ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 258 ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ
ตอนที่ 258 ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ
“เจ้ารีบไปจากที่นี่ซะ อย่าโผล่หน้ามาอีก รีบไปเดี๋ยวนี้!” ชายผอมสูงจ้องมองนอกหน้าต่างพลางเอ่ยเสียงขรึม
“ขอรับ!” หลี่เจินตอบรับ เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย รีบเดินออกจากหอแห่งนั้น หายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
…….
‘ก๊อกๆ’ เสียงเคาะประตูแว่วขึ้น เฮยหมู่ตานเปิดประตูมอง ชายที่ไว้หนวดเคราสามปอยที่ยืนอยู่ด้านนอกทำให้นางค่อนข้างประหลาดใจ “เถ้าแก่พาน!”
ผู้มาคือเถ้าแก่ของร้านค้าสำนักเซียนสถิตสาขาหอไร้ขอบเขต ก่อนหน้านี้นางเคยเชิญอีกฝ่ายมาแล้ว ให้เถ้าแก่ของสามสำนักมาพบหนิวโหย่วเต้าพร้อมกัน
“เต้าเหยี่ยอยู่หรือไม่?” เถ้าแก่พานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เสียงของหนิวโหย่วเต้าแว่วมาจากในห้อง “เถ้าแก่พานมาหรือ?”
เดิมทีเฮยหมู่ตานคิดจะไปรายงานก่อน ทว่าหนิวโหย่วเต้าเอ่ยปากแล้ว นางรู้ว่าไม่มีความจำเป็นต้องขวางอีก จึงเปิดประตูกว้าง ให้อีกฝ่ายเข้ามา จากนั้นยื่นหน้าออกไปนอกประตู หันมองซ้ายมองขวา ก่อนจะถอยกลับเข้ามาแล้วปิดประตู
“เต้าเหยี่ย!” เถ้าแก่พานเข้ามาในห้องแล้วคารวะ
หนิวโหย่วเต้าโบกมือสื่อให้เฮยหมู่ตานยกชามา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่พานมีธุระใดหรือ?”
เถ้าแก่พานรีบโบกมือให้เฮยหมู่ตาน สื่อว่าไม่ต้อง ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “มีธุระด่วนจริงๆ ขอรับ คนที่ทางสำนักส่งไปจัดการเรื่องม้าศึกที่แคว้นฉีมาหา บอกว่ามีข่าวสำคัญมาแจ้ง ต้องการพบเต้าเหยี่ยขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าถามทันที “คนล่ะ? เหตุใดไม่เห็นมาด้วย อยู่ที่ร้านหรือ?”
เถ้าแก่พานส่ายหน้า “เปล่าขอรับ เขาบอกว่าทางแคว้นฉีเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย จึงหลบหนีมาทางนี้ เขากลัวว่าจะถูกคนจับตามองอยู่ จึงไม่กล้าเข้ามาในหอไร้ขอบเขต เพียงให้คนมาถ่ายทอดคำพูดต่อข้า บอกว่านำข่าวสำคัญมาด้วย ไม่ยอมบอกรายละเอียดส่วนใหญ่ต่อข้า บอกว่าทางสำนักมอบหมายให้ติดต่อกับท่านเรื่องม้าศึก เขาจะพบแต่ท่านเท่านั้น หากไม่ได้พบท่านจะไม่ยอมเผยตัว นัดหมายให้เต้าเหยี่ยไปพบกันนอกหอไร้ขอบเขตขอรับ”
เฮยหมู่ตานมีสีหน้าคร่ำเคร่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นถึงได้ทำให้สถานการณ์ดูตึงเครียดขนาดนี้
หนิวโหย่วเต้าถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขานัดไปเจอที่ไหน?”
เถ้าแก่พานตอบว่า “ทราบขอรับ บอกว่าขอเพียงท่านไปถึง เขาจะเผยตัวเอง”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ได้! เจ้าไปรอด้านนอกก่อนเถอะ ขอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สะดวกสำหรับเดินทางตอนกลางคืนหน่อย”
“ขอรับ!” เถ้าแก่พานค้อมกายให้เล็กน้อย ถอยออกไปก่อน
หนิวโหย่วเต้ามองตามเงียบๆ กระทั่งประตูปิดลง เขารีบหันไปกระซิบทันที “ส่งสัญญาณ!”
เฮยหมู่ตานผงะไปเล็กน้อย “เต้าเหยี่ยสงสัยเถ้าแก่พานหรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าข้าสงสัยเถ้าแก่พาน แต่ตลอดทางมานี้ลิ่งหูชิวตามติดอยู่ข้างกายข้าเหมือนเงาตามตัว ทำให้ข้ายากจะเปิดโอกาสให้แขกผู้มาเยือนได้”
เฮยหมู่ตานไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเขา “มันเกี่ยวกับเรื่องตรงหน้านี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ตลอดทางมานี้ไม่เคยแยกห่างกันเลย นี่ลิ่งหูชิวเพิ่งออกไป ทางนี้ก็มีเรื่องมาหาข้า ซ้ำยังนัดข้าออกไปพบข้างนอกอีก เป็นเรื่องบังเอิญหรือ?”
เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “เช่นนั้นคือท่านยังคงสงสัยในตัวเถ้าแก่พาน”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากลิ่งหูชิวไม่มากำชับข้าไว้ หากไม่รู้ว่าเขาออกไปข้างนอก เกรงว่าข้าคงจะไม่คิดมาก ต่อให้ลิ่งหูชิวไม่มากำชับไว้ ระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร ต้องระวังตัวเอาไว้ถึงจะอยู่รอดปลอดภัย! อย่ามัวชักช้าเลย” เขาหันหน้ามาส่งสัญญาณเล็กน้อย
เฮยหมู่ตานตอบรับ นำผีเสื้อจันทราออกมา ใช้พลังปราณชักนำไปที่ริมหน้าต่าง ให้ผีเสื้อจันทราบินวนอยู่ตรงหน้าต่าง
จนกระทั่งปรากฏผีเสื้อจันทราที่บินวนในลักษณะเดียวกันขึ้นภายในหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปด้านหน้า เฮยหมู่ตานถึงได้เก็บผีเสื้อจันทรา หันไปพยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้า สื่อว่าเรียบร้อยแล้ว
หนิวโหย่วเต้าเดินไปที่ริมผนัง หยิบผ้าคลุมสีดำตัวหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนัง
ผ้าคลุมไม่ใช่สิ่งที่เขานำมาเอง แต่เป็นสิ่งที่ทางโรงเตี๊ยมจัดเตรียมไว้ให้ ทุกห้องล้วนมีอยู่สองตัว เตรียมไว้เพื่อช่วยรักษาความลับให้แขกที่มาเข้าพัก เผื่อแขกบางส่วนที่อยากเข้าออกโรงเตี๊ยมโดยไม่เผยโฉมหน้า
ผ้าคลุมถูกสวมลงบนร่าง ผูกเชือกตรงหน้าอก เป็นอันเรียบร้อย!
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากผ้าคลุม นิ้วทั้งห้ากางออก ดูดกระบี่ที่อยู่บนชั้นวางกระบี่เข้าสู่มือ หายเข้าไปภายใต้ผ้าคลุมพร้อมกับแขนข้างนั้น
เมื่อเห็นเฮยหมู่ตานจะหยิบผ้าคลุมที่แขวนอยู่บนผนังเช่นกัน หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามไป”
เฮยหมู่ตานตะลึงงัน “เต้าเหยี่ยจะไปคนเดียวหรือเจ้าคะ?”
“อืม!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า ยื่นมือไปดึงหมวกคลุมที่ห้อยอยู่ด้านหลังขึ้นมาคลุมศีรษะ บดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง
เฮยหมู่ตานพลันร้อนรนขึ้นมา กดเสียงให้ต่ำลงแล้วรีบเอ่ยว่า “ท่านสงสัยว่ามีคนต้องการลงมือกับท่านมิใช่หรือเจ้าคะ? หากว่านี่เป็นฝีมือกลุ่มอิทธิพลลึกลับนั่นจริงๆ จะทำยังไงล่ะเจ้าคะ? วางแผนลงมือกับท่านมานานขนาดนี้ เกรงว่าจะต้องเล่นงานท่านให้ถึงตายแน่เจ้าค่ะ!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็ถ้าหากว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลลึกลับนั่นจริงๆ เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เฮยหมู่ตานร้อนรน “ยังไงสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวนะเจ้าคะ!”
“ไปเป็นตัวถ่วงหรือ?” หนิวโหย่วเต้าว่าพลางออกเดิน
เฮยหมู่ตานรีบก้าวไปด้านหน้า ยื่นมือขวางเขาไว้ “เต้าเหยี่ย ท่านจะไปเสี่ยงเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ในเมื่อสงสัยว่ามีปัญหา เช่นนั้นก็อย่าไปเลยเจ้าค่ะ!”
“ที่พูดกับเจ้าไปก่อนหน้านี้ไม่เข้าหูเลยอย่างนั้นหรือ? ก็เพราะว่ามีปัญหา ข้าถึงต้องไปอย่างไรล่ะ! ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ หลีกไป!”
“เต้าเหยี่ย ท่านไปไม่ได้นะเจ้าคะ ให้ข้ากับต้วนหู่ไปแทนก็ได้เจ้าค่ะ!”
“เป้าหมายของอีกฝ่ายคือข้า พวกเจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? หลีกไป!”
“เต้าเหยี่ย ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ หากเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน ข้ากับพวกต้วนหู่ แล้วก็ยังมีสามสำนักด้วย พวกเราจะไม่มีทางตั้งหลักกับทางยงผิงจวิ้นอ๋องได้นะเจ้าคะ”
เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ทำเอาเฮยหมู่ตานตกใจแทบแย่
เฮยหมู่ตานที่เตี้ยกว่าเขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มที่อยู่ภายใต้หมวกผ้าคลุมของเขา รู้สึกทั้งฉุนทั้งขำ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้แล้วยังจะมีอารมณ์มาหยอกนางเล่นอีก
นางกางสองแขนกอดเขาไว้แน่น “ห้ามไปนะเจ้าคะ!”
หนิวโหย่วเต้ากระซิบข้างหูนาง “รู้ทั้งรู้ว่าบนเขามีเสือ แต่ยังเดินขึ้นเขา? นั่นไม่อาจอาศัยเพียงความกล้าได้ ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีสภาวะต่ำกว่าจิตทารกลงไป ไม่มีใครสังหารข้าได้ง่ายๆ!”
นี่มิใช่คำลวง ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่ตงกัวเฮ่าหรานถ่ายทอดให้เขายังเหลืออยู่ในร่างเขาอีกเก้าสาย!
เฮยหมู่ตานไม่เชื่อ ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ให้เวลานางได้พูดไร้สาระอีก สลัดนางออกไป
ในชั่วขณะนั้นเอง มาดของ ‘เต้าเหยี่ย’ ที่เคยโลดแล่นเมื่อในอดีตคนนั้นได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง
ทว่าเฮยหมู่ตานไม่รู้ตัว ยังคงต้องการขวางเขาไว้
หนิวโหย่วเต้าเลิกหมวกออก สีหน้าเหี้ยมเกรียม จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา ชี้หน้านางพลางกล่าวว่า “หากไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ก็ไปหาเจ้าลิงซะ ให้เขาสั่งสอนเจ้า! หากยังกล้าพูดเหลวไหลอีกก็ไสหัวไปซะ!”
เรียกได้ว่านึกจะเปลี่ยนท่าทีก็เปลี่ยนได้ทันที เมื่อครู่ยังหยอกเล่นกันอยู่เลย เปลี่ยนท่าทีเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก สีหน้าดุร้าย น่าหวาดกลัว!
เฮยหมู่ตานตกตะลึง ยืนทื่ออยู่ที่เดิม
หนิวโหย่วเต้าสาวเท้าเดินไป เปิดประตู ออกจากประตู ปิดประตู
บนระเบียงทางเดินด้านนอก เถ้าแก่พานที่กำลังเดินกลับไปกลับมาพลันเงยหน้าขึ้น มองเห็นหนิวโหย่วเต้าออกมาแล้ว จึงรีบปราดเข้ามาหา “เต้าเหยี่ย!”
“ไปกันเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าดึงหมวกที่ห้อยอยู่ด้านหลังขึ้นมาคลุมศีรษะ
“เอ่อ…” เถ้าแก่พานมองไปทางด้านหลังของเขาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความฉงน “มีท่านคนเดียวหรือขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เจ้าบอกว่าเขายอมพบเพียงข้ามิใช่หรือ? แสดงว่าจะต้องมีความลับสำคัญอันใดแน่นอน แล้วจะพาคนมากมายไปทำไม?”
“……” เถ้าแก่พานผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ “ขอรับๆๆ” รีบผายมือเชิญ
ทั้งสองเดินอาดๆ จากไปอย่างเร่งร้อน ไม่นานก็ออกมาจากโรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์ ยามที่เดินข้ามสะพานแห่งหนึ่ง เถ้าแก่พานพยักหน้าเล็กน้อยไปทางหอที่มืดสลัวหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เพราะอย่างไรเสียศีรษะของหนิวโหย่วเต้าก็อยู่ภายใต้หมวกผ้าคลุมใบใหญ่ ยังไงก็มองไม่เห็นอยู่ดี
ชายผอมสูงที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างมองตามไปสักพัก จากนั้นหันหลัง จุดตะเกียงที่อยู่ภายในห้อง ครอบโป๊ะตะเกียงลงไปด้านบน
ภายในห้องสว่างขึ้นมา ทว่าตัวเขากลับเปิดประตูจากไป
…..
ภายในร้านค้าของสำนักเลิศเมฆา ลิ่งหูชิวยกมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมา กำลังรอคอยอยู่
หลังผ่านไปพักหนึ่ง ชายผิวขาวสวมใส่เสื้อผ้าดูดีคนหนึ่งเดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามา เป็นเถ้าแก่ฝานผู้ดูแลร้านค้าสาขานี้
ลิ่งหูชิวที่เดินกลับไปกลับมาหยุดฝีเท้าทันที ประสานมือคำนับแต่ไกล เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ฝาน! ไม่พบกันหลายปี ยังสง่างามไม่เปลี่ยนเลย!”
เถ้าแก่ฝานหยุดเดิน มองเขาหัวจรดเท้า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “ลิ่งหูซยงมาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ?”
ในน้ำเสียงไม่ได้มีความสุภาพมากนัก ด้วยสถานะในโลกบำเพ็ญเพียรของสำนักเลิศเมฆา เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจลิ่งหูชิวมากนัก
เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน หากว่าต้องเผชิญกับปัญหายุ่งยากที่แม้แต่สำนักเลิศเมฆาก็จัดการไม่ได้ ต่อให้มาหาลิ่งหูชิวผู้โด่งดังแห่งแคว้นจิ้นก็เปล่าประโยชน์ และถ้าหากสำนักเลิศเมฆาต้องการให้ลิ่งหูชิวไปจัดการเรื่องใดจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าลิ่งหูชิวก็คงยากจะปฏิเสธได้
ลิ่งหูชิวผงะไปเล็กน้อย “ไม่ใช่เถ้าแก่ฝานที่เรียกหาผู้น้อยหรือ?”
เถ้าแก่ฝานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ย้อนถาม “ข้าเรียกหาเจ้า?”
ม่านตาลิ่งหูชิวหดตัววูบ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เอ่ยถามอีกครั้ง “หลี่เจินของร้านท่านอยู่หรือไม่?”
เถ้าแก่ฝานขมวดคิ้ว “หลี่เจินอันใด? ร้านของเราไม่มีคนชื่อนี้ ลิ่งหูชิว เจ้ากำลังอ้อมค้อมอันใดอยู่ ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้านะ!”
ลิ่งหูชิวตีหน้ายิ้มทันที รีบประสานมือเอ่ยไปว่า “ขออภัย ขออภัย ดูเหมือนข้าจะเข้าใจผิดว่าคนที่ชื่อหลี่เจินเป็นคนในร้านค้าของสำนักท่าน สมควรตายจริงๆ! เถ้าแก่ฝาน เป็นความผิดข้าเอง เชิญท่านไปจัดการงานของท่านเถิด ไม่จำเป็นต้องสนใจข้า ข้าขอตัวก่อน!”
กล่าวจบก็หันหลังทันที ส่งสายตาให้หงซิ่วและหงฝูแวบหนึ่ง สาวเท้าเดินออกจากร้านไป
หงซิ่วและหงฝูย่อกายคำนับเถ้าแก่ฝาน ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เถ้าแก่ฝานที่ยืนยกมือไพล่หลังค่อยๆ คลายมือข้างหนึ่งออก กระดิกนิ้วเล็กน้อย พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาทันที เข้ามารอรับคำสั่งอยู่ใกล้ๆ
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ ส่งคนไปจับตาดูคนผู้นี้ไว้หน่อย ดูว่ากำลังเล่นเล่ห์อันใดอยู่หรือไม่!” เถ้าแก่ฝานเอ่ยอย่างเฉยชาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ขอรับ!” พนักงานคนนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว
ณ โรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์ ลิ่งหูชิวพาสตรีทั้งสองเร่งรีบกลับมา ตรงมาที่ประตูห้องหนิวโหย่วเต้า เคาะประตูรัวๆ ดัง ‘ก๊อกๆๆๆ’
เฮยหมู่ตานเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นเขาก็เอ่ยทักทายด้วยสีหน้าปกติ “ท่านลิ่งหู!”
เมื่อเห็นนางยังอยู่ ลิ่งหูชิวก็โล่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองเข้าไปด้านในห้อง “น้องชายคนนั้นของข้านอนไปหรือยัง? ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขาหน่อย”
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ขออภัยเจ้าค่ะ เมื่อครู่มีคนมาหาเต้าเหยี่ย เต้าเหยี่ยออกไปแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าลิ่งหูชิวแปรเปลี่ยนอีกครั้ง “ออกไปหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่? เจ้าไม่ไปกับเขาหรือ?”
เฮยหมู่ตานตอบ “เต้าเหยี่ยไม่ให้ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
ลิ่งหูชิวผลักประตูเข้าไปทันที ไม่สนใจแล้วว่าเฮยหมู่ตานจะยินดีหรือไม่ มองไปรอบๆ ห้อง หนิวโหย่วเต้าไม่อยู่จริงๆ ด้วย
หงซิ่วและหงฝูที่ตามเข้ามามองหน้ากัน
“เป็นผู้ใดมาหาเขา?” ลิ่งหูชิวหันกลับไปถามทันที
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ข้าไม่รู้จักเจ้าค่ะ” นางไม่สะดวกจะบอกจริงๆ เพราะถ้าเกิดว่าเถ้าแก่พานคนนั้นไม่มีปัญหาอะไรล่ะก็ การพูดอะไรออกไปส่งเดชอาจจะทำให้ความลับรั่วไหลได้
ลิ่งหูชิวใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จากนั้นยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ เจ้าเข้านอนเร็วหน่อยแล้วกัน เอาไว้น้องชายข้ากลับมาแล้วให้เขาไปหาข้าด้วย ข้ามีธุระจะคุยกับเขา”
“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตอบรับ
……………………………………………………………….