ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 280 หลักการของเจ้าไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ตอนที่ 280 หลักการของเจ้าไปอยู่ที่ไหนแล้ว?
จะปล่อยให้เกิดความวุ่นวายในเมืองหลวงไม่ได้ หากเกิดเหตุจลาจลวุ่นวายอันใดขึ้นในอาณาเขตขององค์ฮ่องเต้จริง เขาไม่มีทางแบกรับความรับผิดชอบนั้นไหว
หยวนกังเอ่ยว่า “พวกเรารับสมัครคนงาน คนที่มาสมัครล้วนเป็นคนยากจนที่หางานอยู่ เอาตัวแทบไม่รอดแล้ว ไม่มีทางก่อเรื่องขึ้นหรอก”
ฮูเหยียนเวยกลับไม่คิดเช่นนี้ สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมาหลายส่วน กวักมือเรียกผู้ติดตามคนหนึ่งเข้ามา สั่งให้ไปขอกำลังเสริมกลุ่มหนึ่งจากค่ายทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพี่ชายคนโตของเขา ป้องกันเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
คนผู้นั้นกระโจนขึ้นหลังม้าแล้วควบจากไปโดยเร็ว
เวลานี้ฮูเหยียนเวยถามขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าว่านะอันซยง คนมากขนาดนี้ พวกเราจะรับสมัครจำนวนเท่าไรกัน?”
หยวนกังหันไปจ้องมองเขา คิดในใจ คนผู้นี้ไม่ได้สนใจอะไรเลย ข่าวที่คนมากมายปานนี้ล้วนทราบกันดี แต่ตัวเจ้ากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้านของตัวเองจะรับสมัครคนงานเท่าไรอย่างนั้นเหรอ?
“เป็นยังไงบ้าง? ข้าเพิ่งเล็มเครามาใหม่ คนอื่นล้วนบอกว่าดูดี เหล่าสตรีล้วนชมชอบ เมื่อคืนก็โยกอยู่บนร่างข้าอย่างเต็มที่เลย!”
ฮูเหยียนเวยนึกว่าเขากำลังชื่นชม ‘หนุ่มเครางาม’ อย่างตนอยู่ จึงใช้สองมือลูบเคราบนหน้าตนอย่างภาคภูมิใจ
หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา “รับสมัครสามร้อยคน”
ฮูเหยียนเวยตกใจ “รับสมัครสามร้อยคน แล้วเหตุใดคนถึงแห่มากันมากมายขนาดนี้?”
เขาไม่เคยเห็นการรับสมัครคนงานจำนวนหลายร้อยคนมาก่อน ยามที่ร้านค้าส่วนใหญ่รับสมัครคนงาน ก็น้อยครั้งนักที่จะเกิดเหตุการณ์รับสมัครทีเดียวหลายร้อยคนขึ้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าจำนวนคนงานที่จะรับสมัครมากเกินไป เพียงแต่รู้สึกว่าคนแห่มากันมากเกินไป
เสมียนเกาอยากจะเอ่ยประโยคหนึ่งยิ่งนัก เพราะสวัสดิการยอดเยี่ยมน่ะสิ รวมอาหารและที่พัก!
หยวนกังกลับตอบไปอีกอย่างว่า “แปลว่าในแคว้นฉีมีคนจนมากมาย หากล้วนกินดีอยู่ดี ผู้ใดจะกระตือรือร้นกันขนาดนี้เล่า?”
พอเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา กลับทำให้ฮูเหยียนเวยก้มหน้าลงใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองหยวนกังด้วยแววตาตระหนักลึกซึ้ง ตบไหล่เขาพลางกล่าวว่า “สหาย ทางเลือกของเจ้าน่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่เรื่องพวกนี้พูดต่อหน้าข้าน่ะได้ แต่อย่าเอาไปพูดเหลวไหลต่อหน้าคนนอกล่ะ คนบางกลุ่มไม่ชอบฟังคำพูดเช่นนี้”
หยวนกังเอ่ยว่า “คุณชายสาม เริ่มสมัครคนเถอะ!”
ฮูเหยียนเวยมึนงง เหมือนไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหนดี จึงเอ่ยถาม “รับสมัครอย่างไร?”
หยวนกังตอบว่า “คนมากมายขนาดนี้ท่านเลือกได้เลย ท่านอยากได้ผู้ใดก็ตามใจ ให้ครบจำนวนสามร้อยคนก็พอ”
เสมียนเกาเหงื่อตกเล็กน้อย มีวิธีรับคนงานเช่นนี้ด้วยหรือ? อย่างน้อยๆ ก็ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วยกระมัง ทั้งสองท่านนี้จะใจกว้างกันเกินไปแล้วจริงๆ
ต่อให้ฮูเหยียนเวยจะไม่รู้เรื่องขนาดไหนก็รู้สึกได้ว่าคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง จึงเอ่ยด้วยความฉงน “เลือกตามใจชอบหรือ? แล้วคนนั้นล่ะ ตาเฒ่าขาด้วนที่ถือไม้เท้าคนนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะรับคนแบบนี้เอาไว้ด้วย?” ว่าพลางยกมือชี้เข้าไปในกลุ่มคน
หยวนกังตอบว่า “ขอเพียงเหมาะสม คนประเภทใดก็ใช้การได้ทั้งสิ้น”
พอพูดจบ เขาก็นึกขึ้นมาได้รางๆ ดูเหมือนเมื่อก่อนเต้าเหยี่ยจะเคยพูดจาทำนองนี้ เพียงแต่เป็นความหมายในเชิงอื่น
ฮูเหยียนเวยมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง คล้ายอยากจะหลีกให้ห่างจากเขาเล็กน้อย “ข้าว่านะอันซยง เจ้าอย่าก่อเรื่องเลย เจ้าไม่สนหน้าตาตัวเอง แต่ข้ายังต้องรักษาหน้าอยู่ ข้าเดินทางมารับสมัครคนด้วยตัวเอง สุดท้ายกลับรับเอาคนพิการมาอยู่ในร้านข้า อย่างนี้คนอื่นไม่พากันหัวเราะเยาะข้าแย่เหรอ เลือกให้มันดีๆ หน่อยได้หรือเปล่า? ข้ายังหวังทำกำไรจากร้านเต้าหู้อยู่ เจ้าอย่าทำให้ยุ่งวุ่นวายเลย”
ตอนนี้เขากลับรู้สึกแล้วว่าตนสมควรมารับสมัครคนงานด้วยตัวเองจริงๆ หากตนไม่มาคุม แล้วปล่อยให้คนผู้นี้รับสมัครกลุ่มคนง่อยเปลี้ยพิกลพิการเข้ามาจริงๆ ตนคงถูกกลุ่มสหายพากันรุมหัวเราะเยาะแน่นอน
พอเห็นว่าคุณชายท่านนี้ออกปากแล้ว เสมียนเกาก็รีบเอ่ยสมทบว่า “ถูกแล้วขอรับ เถ้าแก่ คุณชายสามกล่าวไม่ผิดเลย คนที่พวกเราจะรับสมัครคือคนที่ต้องแบกหามตะลอนอยู่ในเมืองทุกวัน คนผู้นี้ขาขาดไปข้างหนึ่ง ให้เขายกหาบไม่ไหวหรอกขอรับ!”
หยวนกังเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เช่นนั้นก็รับคนที่หนุ่มแน่น ปราดเปรียว มีกำลังวังชาเถอะ คุณชายสามคิดว่าคุณสมบัติเช่นนี้เป็นอย่างไร?”
คุณสมบัตินี้ดี ฮูเหยียนเวยกลัวเขาจะทำตัวหัวแข็งก่อเรื่องวุ่นวายอีก จึงรีบพยักหน้าเอ่ยว่า “ดีๆๆ คุณสมบัตินี้ไม่เลวเลย เอาตามนี้นี่แหละ” ว่าพลางส่งสายตาให้เสมียนเกาที่อยู่ด้านข้าง
เสมียนเกาก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ใช่ขอรับๆ”
หยวนกังกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ!” เขาผายมือส่งสัญญาณให้ฮูเหยียนเวยเล็กน้อย
ฮูเหยียนเวยไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อน จึงเอ่ยถาม “ทำอย่างไร?”
หยวนกังตอบว่า “คุณชายสามเลือกคนได้ตามใจชอบเลย เห็นผู้ใดเข้าตาตรงตามคุณสมบัติที่ตั้งไว้ก็เลือกผู้นั้น”
เลือกได้ตามใจชอบอีกแล้วหรือ? นี่เจ้ายังพึ่งพาได้อยู่หรือเปล่าเนี่ย? ฮูเหยียนเวยชักกลัวเขาแล้ว จึงหันไปถามความเห็นเสมียนเก่า “แบบนี้ได้หรือ?”
“เรื่องได้น่ะได้อยู่แล้วขอรับ แต่หากเลือกตามใจชอบจริง ไม่ทราบเลยว่าด้านอุปนิสัยเป็นอย่างไร หากว่าเป็นคนขี้เกียจชอบอู้งาน มือไม้ไม่สะอาด…” พูดยังไม่ทันจบ เขาก็สังเกตเห็นสายตาเย็นชาของหยวนกังที่มองมา สายตาของคนที่เคยสังหารคนมาก่อนเจือไอสังหารไว้ ชวนให้หวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง เสมียนเการีบกลับคำทันที “เพียงแต่…ข้าว่าก็ใช้ได้นะขอรับ ให้ทดลองงานดูก่อน คนที่เหมาะสมก็เก็บไว้ทำงานต่อ คนที่ไม่เหมาะสมก็ไล่ออกไปได้ทุกเมื่อ คนมากมายขนาดนี้หากมาซักถามทุกคนอย่างละเอียด เกรงว่าใช้เวลาหลายวันก็คงไม่เสร็จ”
พอได้ยินว่าหลายวันก็คงไม่เสร็จ ตนอาจจะต้องจมอยู่กับงานนี้ไปอีกหลายวัน ฮูเหยียนเวยก็รู้สึกไม่อยากทำขึ้นมาทันที รีบกล่าวว่า “วิธีของอันซยงไม่เลวเลย อย่างนั้นก็เอาตามนี้เลย เริ่มเถอะ เริ่มเลย เริ่มกันให้เร็วหน่อย!”
เรื่องการจัดระเบียบผู้ที่มาสมัครย่อมต้องให้เสมียนเกาเข้ามาจัดการ
หยวนกังคอยสังเกตสถานการณ์อยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ พร้อมที่จะเข้ามาทำการปรับเปลี่ยนทุกเมื่อหากมีอะไรที่ไม่เข้าที
ฮูเหยียนเวยยกมือไพล่หลังเดินไปเดินมา มองฟ้ามองดินเป็นระยะๆ ดูหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
เสมียนเกาเรียกคนของทางการมาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย ให้คนที่มาสมัครงานต่อแถวเดินผ่านหน้าไปทีละแถว
จากนั้นก็ง่ายแล้ว ฮูเหยียนเวยมองคนที่เดินผ่านหน้าตนไปทีละคนๆ ของเพียงเหมาะสมตรงตามเงื่อนไข เขาจะยกแส้ม้าชี้ “เจ้า ออกมา!”
หลังจากคนเดินออกมาแล้ว ก็จะไปลงทะเบียนหน้าโต๊ะที่จัดไว้ด้านข้าง เท่านี้ก็นับว่าได้งานแล้ว
การที่ฮูเหยียนเวยเลือกคนเช่นนี้ อันที่จริงมันก็เหมือนกับที่หยวนกังบอก แบบนี้มันก็คือเห็นใครเข้าตาก็เลือกคนนั้นมิใช่เหรอ พวกคนพิการไม่สมประกอบที่ไม่เข้าตาแบบที่เขาไม่ชอบไหนเลยจะถูกจ้างได้
ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามที่หยวนกังคาดการณ์เอาไว้ ต้นกล้าที่เขาเลือกเฟ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อฝึกฝน หลังฝึกฝนมานานกว่าหนึ่งปี ด้านบุคลิกพละกำลังมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบเคียงได้ ขอเพียงเดินผ่านหน้าฮูเหยียนเวย ก็แทบไม่มีใครที่ถูกมองข้ามไป ล้วนถูกฮูเหยียนเวยเรียกตัวออกมาทั้งสิ้น
คนเดินเรียงแถวผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุดชายชราขาด้วนถ่อไม้เท้าคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในแถวอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
แววตาฮูเหยียนเวยวูบไหว ข้ามไปทันที
ใครจะทราบว่าหยวนกังกลับยื่นมือออกไปชี้ เรียกชายชราขาด้วนคนนั้นออกมา “เจ้าออกมา”
ชายชราถ่อไม้เท้าออกมา ฮูเหยียนเวยจ้องเขม็ง จะทำอะไรเนี่ย เจ้าคิดจะทำให้ข้ากลายเป็นที่ตัวตลกจริงๆ อย่างนั้นหรือ!
เขารีบยื่นมือออกไปหยุดแถวที่กำลังเคลื่อนตัว จากนั้นคว้าแขนหยวนกังพลางเอ่ยว่า “สหาย พวกเราตกลงกันไว้แล้วไง ให้ข้ารับสมัคร เจ้าคงไม่คิดจะกลับคำกระมัง!”
หยวนกังตอบว่า “ข้าแค่อยากถามอะไรเขาหน่อย”
ฮูเหยียนเวยแสดงความสงสัย “มีอะไรน่าถามกัน ใต้หล้ามีคนน่าสงสารอยู่มากมา เจ้าจะดูแลหมดหรือ?” ที่กล่าวออกมาเช่นนี้ได้ แปลว่าเขาเข้าใจความคิดหยวนกังดี
ถึงแม้คนผู้นี้จะพูดจาระคายหูอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มักจะมีเหตุผลเสมอ
หยวนกังจับข้อมือเขา ฮูเหยียนเวยเจ็บจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน เอ่ยว่า “ได้ๆๆ เจ้าแรงเยอะนัก เจ้าถามสิ เจ้าถามเลย!”
เสมียนเกาเหลือบมองออกไปด้านข้าง ลอบทอดถอนใจ คนผู้นี้ไม่เกรงใจคุณชายสามเลยจริงๆ
หยวนกังถามชายชรา “ท่านผู้เฒ่ามีนามว่าอะไร?”
ชายชราตอบอย่างนอบน้อม “คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ามีนามว่าหยวนต้าหูขอรับ”
หยวนกังถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นกับขาข้างนี้ของท่านผู้เฒ่า”
ชายชราถอนใจตอบไปว่า “ไม่มีใครเกิดมาพร้อมขาข้างเดียว ในอดีตข้าก็เป็นหนึ่งในสมาชิกกองทหารม้าของแคว้นฉีเช่นกัน ยี่สิบปีก่อนเพื่อขัดขวางการรุกรานของแคว้นจิ้น สู้รบในเขาเหล็กทมิฬ ได้รับบาดเจ็บจึงกลายเป็นเช่นนี้ขอรับ”
หยวนกังถาม “ท่านเป็นเช่นนี้ คนในครอบครัววางใจให้ท่านออกมาสมัครงานได้อย่างไร?”
ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ไม่มีครอบครัวมาแต่แรกแล้วขอรับ ตอนที่ได้รับบาดเจ็บข้ายังไม่ได้แต่งงาน พอข้าเป็นเช่นนี้ก็อยู่ในกองทัพต่อไม่ได้ หลังกลับมาก็ใช้ชีวิตดูแลตัวไม่สะดวก ทุกคนต่างใช้ชีวิตลำบากพอแล้ว ไม่มีสตรีคนใดอยากแต่งด้วยก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แข้งขาพิการ หางานทำลำบากจริงๆ หลายปีมานี้ก็ใช้ชีวิตมาเช่นนี้ คุณชาย ท่านอย่ามองเพียงว่าข้าขาด้วนเลยขอรับ ขอเพียงเป็นงานที่ไม่ต้องพึ่งพาสองขา ข้าทำได้ทั้งสิ้น ได้ค่าแรงน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอเพียงมีข้าวกินก็พอขอรับ”
ในวาจาของชายชราคนนี้คล้ายจะแฝงประสบการณ์ของการผ่านโลกมาอยู่เล็กน้อย หยวนกังเงียบไปครู่หนึ่ง ชี้มือไปทางโต๊ะลงทะเบียนทางด้านข้าง “ไปลงทะเบียนเถอะ!”
ชายชรายังไม่ทันเอ่ยขอบคุณ ฮูเหยียนเวยก็ทนไม่ไหวแล้ว สองตาเบิกกว้าง เอ่ยว่า “นี่ อันซยง หลักการของเจ้าล่ะ เจ้าเอาหลักการของเจ้าไปไว้ที่ไหนแล้ว? ทำไมพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้นล่ะ เจ้าบอกว่าเจ้าแค่จะถามอะไรของเขานิดหน่อยมิใช่หรือ? ไฉนจึงรับเข้ามาทำงานเล่า?”
หยวนกังตอบ “แล้วข้าบอกหรือว่าจะไม่รับ?”
“……” ฮูเหยียนเวยพูดไม่ออก เมื่อลองนึกดู เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่รับ อารมณ์พลันเดือดดาลขึ้นมา “นี่เจ้าเล่นลูกไม้หรือ!”
หยวนกังเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ให้เขาไปทำงานในร้านหรอก ข้าจะใช้งานเขาเรื่องอื่น”
ฮูเหยียนเวยชี้หน้าเขา “เจ้าพูดแล้วนะ! ได้ ข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้าสักครั้ง” จะไม่ยอมก็คงไม่ได้เช่นกัน หากคนหัวแข็งผู้นี้ดึงดันจะทำให้ได้ เขารู้ดีว่าตนขวางไม่อยู่แน่ จึงหันไปสั่งการเสมียนเกา “เจ้าจำไว้ด้วย ห้ามให้ตาเฒ่าคนนี้มาทำงานในร้าน ข้าไม่อยากขายขี้หน้าคนอื่น!”
เสมียนเกาขานรับเป็นมั่นเป็นเหมาะ เหลือบมองหยวนกังเล็กน้อย
ชายชราทราบดีว่าอีกฝ่ายรังเกียจที่ตนพิการ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาด้านชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีคล้ายจะไม่สลักสำคัญอีกต่อไป จึงรีบค้อมคำนับกล่าวขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา ทว่าจากนั้นดูค่อนข้างละล้าลัง ไม่ได้รีบไปลงทะเบียน
หยวนกังถาม “ท่านผู้เฒ่ามีปัญหาใดหรือ?”
ชายชรามองไปทางกลุ่มคนเล็กน้อย เอ่ยว่า “ปีนั้นคนที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาพร้อมข้ามีห้าคน ตอนนี้คนที่ยังมีชีวิตอยู่…ยังเหลือสหายชราอีกคนขอรับ อยากจะขอความเมตตาจากคุณชาย หากว่าคุณชายสะดวกล่ะก็…”
ฮูเหยียนเวยหันขวับไป เอ่ยว่า “ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ ได้คืบแล้วอย่าเอาศอก!”
ชายชราสีหน้ากระอักกระอ่วน เก้อกระดากนัก
หยวนกังเอ่ยว่า “เรียกออกมาดูหน่อย”
ฮูเหยียนเวยถลึงตาใส่ หยวนกังไม่สนใจเขา เอ่ยกับชายชราว่า “เรียกออกมา!”
“ขอรับ!” ชายชราค้อมกายตอบรับ หันกลับไปทางกลุ่มคนพลางตะโกนเรียก “เหล่ากู่ ออกมาเถอะ รีบออกมาได้แล้ว!”
ไม่นานนัก ชายชราผอมแห้งคนหนึ่งก็ถูกปล่อยตัวออกมา เข้ามาคารวะ!
ฮูเหยียนเวยมองทันที เยี่ยมจริงๆ ตาเฒ่าคนนี้แขนด้วน เข้าคู่กับตาเฒ่าตรงหน้านี้เหลือเกิน!
หยวนกังมองเล็กน้อย สบตากับอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยก็ทำการตัดสินใจออกมาอย่างเด็ดขาด “ไปลงทะเบียนเถอะ!”
ชายชราทั้งสองรีบขอบคุณทันที
ฮูเหยียนเวยโมโหสุดขีด มีท่าทีว่าจะระเบิดอารมณ์ออกมา
หยวนกังจ้องมองเขานิ่งๆ เอ่ยเนิบๆ “ทหารกล้าไม่ตาย เพียงแค่โรยรา! คนที่บาดเจ็บเพื่อปกป้องแว่นแคว้น ไม่มีเหตุผลที่ต้องใช้ชีวิตอัตคัดเลย ข้าต้องการสองคนนี้!”
“เจ้า…” ฮูเหยียนเวยถูกตอกหน้าจนพูดไม่ออก
ทว่าชายชราสองคนที่ถูกชีวิตอันลำบากแร้นแค้นคอยเคี่ยวกรำกลับขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาในทันใด ริมฝีปากสั่นระริกน้ำตาไหลริน คล้ายจะตื้นตันจนยากจะควบคุมอารมณ์ได้
“ไปลงทะเบียนเถอะ!” หยวนกังพยักเพยิดหน้าให้สองชายชราเล็กน้อย
ชายชราสองคนตื้นตันจนพูดไม่ออก โค้งคำนับให้เขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะลงทะเบียน
ท่ามกลางกลุ่มคน สมาชิกที่ติดตามหยวนกังมาเหล่านั้นพากันมองเขาอย่างจริงจัง
…………………………………………………