ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 264 หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
ตอนที่ 264 หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
“ไม่กล้าถ่วงรั้งงานใหญ่ให้ล่าช้า เป็นพวกเราไร้ความสามารถเองขอรับ!” เถ้าแก่พานว่าตัวเองประโยคหนึ่ง จากนั้นประสานมือกล่าวว่า “ขอบังอาจถามว่าเต้าเหยี่ยมีวิธียอดเยี่ยมอันใดให้พวกเขายอมเปิดปากโดยเร็วหรือไม่ขอรับ?”
คนอื่นๆ ต่างมองไปที่หนิวโหย่วเต้าเช่นกัน ล้วนทราบดีถึงเจตนาที่เถ้าแก่พานตำหนิตัวเอง อีกฝ่ายกำลังสื่อกลายๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ใช่คนลงมือทำก็ย่อมต้องพูดได้อยู่แล้ว
ศิษย์พี่ของเถ้าแก่พานตวาดใส่อย่างไม่จริงจังนัก “ศิษย์น้อง อย่าเสียมารยาท!”
เพราะว่าทางสำนักสั่งการมาแล้วว่าให้พวกเขาประสานงานกับหนิวโหย่วเต้า ทว่าวาจาของหนิวโหย่วเต้าทำให้คนจากทั้งสามสำนักฟังแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ ที่บอกว่าสามสำนักไม่มีคนแล้วหมายความว่าอย่างไร?
เฮยหมู่ตานมีสีหน้าขุ่นเคือง ก้าวออกมาจากด้านหลังหนิวโหย่วเต้าหนึ่งก้าว คิดจะกล่าวตำหนิ กลับเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ยื่นมือไปขวางนางไว้
หนิวโหย่วเต้าคร้านจะถือสาหาความกับอีกฝ่าย แล้วก็ไม่ใช่เวลามานั่งถกเถียงพิพาทกันภายใน ตอนนี้ต้องจัดการปัญหาให้ได้ เรื่องราวต้องจัดการกันเป็นเรื่องๆ จึงถามไปว่า “เถ้าแก่พาน เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าใช้ทุกวิถีทางแล้ว?”
เถ้าแก่พานเอ่ยว่า “อย่างน้อยตอนนี้ก็ใช้ทุกวิธีทางที่มีแล้วขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดี เช่นนั้นข้าจะเสนอวิธีการอย่างหนึ่ง เจ้าไปลองดูอีกที”
เถ้าแก่พานประสานมืออีกครั้ง “เชิญว่ามาเลยขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือ พาเขาออกไป ปลีกตัวจากกลุ่มคน เมื่อเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งแล้ว เขาถึงจะหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เอ่ยช้าๆ ชัดๆ ว่า “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง!”
เถ้าแก่พานมึนงง ไม่เข้าใจว่า ‘หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง’ ที่ว่าจะนำไปใช้สอบสวนได้อย่างไร จึงถามด้วยความฉงน “ผู้น้อยโง่เขลา ขอเต้าเหยี่ยโปรดชี้แนะด้วย!”
หนิวโหย่วเต้ากวักมือให้เขาเอียงหูเข้ามา แล้วกระซิบกระซาบข้างหูเขาสองสามประโยค
หลังจากเถ้าแก่พานได้ยินดวงตาก็พลันลุกวาว จากนั้นก็เอ่ยอย่างลังเลอีกครั้ง “เรื่องนี้ หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา คงไม่สามารถอธิบายกับทางหอไร้ขอบเขตได้ อีกทั้งหากแสดงไม่สมจริงก็คงทำให้เขาเชื่อไม่ได้ด้วยนะขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ถ้าสู้ไม่ได้ก็ไม่ต้องสู้…” ก่อนจะกระซิบข้างหูเขาอีกหลายประโยค
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ แต่ด้วยทักษะการปลอมตัวของพวกเราในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นกลับเท็จเป็นจริงได้”
“ข้าว่านะเถ้าแก่พาน วิธีการก็ชี้แนะให้เจ้าไปแล้ว ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ หากทำถึงขั้นกลับเท็จเป็นจริงไม่ได้ก็เปลี่ยนวิธีเสีย เปลี่ยนวิธีสักหน่อยมันก็ใช้ได้เหมือนกันนั่นแหละ…”
พอฟังคำอธิบายจบแล้ว เถ้าแก่พานก็พยักหน้ารัวๆ เอ่ยอย่างค่อยข้างละอาย “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะไปลองดูเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกำชับ “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย เจ้าจงจัดการเรื่องนี้อย่างลับๆ อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป ยังมีอีก เจ้าจงติดต่อไปทางฝั่งร้านค้าสำนักเมฆาล่อง ให้บอกวิธีการเดียวกันนี้กับทางนั้นด้วย ให้พวกเขาดำเนินการอย่างลับๆ สองฝ่ายลงมือพร้อมกัน หวังว่าจะมีคนยอมเปิดปากสักคน”
“ขอรับ เต้าเหยี่ยโปรดวางใจ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่พานประสานมือคำนับ ท่าทางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะยอมรับนับถือขึ้นมาไม่น้อย
…..
ภายในห้องขัง ‘เถ้าแก่พาน’ ที่ถูกโซ่ตรวนมัดพันร่างไว้บนเสามีใบหน้าซีดเผือด แววตาเลื่อนลอย ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่
ศิษย์สำนักเซียนสถิตสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งวัน คอยข่มขู่เกลี้ยกล่อมเป็นระยะ แล้วก็นับว่ากำลังโน้มน้าวเขาอยู่ นี่เป็นภารกิจที่เบื้องบนสั่งการลงมา
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบว่านามที่แท้จริงของ ‘เถ้าแก่พาน’ ผู้นี้มีชื่อว่าอะไร อีกทั้งไม่สามารถหิ้วหัวออกไปสอบถามความเป็นมาเหมือนชายผอมสูงได้
“เจ้าเนี่ยน้า ไยต้องมาดึงดันอยู่ที่นี่ด้วย เถ้าแก่ของพวกเราก็รับประกันกับเจ้าไปแล้ว ขอเพียงเจ้าสารภาพ พวกเราก็จะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต”
“นั่นสิ เจ้าทำแบบนี้เท่ากับเป็นการปิดทางรอดของตัวเอง มีลูกมีเมียหรือเปล่าล่ะเนี่ย? ต่อให้ไม่คิดถึงตัวเอง ก็ต้องคิดถึงครอบครัวให้มากหน่อยใช่ไหมล่ะ?”
“ไยต้องมาทนรับความทรมานนี้ด้วย หากเจ้าถูกตีตายอยู่ที่นี่ ยังจะมีผู้ใดนึกถึงความดีของเจ้าอีกหรือ?”
“ถูกขังเอาไว้ที่นี่ เจ้าก็รู้ดี ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่กล้าใช้กำลังบุกมาช่วยเจ้าออกไปจากเขตหอไร้ขอบเขต เจ้าอยากอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอดหรือ?”
ไม่ว่าทั้งสองคนจะพูดอย่างไร ‘เถ้าแก่พาน’ ล้วนไม่ตอบสนอง ไม่ส่งเสียงสักแอะ
มีเสียงเคาะประตูแว่วมาจากด้านนอก ศิษย์สำนักเซียนสถิตคนหนึ่งจึงไปเปิดประตูมองเล็กน้อย จากนั้นยิ้มแล้วเปิดประตูให้ “ศิษย์น้องจ้าว มาส่งอาหารอีกแล้วหรือ?”
ศิษย์น้องจ้าวที่หน้าตาขี้เหร่หิ้วกล่องอาหารใบหนึ่งเดินเข้ามา
ศิษย์เฝ้ายามอีกคนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องจ้าว มาส่งให้ก็เสียเปล่าอยู่ดี คนเขาไม่แน่ว่าจะซึ้งน้ำใจเจ้าหรอก”
ศิษย์น้องจ้าวจ้องมอง ‘เถ้าแก่พาน’ ที่ถูกมัดไว้บนเสาครู่หนึ่ง เอ่ยเนิบๆ อย่างไม่เร่งร้อนว่า “ไม่ซึ้งในน้ำใจก็เป็นไร แต่จะปล่อยให้คนตายไปภายใต้การดูแลของพวกเราไม่ได้ หากเขาไม่กินก็ต้องยัดใส่ปากให้เขากิน นี่คือคำสั่งของอาจารย์อาพาน”
ศิษย์ที่เฝ้ายามคนหนึ่งถอนใจพลางเอ่ยตอบ “ได้ เข้าใจแล้ว”
ศิษย์น้องจ้าวหิ้วกล่องอาหารไปวางตรงหน้าเชลยแล้วหันหลังเดินออกไป ขณะกำลังจะก้าวพ้นประตูไปก็ได้เอ่ยกำชับอีกประโยคว่า “รีบป้อนให้เขากินเถอะ”
“ได้ๆ เข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าย้ำหรอกน่า” ศิษย์คนหนึ่งโบกมือให้
ศิษย์น้องจ้าวปิดประตูแล้วจากไป ศิษย์คนหนึ่งย่อตัวลงหน้ากล่องอาหาร ค่อยๆ เปิดกล่องอาหารออกแล้วมองดูเล็กน้อย เอ่ยเย้าประโยคหนึ่ง “อาหารมื้อนี้ไม่เลวเลย” จากนั้นเงยหน้ามองเถ้าแก่พาน “เจ้าดูสิ พวกเราดีต่อเจ้าขนาดไหน ไม่เพียงแต่จะได้กินได้ดื่มของดีๆ นี่พวกเรายังต้องปรนนิบัติเจ้าอีก”
‘เถ้าแก่พาน’ หลุบตามองเล็กน้อย ยังคงไม่ปริปาก
ในขณะที่ศิษย์คนนั้นนั่งยองๆ หยิบอาหารออกมา ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูแว่วมาอีกครั้ง ศิษย์อีกคนหนึ่งไปเปิดประตู เห็นศิษย์ร่วมสำนักอีกคนหนึ่งหิ้วกล่องอาหารยืนอยู่ด้านนอก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ลำบากศิษย์น้องกงต้องมาส่งอาหารให้พวกเราด้วยตัวเองเสียแล้ว”
ศิษย์น้องกงเอ่ยเยาะว่า “ศิษย์พี่ นี่คืออาหารที่นำมาให้เชลยกิน หากพวกท่านอยากกิน รออีกเดี๋ยวย่อมมีคนมาเปลี่ยนเวรกับพวกท่าน”
‘เถ้าแก่พาน’ ที่ถูกมัดไว้บนเสาเงยหน้ามองออกไป
สองศิษย์พี่ที่อยู่ในห้องสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกค่อนข้างงุนงง ศิษย์คนที่นั่งยองๆ หยิบอาหารออกมาจากในกล่องตรงหน้านักโทษในตอนแรกหันมาเอ่ยว่า “ศิษย์น้องกง ศิษย์น้องจ้าวเพิ่งเอาอาหารมาส่งให้เชลยเมื่อครู่ แล้วเจ้าเอามาส่งให้อีกรอบมันหมายความว่าอย่างไร?” ว่าพลางชี้ไปที่กล่องอาหาร
ศิษย์น้องกงมึนงง “ศิษย์พี่จ้าวออกไปธุระข้างนอกแต่เช้าแล้วมิใช่หรือ? เขาสั่งให้ข้าช่วยมาส่งอาหารแทนเขา”
ศิษย์เฝ้ายามทั้งสองสบตากันเล็กน้อย คนที่เปิดประตูเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “ก็ศิษย์น้องจ้าวเพิ่งมาส่งอาหารเมื่อครู่นี้”
ศิษย์น้องกงเกาท้ายทอย “ศิษย์พี่จ้าวนี่ก็จริงๆ เลย กลับมาแล้วดันไม่บอกกันสักคำ ได้ อย่างนั้นศิษย์พี่ทั้งสองทำงานต่อเถอะ” เขาส่ายหน้า หิ้วกล่องอาหารเดินจากไป
ประตูห้องขังปิดลง ศิษย์คนหนึ่งหยิบช้อนออกมาแล้วยืนขึ้น ตักอาหารช้อนหนึ่ง เอ่ยกับ ‘เถ้าแก่พาน’ ว่า “ถึงอย่างไรร่างกายก็มีเลือดเนื้อ ไม่อาจขาดอาหารได้ ไยต้องทรมานตัวเองด้วย กินสักหน่อยเถอะ!”
‘เถ้าแก่พาน’ กลับเม้มปากไว้แน่น ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองอาหารในมือเขาเขม็ง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงอย่างผิดปกติเล็กน้อย
ศิษย์ที่ถืออาหารไว้แค่นเสียงเหอะพลางกล่าวว่า “เอาเถอะ รู้อยู่แล้วว่าเจ้ามันปากแข็ง ศิษย์พี่ เข้ามาช่วยหน่อย ช่วยง้างปากเขาให้ข้าที”
ศิษย์อีกคนเดินเข้ามา ยื่นมือออกไปหมายจะทำตามที่เขาบอก ผู้ใดจะทราบว่า ‘เถ้าแก่พาน’ กลับเบือนหน้าหนีทันที ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพียงแต่ยอมเปิดปากพูดแล้ว “อาหารนี้กินไม่ได้!”
ศิษย์พี่ที่เข้ามาช่วยไม่สนใจเขา จับหน้าเขาหันกลับมา
‘เถ้าแก่พาน’ คล้ายจะร้อนใจ ตะโกนขึ้นว่า “มีพิษ!”
ศิษย์น้องที่ถืออาหารไว้ถอนใจแล้วเอ่ยไปว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นนายท่านไปแล้ว แม้แต่อาหารการกินก็ต้องให้พวกเราปรนนิบัติ ไหนเลยจะกล้าวางยาพิษเจ้าได้ มีแต่จะเลี้ยงดูให้เจ้ามีชีวิตอยู่ดี เมื่อมีชีวิตอยู่จะได้เล่าทุกอย่างที่รู้ออกมา เจ้าวางใจเถอะ สิ่งที่เจ้าต้องกินทางพวกเราได้ตรวจสอบมาแล้ว ศิษย์พี่ บีบปากเขาไว้ ยัดเลยดีกว่า!”
ศิษย์พี่บีบปากของ ‘เถ้าแก่พาน’ ให้เปิดอ้า
‘เถ้าแก่พาน’ ตะคอกด้วยความโกรธ พูดอู้อี้ว่า “ข้าพูด! ข้าพูดแล้ว!”
สองศิษย์พี่น้องตะลึงงัน ศิษย์พี่ปล่อยมือจากปากเขา เอ่ยถาม “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าพูดอีกทีซิ”
‘เถ้าแก่พาน’ เอ่ยละล่ำละลัก “เรื่องเมื่อกี้นี้พวกเจ้าไม่รู้สึกบ้างเหรอว่ามีปัญหาน่ะ? เห็นๆ อยู่ว่าศิษย์น้องจ้าวของพวกเจ้าไม่อยู่ แล้วจะวิ่งโร่มาส่งอาหารได้อย่างไร?”
ศิษย์พี่ถลึงตาใส่พลางเอ่ยว่า “เจ้าจะหลอกข้ากระมัง?”
‘เถ้าแก่พาน’ เอ่ยด้วยความร้อนใจ “ ‘ศิษย์น้องจ้าว’ ที่เข้ามาก่อนหน้านี้คนนั้นเป็นคนอื่นปลอมตัวมา มิใช่ศิษย์น้องจ้าวของพวกเจ้า เป็นคนที่มาเพื่อปิดปากข้า หากไม่เชื่อพวกเจ้าก็เอาอาหารกล่องนี้ไปตรวจสอบดูอีกรอบได้”
ศิษย์น้องถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ต่อให้เจ้าไม่อยากกินข้าว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่นลูกไม้นี้เลย ศิษย์น้องของพวกเรา พวกเราไหนเลยจะจำไม่ได้? ศิษย์พี่ อย่าพูดไร้สาระกับเขาเลย คนผู้นี้ลูกไม้มากนัก บีบปากเขาแล้วยัดเลยดีกว่า”
ศิษย์พี่เพิ่งจะยื่นมือออกไป ‘เถ้าแก่พาน’ ก็เอ่ยอย่างร้อนรน ว่า “ข้าสามารถปลอมตัวเป็นเถ้าแก่ของพวกเจ้าได้ เช่นนั้นก็ย่อมมีคนปลอมตัวเป็นศิษย์น้องของพวกเจ้าได้เช่นกัน ตอนข้าปลอมเป็นเถ้าแก่ของพวกเจ้า พวกเจ้ามีใครมองออกบ้างเล่า?”
พอเอ่ยประโยคนี้ออกไป นี่กลับทำให้สองศิษย์พี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก
‘เถ้าแก่พาน’ เอ่ยอีกว่า “พวกเจ้าตรวจสอบอาหารดูอีกรอบเถอะ หากไม่มีปัญหา พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องบังคับยัดใส่ปากข้าเลย ข้าจะอ้าปากกินแต่โดยดี พวกเจ้าทดสอบดูอีกครั้งเถอะ!”
สองศิษย์พี่น้องจ้องมองไปที่อาหารพร้อมกัน ทั้งสองคนมองกันไปมองกันมา สื่อสารกันผ่านสายตา
ศิษย์พี่ล้วงขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เปิดจุกขวดออก ยื่นส่งให้ศิษย์น้องที่ถืออาหารไว้
ศิษย์น้องเหยาะผงสีขาวใส่ในอาหารเล็กน้อยแล้วใช้ช้อนคน อาหารเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสีดำดุจน้ำหมึก
สองศิษย์พี่น้องตะลึงตาค้าง ค่อยๆ เงยหน้าสบตากัน สีหน้าตื่นตะลึง
ศิษย์น้องเอ่ยเสียงขรึม “ศิษย์พี่ ท่านคอยเฝ้าไว้ ข้าจะไปรายงานให้อาจารย์อาพานทราบ!” ศิษย์น้องวางอาหารลงบนพื้นโดยเร็ว ก่อนจะวิ่งฉิวออกไป
ศิษย์พี่ชักดาบวงเดือนสองเล่มที่เหน็บอยู่หลังเอวออกมา บัง ‘เถ้าแก่พาน’ เอาไว้ด้านหลัง หันหน้าตั้งท่าป้องกันไปทางประตูห้องขัง
‘เถ้าแก่พาน’ หลุบตามองอาหารบนพื้นที่ดำเมื่อมดุจน้ำหมึก สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้าปนโมโห เมื่อครู่หากมิใช่เพราะตนตอบสนองเฉียบไว หากมิใช่เพราะตนฉุกคิดขึ้นได้ในช่วงเวลาเร่งด่วน เกรงว่าคงถูกเจ้าโง่สองคนนั้นยัดอาหารลงท้องไปแล้ว จากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็คงจะจินตนาการได้ไม่ยาก
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังขึ้นเป็นพรวน พร้อมกับมีเสียงของเถ้าแก่พานแว่วเข้ามา “ดูสิว่าคนยังอยู่ในร้านหรือไม่ ค้นหาทุกซอกมุมอย่างละเอียด อย่าได้ปล่อยผ่านไปแม้แต่จุดเดียว!”
ประตูเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา สายตาล้วนจับจ้องไปยังอาหารดำเมื่อมดุจน้ำหมึกที่อยู่บนพื้น เถ้าแก่พานยกชามข้าวขึ้นมา จ่อตรงหน้าจมูกแล้วสูดดมเล็กน้อย
สีหน้าของเขาอึมครึมลงทันที หันไปหาทุกคน โบกมือสั่งการไปว่า “เจ้า เจ้าและเจ้า พวกเจ้าสี่คนจงเฝ้าอยู่ที่นี่ ต่อไปนี้อาหารทุกอย่างที่ถูกส่งเข้ามาต้องตรวจสอบดูใหม่ทุกรอบ!”
จากนั้นก็พาคนอื่นๆ ออกไปอีกครั้ง ยังคงได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของเขาแว่วมาจากด้านนอก “นับจากนี้ไป ศิษย์ทุกคนในสำนัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด รวมถึงข้าด้วย ทุกครั้งที่เข้าออกโถงด้านหลังต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทั้งหมด!”
“ขอรับ!” เสียงตอบรับของทุกคนแว่วขึ้น บรรยากาศดูเหมือนจะตึงเครียดขึ้นมาในทันใด
แก้มทั้งสองข้างของ ‘เถ้าแก่พาน’ ที่ถูกมัดไว้บนเสาสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย เงยหน้าหลับตา สีหน้าโศกศัลย์ขุ่นเคืองเกินจะบรรยาย
….
ช่วงพลบค่ำ พวกเถ้าแก่พานเดินออกมาจากห้องขังอีกครั้ง หลังจากเข้าสู่โถงด้านหลัง ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายก็สบตากัน ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในที่สุด ‘เถ้าแก่พาน’ คนนั้นก็ยอมพูดแล้ว ในที่สุดก็ยอมสารภาพแล้ว!’
“ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงเป็นคนรับผิดชอบดูแลสถานการณ์โดยรวม แล้วก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทางสำนักถึงให้พวกเราคอยให้ความร่วมมือกับหนิวโหย่วเต้า คนผู้นี้ค่อนข้างมีฝีมือจริงๆ” เถ้าแก่พานเอ่ยอย่างสะท้อนใจ เขายอมรับจากใจแล้ว
ศิษย์พี่เอ่ยถาม “นี่เป็นแผนของเขาหรือ?”
เถ้าแก่พานประสานมือเอ่ยขออภัย “มิใช่ว่าข้าอยากปิดบังศิษย์พี่ แต่ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้ากำชับว่าให้เก็บเป็นความลับ ทางสำนักก็บอกไว้แล้ว ขอเพียงเขาไม่ได้ก่อปัญหาวุ่นวายก็ให้เชื่อฟังคำสั่งเขา!”
………………………………………………………….