพี่น้องร่วมเดินทางกันมาในครั้งนี้นับว่าสนิทสนมกันเป็นอย่างดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรอีก หนิวโหย่วเต้าถามไปตรงๆ “พี่ลิ่งหูมีธุระหรือ?”
ลิ่งหูชิวส่งเสียง ‘อื้อ’ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “มีธุระนิดหน่อยน่ะ มีสหายเก่าคนหนึ่งที่อยู่ทางนี้เชิญข้าไปพบ ข้าต้องแวะไปหาเขาหน่อย”
หนิวโหย่วเต้าสนใจขึ้นมาทันที “พาข้าไปทำความรู้จักสักหน่อยได้หรือไม่?”
ลิ่งหูชิวโบกมือ ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ด้วยเบื้องหลังของอีกฝ่าย ข้าไม่สะดวกจะพาคนไปด้วย ที่มาเพราะอยากถามเจ้าว่า เจ้าไม่มีธุระอะไรต้องออกไปข้างนอกใช่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้างุนงงไปเล็กน้อย “ข้าจะมีธุระอะไรได้ เวลานี้แล้ว ย่อมต้องพักผ่อนเข้านอน จะออกไปทำไมเล่า? หากอยากเดินเที่ยวก็ต้องรอพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยว่ากัน”
ลิ่งหูชิวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ได้ยินว่าเจ้ามีศัตรูไม่น้อย ด้วยสภาวะของพวกเจ้าสามคนทำให้ข้านึกเป็นห่วงจริงๆ ตอนที่ข้าไม่อยู่กับพวกเจ้า พยายามอย่าออกไปเพ่นพ่านจะดีกว่า”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ทำให้พี่ลิ่งหูต้องเป็นห่วงเสียแล้ว พี่ลิ่งหูวางใจเถอะ ข้าไม่ออกไปเพ่นพ่านที่ไหนแน่นอน พี่ลิ่งหูไปพบสหายอย่างสบายใจได้เลย”
“ดี!” ลิ่งหูชิวพยักหน้า ขอพียงอีกฝ่ายอยู่ในโรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์ก็น่าจะไม่เกิดเรื่องใดขึ้น เขาเองก็นับว่าออกไปอย่างหายห่วงได้
ภายในหอที่มืดสลัวไร้ซึ่งแสงสว่างที่อยู่ใกล้ๆ โรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์แห่งหนึ่ง ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งยืนยกมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง สายตาจ้องมองทางเข้าออกของโรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์โดยไม่ละสายตา
มีเสียงเปิดประตูแว่วจากด้านหลัง ชายร่างท้วมเดินเข้ามา เป็นหลี่เจินที่ไปพบลิ่งหูชิวเมื่อครู่นี้ เขาเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายชายผอมสูงแล้วกระซิบบอก “เขาตกลงแล้วขอรับ”
ชายผอมสูงถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เขามีปฏิกิริยาอย่างไร ไม่นึกสงสัยกระมัง?
หลี่เจินตอบว่า “ดูปกติ น่าจะไม่สงสัยอะไรขอรับ อยู่ภายในพื้นที่ของหอไร้ขอบเขต ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ไปพบเถ้าแก่ร้านสำนักเลิศเมฆาจะมีเรื่องอันใดได้เล่า? ไม่มีเหตุผลที่ต้องนึกสงสัยเลยขอรับ!”
ชายผอมสูงถามอีกครั้ง “ตอนที่เจ้าบอกเขา เขาไม่ได้อยู่กับเป้าหมายใช่หรือไม่?”
“ไม่อยู่ขอรับ! ข้าเข้าห้องไปในห้อง ไม่เห็นเป้าหมายอยู่ในนั้น” หลี่เจินตอบ จู่ๆ ก็ลดเสียงต่ำลง “ออกมาแล้ว”
ชายผอมสูงตวัดสายตามอง จ้องมองไปยังลิ่งหูชิว หงซิ่วและหงฝูที่เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์ จากนั้นโบกมือให้สัญญาณเล็กน้อย
หลี่เจินหยิบเอากล่องโลหะขนาดเล็กที่ห้อยอยู่ตรงเอวเสมือนพู่หยกขึ้นมาเปิดออก เรียกผีเสื้อจันทราที่พักผ่อนอยู่ด้านในออกมา
ผีเสื้อจันทราโบยบิน ภายในห้องที่ดำมืดพลันมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมา
ทั้งสองเดินหลบออกมาจากริมหน้าต่าง
รออยู่ครู่หนึ่ง แสงสว่างภายในห้องหายไปอีกครั้ง หน้าต่างอีกบานหนึ่งถูกเปิดออกไป ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นตรงริมหน้าต่างที่อยู่อีกด้านหนึ่ง มองตามพวกลิ่งหูชิวที่จากไป
…………………………………………………………..