ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 260 ไล่ล่าใต้ดิน
ตอนที่ 260 ไล่ล่าใต้ดิน
ในกลุ่มคนที่ตามไล่ล่ากันเป็นทอดๆ นอกจากหนิวโหย่วเต้าที่หลบหนีอยู่ด้านหน้าสุดแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือระดับโอสถทองทั้งสิ้น
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าเพื่อสังหารหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ในระดับสร้างฐานเพียงคนเดียวแล้ว ผู้บงการน่าจะลงทุนไปไม่น้อย ทำแบบนี้คือต้องการให้หนิวโหย่วเต้าตายสถานเดียว
ขณะเดียวกันก็เห็นได้ว่าเพื่อที่จะรักษาชีวิตไว้แล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน ใช้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองสิบห้าคนจากสามสำนักเพื่อคุ้มกัน!
สภาวะของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันเกินไป อีกไม่ช้าก็จะตามทันแล้ว
จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าที่กำลังจะตกลงพื้นพลันซัดฝ่ามือลงบนพื้นอย่างแรง ตู้ม เม็ดทรายฟุ้งกระจาย เขาร่วงลงไปจากบนอากาศ จมหายเข้าไปในฝุ่นทรายที่ระเบิดขึ้นมา
ในเวลาเดียวกับที่เม็ดทรายร่วงหล่นลงมาดังซ่าๆ ชายผอมสูงที่นำหน้าคนทั้งสามอยู่หลายช่วงตัวพลันตวัดกระบี่ ปราณกระบี่ที่ดุดันและรุนแรงสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศ โจมตีเข้าไปยังจุดที่หนิวโหย่วเต้ามุดซ่อนตัวลงไป
ท่ามกลางฝนทรายที่ฟุ้งกระจาย ในเวลาเดียวกับที่ร่วงลงมา ตัวคนได้ตวัดกระบี่ส่งปราณกระบี่อันทรงพลังฟาดฟันลงไปใต้พื้นทรายในทุกทิศทุกทาง
หลังจากเม็ดทรายร่วงหล่นลงมาดังซ่าๆ เขาถือกระบี่พลางกวาดตามองไปรอบๆ ไหนเลยจะยังเห็นเงาร่างของหนิวโหย่วเต้าอีก
เขาเสียบกระบี่เก็บไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ทาบฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนพื้น ใช้พลังตรวจสอบ ไม่นานพลันขมวดคิ้วขึ้นมา ฝ่ามือข้างหนึ่งตวัดไปมาอยู่บนพื้น ตะโกนขึ้นว่า “เปิด!”
พลังปราณที่พลุ่งพล่านหมุนควง เจาะพื้นทรายจนเกิดเป็นโพรงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งลงไป ปากโพรงพังถล่มจมหายตามไป
อีกสามคนที่เหินกายตามลงมาหลังจากนั้นคล้ายค่อนข้างจนปัญญา ถึงแม้ทุกคนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองเหมือนกัน แต่ระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองด้วยกันก็ยังมีความต่างชั้นกันอยู่มาก เคล็ดวิชาที่แต่ละคนบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันไป ประโยชน์ใช้สอยและวิธีการใช้พลังก็แตกต่างกันไปด้วย
พวกเขาไม่สามารถมุดลงไปใต้พื้นทรายแล้ววิ่งพล่านไปทั่วได้
พอหยุดชะงักเช่นนี้ สิบคนที่อยู่ด้านหลังจึงตามมาทัน ยอดฝีมือจากสามสำนักเข้าปิดล้อมทั้งสามคนไว้ รุมโจมตีอย่างดุเดือด!
ทั้งสามย่อมต้องตอบโต้กลับอย่างสุดความสามารถ ฉากต่อสู้อันดุเดือดรุนแรงพลันอุบัติขึ้น!
รอบกายชายผอมสูงที่มุดลงไปใต้พื้นทรายมีพลังปราณหมุนวนอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้รอบกายเขามีพื้นที่ว่างอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งพลังปราณที่หมุนวนอยู่รอบกายก็คอยทะลวงเปิดทางให้เขาเหมือนสว่านอันหนึ่ง
ชายผอมสูงที่ถือกระบี่ไว้ในมือเรียกได้ว่ากำลังวิ่งอยู่ใต้พื้นทราย ตรงไปยังจุดซ่อนตัวของเป้าหมาย
ส่วนหนิวโหย่วเต้าในเวลานี้ก็กำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทราย เขาไม่มีความสามารถเท่าชายผอมสูงที่สร้างพื้นที่ว่างรอบตัวในชั้นทรายลึกหลายสิบเมตรได้ แต่เขากลับไม่กริ่งเกรงแรงกดดันมหาศาลใต้พื้นทรายเลย สามารถหาจุดถ่วงดุลกับแรงดันน้อยนิดนั้นได้
เขาหลับตากำหนดสมาธิ หลอมรวมเป็นหนึ่งกับเม็ดทรายรอบกาย สงบนิ่ง!
รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของศัตรูที่กำลังเปิดทางมาชัดเจนเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ยากที่จะไม่พบเห็น หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย แตกตื่นอยู่ในใจ ผู้ที่มาเป็นใครกัน? คิดไม่ถึงว่าจะส่งยอดฝีมือระดับนี้มาตามล่าสังหารตน!
ครั้งนี้ถึงคราวที่เขาต้องลอบโอดครวญในใจบ้างแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตราย แต่ก็ยังกล้ามาตามนัดหมายในทะเลทรายเพียงลำพัง ก็เนื่องเพราะคิดว่าตนเองมีทักษะนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเผชิญกับยอดฝีมือตัวจริงเข้าแล้ว!
นี่มิใช่แค่ยอดฝีมือระดับโอสถทองเด็ดขาด หากแต่เป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทอง!
ในใจก่นด่าโคตรเหง้าของเซ่าผิงปอ ไหนเลยจะกล้ารั้งอยู่ต่อ สำแดงเคล็ดเคลื่อนย้ายมหาจักรวาล ตัวคนแหวกว่ายอยู่ในผืนทรายดั่งมัจฉา มุดหนีไปอย่างรวดเร็ว หลบหนีลึกลงไปใต้ดิน
เขาต้องการหยั่งเชิงดูว่าอีกฝ่ายจะทนแรงดันใต้ดินได้ดีเท่าตนหรือไม่ หากอีกฝ่ายทนรับไม่ไหว ก็จะเป็นโอกาสให้ตนได้หลบหนี
คนหนึ่งแหวกว่ายหนีท่ามกลางผืนทราย อีกคนใช้พลังอันแกร่งกล้าเปิดทางเพื่อไล่ล่า
หลังจากดำลงไปได้หลายสิบเมตร หนิวโหย่วเต้าเกือบจะสบถด่าแม่ออกมา ข้างล่างไม่มีทางให้ไปต่อแล้ว เป็นก้อนหิน
เขาไหนเลยจะมุดเข้าไปในก้อนหินได้ เคล็ดเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลของเขาสามารถแหวกว่ายในสายน้ำและบ่อทรายได้เท่านั้น แต่หากชนเข้ากับพื้นดินปกติก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก้อนหินเลย
เขาวิ่งไปในแนวขนานอีกหลายสิบเมตร พบว่าด้านล่างยังคงเป็นก้อนหินแข็งๆ อยู่
ไม่มีวิธีแล้ว มุดลงไปใต้ดินต่อไม่ได้ ทำได้เพียงหลบหนีไปในแนวขนาน
ทว่าระดับความเร็วในการไล่ตามของอีกฝ่ายเร็วเกินไป ทั้งสองฝ่ายใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆ
เมื่ออยู่ใกล้ในระยะสายตา ชายผอมสูงที่ตามไล่ล่าพลันตวัดกระบี่ฟันออกไป
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น พลังโจมตีอันรุนแรงพุ่งแหวกทรายเข้ามา หนิวโหย่วเต้าตวัดแขนซัดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
ตัวเขาในปัจจุบันนี้มิใช่เด็กน้อยที่ไม่เข้าใจและไม่สามารถควบคุมพลังปราณได้เหมือนอย่างเมื่อในอดีตแล้ว สำหรับเขาในตอนนี้ สามารถโคจรพลังควบคุมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายภายในร่างได้แล้ว
ตู้ม! พลังฝ่ามืออันทรงพลังและปราณกระบี่อันดุดันปะทะกัน คล้ายการระเบิดอย่างรุนแรงอย่างไรอย่างนั้น
ครืน! จากนั้นมีเสียงแปลกๆ ดังตามมา หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้ถึงทรายที่กำลังไหลลงไปอย่างรวดเร็ว อดรู้สึกดีใจขึ้นมาไม่ได้ ดูเหมือนพื้นหินด้านล่างจะถูกระเบิดแล้ว ใต้พื้นคล้ายว่ามีช่องว่างอยู่
หนิวโหย่วเต้ามุดตามทรายที่ไหลลงไปอย่างรวดเร็ว
ทรายไหลลงไปด้านล่างอยู่ครู่ก็คล้ายว่าจะหยุดลงอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าที่พุ่งออกมาจากกองทรายพบว่ารอบข้างว่างเปล่า คิดไม่ถึงว่าจะหนีออกมาจากในทรายแล้ว รอบข้างมืดสนิทไปหมด ดูคล้ายว่าเป็นพื้นที่โล่ง
เขาโคจรพลังตรวจสอบรอบข้างเล็กน้อย พบว่าเหมือนจะเป็นอุโมงค์ใต้ดินเส้นหนึ่ง
แสงสว่างสายหนึ่งส่องขึ้นมา เขาเรียกผีเสื้อจันทราออกมาส่องทาง เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่ก่อขึ้นมาจากหินจริงๆ
ยังมีอะไรต้องพูดอีก ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงมีทางหนีเอาชีวิตรอดก็พอ เขาทะยานพุ่งไปตามอุโมงค์ ผีเสื้อจันทราบินตามคอยส่องทางให้
ชายผอมสูงที่ยังอยู่ในผืนทรายกลับตกใจ แรงระเบิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้ทำให้พลังปราณที่หมุนวนอยู่รอบตัวเขาถูกระเบิดสลายไป เม็ดทรายที่อยู่รอบข้างเข้าท่วมทับเขาทันที
แรงดันมหาศาลโถมเข้าใส่ร่าง บีบอัดจนเขาเกือบจะขย้อนอวัยวะภายในออกมา พยายามใช้พลังต้านไว้อย่างสุดกำลัง
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในชั่วขณะเกือบทำให้เขาพลาดท่าถูกฝังเอาไว้ที่นี่แล้ว โชคดีที่เขาตอบสนองรวดเร็ว ใช้พลังต้านไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นอาจถูกบดขยี้จนกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาฉงนแปลกใจคือ แรงปะทะเมื่อครู่นี้รุนแรงขนาดนั้นได้อย่างไร? หรือว่าเด็กคนนี้มี ‘ยันต์ระเบิด’มากมายพอให้ใช้ฟุ่มเฟือยได้?
การที่สามารถทำร้ายเถ้าแก่พานได้ก็ทำให้เขาแปลกใจแล้ว แต่นี่ยังวิ่งไปวิ่งมาในชั้นใต้ดินที่มีแรงดันสูงขนาดนี้ได้อีก ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็การโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้อีก ทำเอาเขาเกือบตาย
รอบกายมีพลังปราณก่อตัวหมุนวนขึ้นมาใหม่ ไม่นานก็เปิดพื้นที่ว่างขึ้นมาอีกครั้ง เขาถึงได้โล่งใจและรู้สึกโชคดี โชคดีที่เจ้าหนิวโหย่วเต้านั่นไม่รู้ถึงสถานการณ์เมื่อครู่นี้ของเขา หากฉวยโอกาสลงมือตอนเขาตกอยู่ในสภาพเมื่อครู่นี้ เกรงว่าเขาคงตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายแน่นอน!
ถึงแม้ตัวเขาจะไม่ใช่ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าบนทำเนียบโอสถ แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือชั้นยอดของทำเนียบโอสถ หากต้องมาตายด้วยฝีมือของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานคนหนึ่ง คงกลายเป็นที่น่าขบขันจริงๆ ต่อให้ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือฝีมือของอีกฝ่าย แต่การปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานคนหนึ่งหนีไปได้ต่อหน้าต่อตา นั่นมันก็น่าขบขันเช่นกัน!
เขากำจัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ใช้พลังตามไล่ล่าต่อไป
ระหว่างที่ตามล่าไปในแนวขนาน ความจริงในเวลานี้เขาเหยียบอยู่บนพื้นหินแล้ว หลังจากวิ่งต่อไปได้ไม่กี่ก้าวก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ พบว่าพื้นหินใต้เท้าแตกออกเป็นช่องใหญ่
เขาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มุดเข้าไป
ไม่นานนักก็ชนเข้ากับพื้นหินอีกครั้ง เพียงแต่แรงดันมหาศาลรอบตัวกลับอ่อนลงไปมาก
เขาพุ่งตัวไปด้านข้าง ชนเข้ากับผนังหินอีกครั้ง นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!
จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางดูอีกที รอบกายพลันว่างเปล่า คิดไม่ถึงว่าจะพุ่งออกมาจากทราย มายังพื้นที่ว่างที่มืดสนิทแห่งหนึ่ง
รอบข้างมืดมิดไปหมด พลังปราณที่หมุนวนรอบกายอย่างรุนแรงหยุดลง เขารับรู้ได้ถึงทรายที่หลั่งไหลลงมาจากด้านหลัง ท่วมทับทั้งสองข้างของตน
เขาแผ่พลังตรวจสอบรอบข้าง ปล่อยผีเสื้อจันทราออกมาเช่นกัน ถึงได้พบว่าตัวเองมาอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินเส้นหนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานที่ใด เขามองดูกองทรายด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นมองดูปลายอุโมงค์ที่มืดสนิท เห็นว่ามีรอยเท้าอยู่บนคราบฝุ่นที่อยู่บนพื้นด้านหน้า เขาทะยานกายไล่ตามไปทันที
…..
บนพื้นทะเลทราย ภายใต้การปิดล้อมโจมตีของคนทั้งสิบ ทั้งสามคนที่ถูกล้อมมีคนล้มลงไปคนหนึ่งแล้ว
ดาบวงเดือนของสำนักเซียนสถิตบินร่อนไปมาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ สำแดงอานุภาพสุดแกร่งกล้าออกมาภายใต้แสงจันทร์ แสงจันทร์ส่องกระทบลงบนตัวดาบ เกิดแสงหักเหแยงตาคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา
ผู้บำเพ็ญเพียรสามคนจากสำนักเมฆาล่องเข้าปะทะกับมือสังหารอีกสองคนที่เหลือ ศิษย์สำนักคีรีพิลาสอีกสี่คนใช้แส้โลหะคอยช่วยสนับสนุนอยู่วงนอก ผู้บำเพ็ญเพียรสำนักเซียนสถิตอีกสามคนคอยใช้ดาบวงเดือนล้อแสงจันทร์สร้างความสับสนให้ศัตรู สองมือสังหารที่ถูกโจมตีทำได้เพียงคอยปัดป้องเท่านั้น
แมงป่องทรายที่พุ่งเข้ามาจากรอบข้างถูกฟันตายอย่างต่อเนื่อง!
แต่ภาพการต่อสู้ในอีกพื้นที่หนึ่งกลับต่างกันออกไป แมงป่องทรายจำนวนมหาศาลล้อมกรอบเข้ามาเพราะได้กลิ่นคาวเลือด
เถ้าแก่พานถูกศิษย์สำนักเซียนสถิตคนหนึ่งเหยียบไว้บนพื้น อีกฝ่ายสบถด่า “ศิษย์ทรยศ!”
หากมิใช่เพราะหนิวโหย่วเต้าบอกเอาไว้ก่อนว่าให้จับเป็น เขาก็อยากจะสับคนผู้นี้เป็นหมื่นชิ้นเป็นพันชิ้นใจแทบขาด ศักดิ์ศรีของสำนักเซียนสถิตไม่เหลือแล้ว!
มือสังหารอีกคนหนึ่งที่อยู่ในอากาศส่งเสียงโอดครวญออกมา เขาถูกศิษย์สำนักเมฆาล่องสองคนกลุ้มรุมโจมตี แขนขาดไปข้างหนึ่ง แผ่นหลังถูกฟันหนึ่งแผล แส้โลหะเส้นหนึ่งพันรอบเท้า กระชากเขาลงมา
มีคนพุ่งเข้ามาลงมืออย่างรวดเร็ว ควบคุมตัวเขาไว้
แมงป่องทรายที่พุ่งเข้ามาจากด้านข้างอย่างไม่คำนึงถึงชีวิตถูกฟันตายคาที่แล้วถูกซัดปลิวออกไป
ทั้งห้าคนจับเป็นคนทั้งสอง ปรึกษาหารือเพื่อจัดการเรื่องราวอย่างรวดเร็ว สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าให้แบ่งสองคนพาตัวมือสังหารทั้งสองไปส่งทางหอไร้ขอบเขต สามคนที่เหลือจะตามไปสมทบกับทางหนิวโหย่วเต้า
ช่วยไม่ได้ หนิวโหย่วเต้าเคยกำชับไว้หลายครั้งว่าให้พวกเขาติดตามมาอย่างลับๆ ทนรับความลำบากนอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง แต่ตัวหนิวโหย่วเต้าเองก็ถึงขั้นที่ยอมสละตัวเป็นเหยื่อล่อ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญอย่างมาก นั่นก็คือแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อล่อศัตรู! เพื่อจับเป็น!
เจตนาของหนิวโหย่วเต้าก็ไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นคือเมื่อถึงเวลาที่ต้องการให้พวกเขาลงมือ พวกเขาจะต้องจับตัวคนเป็นๆ มาให้เขาสักคน!
นี่จับได้ทีเดียวถึงสองคน นับว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว
คนสองคนหิ้วตัวมือสังหารทั้งสองทะยานจากไป อีกสามคนที่เหลือเหินขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็ว กระโดดข้ามแมงป่องทรายที่ชูหางพิษสลอนอยู่ด้านล่าง เหินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หนิวโหย่วเต้าหลบหนีไป
…..
ใต้ดิน ชายผอมสูงยืนอยู่ตรงปากทางแยกที่แยกออกเป็นสามทางแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี ผีเสื้อจันทราเข้าไปส่องดูเส้นทางทั้งสามเล็กน้อย แต่กลับไม่พบรอยเท้าเลย
ชายผอมสูงสบถด่าในใจว่าไอ้เจ้าเล่ห์ คาดว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นคงสังเกตเห็นรอยเท้าที่อยู่บนพื้น น่าจะไม่เหยียบย่างไปบนพื้นอีก หากแต่อาศัยผนังของอุโมงค์ไต่ทะยานออกไปแทน
ขณะที่ใคร่ครวญสังเกตการณ์อยู่ ใบหูพลันกระดิกเล็กน้อย ได้ยินเสียงต่อสู้แว่วมารางๆ
เมื่อตั้งใจฟังอย่างละเอียดอยู่ครู่ก็แยกแยะที่มาของเสียงได้ เสียงแว่วมาจากอุโมงค์ที่อยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา เขามีสีหน้าตื่นตัวขึ้นมา เดินมุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
แต่เขาก็ลังเลขึ้นมาเล็กน้อย ต่อให้หนิวโหย่วอยู่ด้านหน้า มันก็ไม่ควรมีเสียงต่อสู้สิ แบบนี้มิเท่ากับเป็นการเปิดเผยร่องรอยออกมาหรือ? หรือว่ามีกับดักรอคอยตนไปติดกับอยู่?
ตอนที่ได้รับภารกิจมา มีคนเคยกำชับเขาอยู่หลายครั้ง บอกว่าหนิวโหย่วเต้าเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง ต้องระวังตัวเอาไว้!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาจึงยังคงระแวดระวังตัวเป็นอย่างมาก ชะลอความเร็วในการเดินลง เข้าใกล้อย่างระมัดระวัง
แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าสำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว การที่จู่ๆ มาโผล่ในสถานที่แปลกหน้า กระทั่งสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ไหนเลยจะมีเวลามาวางกับดักบ้าบออันใดได้
เขาเลือกเส้นทางตรงกลางของทางแยกสามทาง เนื่องจากเขามีประสบการณ์ ไม่ดูเสียบ้างล่ะว่าชาติก่อนเขาทำอาชีพอะไร สายตาเขาเฉียบไวต่อโครงสร้างของเส้นทางใต้ดินเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างทาง เพียงแค่มองดูเขาก็เข้าใจแล้ว นี่น่าจะเป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างบนผิวดินที่ถูกทับถมด้วยทราย เผลอๆ อาจจะเกี่ยวข้องกับเมืองโบราณที่ร่ำลือกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ เดินเส้นทางตรงกลางดีที่สุด เส้นทางตรงกลางน่าจะทะลุออกไปได้ทุกทิศทาง หากเลือกเส้นทางด้านข้าง ตัวเลือกไม่มีทางมากเท่าเส้นทางตรงกลางแน่นอน มีโอกาสสูงที่จะเป็นทางตัน ในช่วงหลบหนีเอาชีวิตรอด ไหนเลยจะเลือกเส้นทางที่อาจจะเป็นทางตันได้
…………………………………………………..